: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สาละวนปัญหาเกี่ยวกับพม่า(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )

สาละวนปัญหาเกี่ยวกับพม่า(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )
ครั้นแล้วกลุ่มสหภาพยุโรปทั้ง 25 ประเทศ ก็ได้ลงมติด้วยเสียงอย่างเป็นเอกฉันท์ในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและทางการทูตต่อรัฐบาลทหารในพม่าต่อไปอีกหนึ่งปี เนื่องจากเห็นว่าไม่มีสัญญาณด้านบวกจากรัฐบาลทหารพม่าในการพัฒนาประชาธิปไตยทางการเมือง

แน่นอนว่ามติอย่างเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ของกลุ่มสหภาพยุโรป ย่อมไม่เพียงจะส่งผลกระทบต่อประชาชนพม่าอย่างกว้างขวางต่อไปอีกเท่านั้น หากแต่ยังจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงความสัมพันธ์และร่วมมือระหว่างกลุ่มสหภาพยุโรปกับกลุ่มอาเซียนในระยะต่อไปนี้อีกด้วย

โดยที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่ารัฐบาลทหารพม่าจะเข้ารับตำแหน่งประธานของกลุ่มอาเซียนนับจากเดือนกรกฎาคม 2006 เป็นต้นไป จนถึงช่วงเดือนเดียวกันของปี 2007 อันหมายถึงในช่วงหนึ่งปีดังกล่าวนี้ การประชุมต่างๆ ที่สำคัญทั้งภายในกลุ่มอาเซียนและระหว่างกลุ่มอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาอื่นๆ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มสหภาพยุโรปด้วยนั้น จะจัดขึ้นในพม่านั่นเอง

เพราะฉะนั้น ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ในเมื่อกลุ่มสหภาพยุโรปได้ประกาศขยายระยะเวลาในการคว่ำบาตรต่อรัฐบาลทหารพม่าต่อไปเช่นนี้ ย่อมเป็นไปได้อย่างยากยิ่งที่กลุ่มสหภาพยุโรปจะยินดีเข้าร่วมการประชุมที่จะมีขึ้นในพม่า ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับทางการสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศภาคีในกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคง Asian Regional Forum (ARF) ร่วมกับกลุ่มอาเซียนอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้ ยังได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกันอีกต่างหาก เนื่องเพราะฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวงนั้น รัฐบาลทหารพม่าจึงไม่ควรรับตำแหน่งประธานของกลุ่มอาเซียน

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้น กลับได้แสดงท่าทีสนับสนุนอย่างเต็มกำลังต่อการที่รัฐบาลทหารพม่าจะก้าวขึ้นตำแหน่งดังกล่าวนี้ ในขณะที่ฝ่ายสุดท้ายนั้นก็ยังคงเน้นย้ำในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ที่เรียกว่าการเกี่ยวพันอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Engagement) ต่อไป

ฉะนั้น จึงหมายถึงว่าในเวลานี้ระหว่าง 10 ประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนด้วยกันได้มีการแตกแยกกันออกเป็น 3 กลุ่มแล้วเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการที่รัฐบาลทหารพม่าจะก้าวขึ้นสู่การเป็นประธานของอาเซียนเพียงกรณีเดียว

ความแตกแยกภายในกลุ่มอาเซียนดังกล่าวนี้ ได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Ministerial Meeting-Retreat) ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อไม่นานมานี้

ซึ่งนอกจากจะมีความเห็นที่แตกแยกกันออกเป็น 3 กลุ่มแล้ว การประชุมในครั้งดังกล่าวนี้ยังไม่สามารถหาข้อสรุปหรือทางออกร่วมกันได้อีกด้วย หากมีเพียงการซื้อเวลาต่อไป ด้วยหวังว่าจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในระหว่างการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของอาเซียนครั้งที่ 38 ที่นครเวียงจันทน์ ในช่วงเดือนกรกฎาคมปีนี้

หากจะว่าไปแล้ว ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิกในอาเซียนที่เกิดขึ้นจากกรณีที่รัฐบาลทหารพม่าจะก้าวขึ้นสู่การเป็นประธานอาเซียนนี้ หาได้ส่งผลกระทบต่อชนชั้นนำในแต่ละประเทศสมาชิกอย่างใดไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับภายในประเทศพม่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่บรรดาผู้นำในคณะรัฐบาลทหาร จะยอมอ่อนข้อต่อการกดดันจากนอกประเทศ ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการกักขัง ออง ซาน ซูจี ต่อไปอย่างไม่มีกำหนด

ยิ่งไปกว่านั้น จะต้องไม่ลืมด้วยว่ารัฐบาลทหารพม่าไม่เคยสนใจไยดีที่จะพัฒนาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศของตนให้ดีขึ้นแต่อย่างใดอีกด้วย

ดังกรณีที่เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา จนถึงทุกวันนี้ ก็คือการที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามนำเข้าสินค้าประเภทสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจากพม่า ซึ่งได้ส่งผลกระทบทำให้แรงงานพม่ากว่า 80,000 คน ต้องตกเป็นผู้ว่างงานทันที

ส่วนผลกระทบที่มากไปกว่านั้น ก็คือแรงงานพม่าที่ต้องตกเป็นผู้ว่างงานกว่า 80,000 คนดังกล่าวนี้ มีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องพึ่งพาค่าแรงงานอันน้อยนิดจากแรงงานเหล่านี้มากกว่า 4 แสนคน

หากแต่ภายใต้ผลกระทบที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ทางการรัฐบาลทหารพม่าหาได้มีความวิตกกังวลแต่อย่างใดไม่ ในทางตรงกันข้าม กลับได้โจมตีรัฐบาลสหรัฐว่าเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดวิบากกรรมดังกล่าวต่อประชาชนชาวพม่า

ความไม่สนใจไยดีต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งยังได้พยายามตอบโต้ในทุกๆ กระแสการกดดันจากต่างประเทศเช่นนี้น่าจะเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิผลของมาตรการคว่ำบาตรฯที่สหภาพยุโรปและสหรัฐ ดำเนินต่อรัฐบาลทหารพม่าได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ เพราะการที่รัฐบาลทหารพม่าได้ดำเนินในแนวทางปิดประเทศอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 1962-1988 นั้น ย่อมถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้พม่ามีความสามารถที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ

แต่ในทางตรงกันข้าม ความอุดมสมบูรณ์ในด้านทรัพยากรธรรมชาติของพม่า กลับเป็นปัจจัยที่บรรดาประเทศที่เป็นทุนนิยมทั้งหลาย ต่างหมายปองที่จะได้เข้าไปตักตวงเอาผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

โดยที่ชัดเจนที่สุด ก็คือความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรแก๊สธรรมชาติและน้ำมัน ซึ่งแม้ว่าการสำรวจจะยังคงทำได้ไม่ทั่วถึงก็ตาม แต่ในชั้นเบื้องต้นก็ได้มีการประมาณการแล้วว่าในเขตน่านน้ำทางทะเลของพม่านั้น มีปริมาณแก๊สธรรมชาติสำรองอย่างน้อย 2,460 พันล้านลูกบาศก์เมตร และมีปริมาณน้ำมันดิบสำรองมากกว่า 3,200 ล้านบาร์เรลอีกด้วย

ฉะนั้น ภาพของการลงทุนต่างประเทศที่ปรากฏในพม่าเวลานี้ ก็คือมูลค่าการลงทุนที่มากกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะในด้านการสำรวจขุดค้นน้ำมันและแก๊สธรรมชาตินี้

โดยที่สำคัญก็คือ เป็นการลงทุนทั้งจากออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา จีน อินโดนีเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ มาเลเซีย และประเทศไทย

ซึ่งด้วยผลประโยชน์ดังกล่าว ไฉนเลยที่ประเทศเหล่านี้จะให้ความสำคัญกับความเป็นไปทางการเมืองในพม่าอย่างจริงๆ จังๆ

ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลทหารพม่าไม่เคยคิดเลยว่าอำนาจของตนนั้นด้อยไปกว่าอำนาจของรัฐบาลประเทศใดๆ ในโลกนี้

ดังจะเห็นได้จากเพียงแค่การยื่นหนังสือต่อทางการรัฐบาลไทยเพื่อขอให้ส่งแรงงานพม่าในไทยกว่าล้านคนกลับประเทศพม่าเท่านั้น ก็สามารถทำให้ทุนไทยต้องปั่นป่วนไปทั้งประเทศได้แล้ว!!!