: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวอ่าวฮาลองเพื่อเรียนรู้เวียดนาม(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )

เที่ยวอ่าวฮาลองเพื่อเรียนรู้เวียดนาม(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )
"...ใครก็ตามไปเวียดนาม แล้วไม่ได้ไปอ่าวฮาลองนั้น ถือว่ายังไปไม่ถึงเวียดนาม..." ภาษิตนี้แม้ฟังดูออกจะเป็นโวหารเกินจริงไปสักหน่อย แต่มันก็สมจริงมากเพราะอ่าวฮาลองเป็นสถานที่ชวนฝันของนักเดินทางหลายต่อหลายคนที่อยากจะไปเห็นด้วยตาของตัวเองว่า ภูเขาหินปูนในทะเลอ่าวฮาลองนั้นจะสวยงามสักเพียงใด

โดยคนจีนมักเปรียบเทียบฮาลองกับกุ้ยหลิน ส่วนคนไทยนั้นก็เอาไปเปรียบกับพังงา แต่ที่ไหนจะสวยงามว่าที่ไหนก็สุดแท้แต่ว่าใครจะมองจากแง่มุมใด แต่ฮาลองก็มีเอกลักษณ์ของตัวองทั้งในด้านเรื่องราวและตำนานที่ไม่จำเป็นต้องเอาไปเปรียบกับอะไรที่ไหนก็ได้

อ่าวฮาลองเมื่อสักประมาณ 10 ปีที่แล้ว (ก่อนที่จะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO) มีคนไปเที่ยวชมไม่มากนัก ส่วนใหญ่เท่าที่เห็นมักเป็นคนเวียดนาม แต่ทุกวันนี้ ฮาลองคึกคักผิดหูผิดตา เมื่อก่อนนี้มีเรือไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวออกทะเลดูเกาะแก่งต่างๆ ในอ่าวไม่มากนัก แต่เดี๋ยวนี้ท่าเรือฮาลองมีเรือสำราญไว้รอให้บริการนักท่องเที่ยวหลายร้อยลำจอดเรียงรายกันที่ท่าเรือใหม่อย่างเป็นระเบียบพอๆ กับท่าเรือที่ภูเก็ต

แม้ว่าจังหวัดกวางนิงห์ จะได้เริ่มการพัฒนาตัวเมืองฮาลองใหม่เมื่อไปกี่ปีมานี้เองแต่การที่ได้ถมทะเลออกไปหลายกิโลเมตร ตัดถนนใหม่เลียบชายฝั่งยาวประมาณ 5 กิโลเมตรเมื่อสองปีก่อนก็ทำให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองเป็นไปโดยสะดวกมากขึ้น เพราะไม่ต้องอ้อมตามถนนเล็กๆ ไปอีกด้านหนึ่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

ส่วนบริเวณด้านข้างของถนนตัดใหม่นี้ ก็กำลังจะได้รับการก่อสร้างให้เป็นเมืองใหม่ที่มีโรงแรม สวนสนุก ร้านอาหารและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งผลุดขึ้นให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าอีกไม่นานเท่าใดนักบริเวณนี้คงกลายเป็นเมืองใหม่ฮาลองอย่างสมบูรณ์แบบ

ใครที่เคยมีโอกาสได้ชมภาพยนตร์เรื่องอินโดจีนเมื่อสักสิบกว่าปีก่อนก็อาจจะพอนึกเห็นภาพของภูเขาหินปูในอ่าวที่กว้างใหญ่ ส่วนทะเลนั้นสงบยิ่งกว่าแม่น้ำ ซึ่งนั่นก็คือความพิเศษของอ่าวฮาลอง ที่มีตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่าสถานที่แห่งนี้เป็นประตูมังกร ที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อช่วยชาวเวียดนามต่อสู้กับผู้รุกรานจนประสบชัยชนะในที่สุด

โดยผู้รุกรานเวียดนามก็คือจีน แต่เนื่องจากสวรรค์มีตามองเห็นความทุกข์ของชาวเวียดนาม จึงได้ส่งมังกรแม่-ลูกลงมาช่วยระหว่างที่เรือข้าศึกกำลังบุกโจมตีเข้าแผ่นดินใหญ่อยู่นั้นด้วยการพ่นฟองมุกออกมากลายเป็นภูเขาหินหยกปิดขวางทางเดินเรือของศัตรูเอาไว้ครั้นเมื่อเรือศัตรูชนภูเขาหินเหล่านั้นก็แตกเสียหายยับเยินจนพ่ายแพ้กลับไป

พอสงครามสงบแล้วมังกรแม่-ลูกก็ไม่ได้กลับไปสวรรค์ หากแต่ยังอยู่ในอ่าวตรงที่ทำสงครามกันนั้นเอง

ทั้งนี้โดยชาวเวียดนามเชื่อว่าตรงที่มังกรตัวแม่ร่อนลงจากสวรรค์ก็คืออ่าวฮาลองในทุกวันนี้ ส่วนบริเวณที่มังกรตัวลูกร่อนลงมานั้นก็คือ ไบ่ทูลอง และพื้นที่ที่หางมังกรกวาดไปมาระหว่างการสู้รบนั้นก็เรียกว่า ลองวี อันเป็นชายหาดยาวนับสิบกิโลเมตรในทุกวันนี้

สิ่งที่นักท่องเที่ยวที่ไปฮาลองทำเหมือนกันคือการล่องเรือเที่ยวชมเกาะหินปูนรูปร่างต่างๆ โดยที่ขึ้นชื่อเห็นจะได้แก่ เกาะไก่ชน เกาะปิรามิด เกาะหงส์ และ เกาะหัวคน เป็นต้น

นอกจากนั้น ก็มีถ้ำกลางทะเลที่สวยงามอยู่ 3 แห่ง ซึ่งจะใช้เวลาแล่นเรือออกจากฝั่งไปประมาณ 2 ชั่วโมงเศษ โดยถ้ำที่ใหญ่และสวยที่สุดมีชื่อว่าถ้ำเทียนกุง ที่แปลว่าถ้ำเทวดา ซึ่งมีทั้งหินงอกและหินย้อยอันสวยงามยิ่ง ทั้งยังมีตำนานเรื่องพญามังกรประกอบยิ่งทำให้นักเที่ยวเพลิดเพลินควบคู่ไปกับจินตนาการจากเรื่องเล่าประกอบการดูหินงอก-หินย้อยอีกต่างหาก

ถัดจากนั้น ซึ่งมีทางเชื่อมต่อกันประมาณ 300 เมตร ก็คือถ้ำด่าวโกหรือถ้ำมหัศจรรย์นั้นก็มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า โฮจิมินห์ เคยเดินทางมาถ้ำแห่งนี้ในช่วงปี 1962 แล้วได้ดำริไว้ว่าลูกหลานเวียดนามทุกคนควรจะมีโอกาสไปเห็นถ้ำแห่งนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง

ห่างจากถ้ำทั้งสองแห่งนี้ไปหน่อยมีถ้ำอีกแห่งหนึ่งไม่ใหญ่เท่าแห่งแรกชื่อว่าถ้ำสึงซด แปลว่า ถ้ำตกตะลึง เนื่องเพราะคนที่มาเห็นครั้งแรกคงจะตกตะลึงในความงามของถ้ำก็เลยตั้งชื่อไปอย่างนั้น

นอกจากนี้ ก็มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยให้ชมอีกจำนวนหนึ่ง แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปถึง เพียงถ้ำใหญ่ 3 แห่งนี้ก็ต้องกลับแล้วเพราะค่ำเสียก่อน ยิ่งถ้าออกเดินทางสายหน่อยก็คงจะได้ดูแค่หนึ่งหรือสองถ้ำเท่านั้น เพราะหนทางจากฝั่งไปยังถ้ำต่างๆ เหล่านี้ค่อนข้างไกลถึงกับได้มีการประมาณว่าถ้าจะล่องเรือเที่ยวให้ทั่วทั้งอ่าวนั้นจะต้องใช้เวลาถึง 8 ชั่วโมงทีเดียว

นอกจากการเที่ยวชมภูเขาหินปูนและถ้ำในทะเลแล้ว ในตัวเมืองฮาลองยังไม่ได้มีสิ่งบันเทิงอะไรมากนัก แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เวลาในเมืองกันเท่าใด เพราะที่นั่นมีโรงแรมระดับ 4 ดาวอยู่ 2-3 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่บริการยังไม่ได้มาตรฐานสักเท่าไหร่ และถึงแม้ว่าจะมีสวนสนุกที่ฮาลอง แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเหมาะสำหรับเด็กๆ มากกว่า

แต่ถึงกระนั้น อ่าวฮาลองก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวในภาคเหนือของเวียดนามที่มีคนไทยเดินทางไปเยี่ยมชมกันไม่น้อยทีเดียว เพราะในปัจจุบันนี้มีแพคเกจทัวร์ที่เดินทางโดยทางรถยนต์ไปถึงอ่าวแห่งนี้ได้แล้ว

ทั้งนี้โดยตั้งต้นกันที่จังหวัดนครพนมในภาคอีสานของไทย แล้วข้ามแม่น้ำโขงไปที่ท่าแขกในแขวงคำม่วนของลาว มุ่งไปตามเส้นทางหมายเลข 8 ในลาวเข้าสู่จังหวัดเหง่อาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ โฮจิมินห์ และพักค้างคืนที่นั่น 1 คืนก่อนเดินทางต่ออีก 1 วันเต็มๆ เพื่อมุ่งสู่อ่าวฮาลอง รวมระยะทางแล้วมากกว่า 500 กิโลเมตร

ส่วนขากลับนั้นก็กลับในเส้นทางเดิมที่แม้ว่าจะจัดได้ว่าเป็นการเดินทางที่มาราธอนเอามากๆ ก็ตาม แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้รีบร้อน แต่ชอบนั่งรถเพื่อชมบ้านชมเมืองของประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ ไม่น้อยเช่นกัน

ฮาลองในวันนี้กำลังได้รับการพัฒนาอย่างเร่งรีบ เพื่อให้ทันกับความต้องการในการพัฒนาเศรษฐกิจของเวียดนาม

แต่ก็มีข้อเสียอยู่ประการหนึ่งก็คือ ฮาลอง อยู่ในจังหวัดกวางนิงห์ ซึ่งเป็นแหล่งถ่านหินที่สำคัญแห่งหนึ่งของเวียดนาม จึงทำให้ตัวจังหวัดนี้ดูดำไปหมดเพราะมีฝุ่นจากถ่านหินปกคลุมไปทั่ว

ส่วนทางการเวียดนามนั้น ก็ยังคงไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะเลือกให้จังหวัดนี้เป็นที่ท่องเที่ยวหรือเป็นเมืองอุตสาหกรรมกันแน่อีกด้วย

เพราะในระหว่างที่นั่งเรือสำราญชมเกาะแก่งอยู่ในอ่าวฮาลองนั้นก็มีเรือบรรทุกถ่านหินวิ่งสวนไป-มาให้เห็นอยู่เนื่องๆ

แต่ถึงกระนั้นก็นับเป็นแบบฉบับของเวียดนามโดยแท้ที่สภาพการสัญจรไป-มานั้นจะเต็มไปด้วยความโกลาหลและสับสนวุ่นวายเป็นธรรมดา

ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องซึ่งผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าหากว่าคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ จะเดินทางไปสัมผัส เพื่อจะได้เรียนรู้และเข้าใจผู้คนในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถูกจัดว่ามีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วมากประเทศหนึ่งของเอเชียในยุคปัจจุบัน