: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พ่อพระเปื้อนมลทิน(บุคคลโลก / นฤมล คนึงสุขเกษม)

พ่อพระเปื้อนมลทิน(บุคคลโลก / นฤมล คนึงสุขเกษม)
ชื่อเสียงของ รูด ลับเบอร์ ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ผู้ทำให้ยอดผู้ลี้ภัยทั่วโลกลดลงจาก 22 ล้านคนเหลือ 17 ล้านคนภายในเวลา 4 ปี มีอันต้องมัวหมองหลังจากเจ้าหน้าที่หญิงชาวอเมริกันวัย 51 ปี กล่าวหาเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วว่า ลับเบอร์ลวนลามเธอขณะเดินออกจากห้องทำงานของเขา ที่สำนักงานในกรุงเจนีวา หลังเสร็จสิ้นการประชุมเมื่อปลายปี 2546

นอกจากเจ้าหน้าที่หญิงคนดังกล่าวแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่หญิงอีก 3 คนของยูเอ็นเอชซีอาร์ เผยว่าเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลับเบอร์แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ดังนั้น ยูเอ็นจึงดำเนินการสอบสวนข้อกล่าวหาในทันที แต่ลับเบอร์ก็ปกป้องตนเองอย่างแข็งขัน และโคฟี อันนัน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ตัดสินใจในขณะนั้นว่าไม่มีข้อพิสูจน์ชัดเจนถึงการกระทำของลับเบอร์

อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบข้อกล่าวหายังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยยูเอ็นเพิ่งเปิดเผยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า คดีของลับเบอร์ยังไม่จบ และอนาคตของเขาในฐานะข้าหลวงใหญ่เป็นเรื่องที่น่ากังขา

คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังการประชุมยาวนานระหว่างอันนันและลับเบอร์ ที่สำนักงานยูเอ็นในนิวยอร์ก และการเจรจาของทั้งสองยังเกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่มีการเผยแพร่รายละเอียดข้อกล่าวหาเป็นครั้งแรก โดยหนังสือพิมพ์อินดีเพนเดนท์ของอังกฤษ

การที่ลับเบอร์เดินทางไปพบกับอันนันที่นิวยอร์กก่อให้เกิดข่าวลือ ว่าเขาจะถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากอันนันแต่งตั้งมาร์ก มอลลอค บราวน์ หัวหน้าโครงการพัฒนายูเอ็น เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่แก้ปัญหายูเอ็น ซึ่งเผชิญเรื่องอื้อฉาวหลายระลอกช่วงเร็วๆ นี้ รวมถึงการทุจริตในโครงการน้ำมันแลกอาหาร และการลวนลามทางเพศโดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานรักษาสันติภาพในคองโก

ในตอนนั้น ลับเบอร์ยังคงยืนยันที่จะอยู่ในตำแหน่งจนครบวาระปลายปีนี้ แต่เพียงสองวันให้หลัง เขาก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยตัดพ้อในจดหมายลาออกว่า ที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ ก็เพราะเห็นว่าอันนันหมดความไว้วางใจแล้ว

นอกจากนี้ ลับเบอร์ ซึ่งยืนกรานความบริสุทธิ์ของตนเอง ยังโทษสื่อว่าเป็นตัวการทำให้ชื่อเสียงย่อยยับ สาเหตุที่เขาตัดสินใจลาออกมาจากแรงกดดันต่อเนื่องจากสื่อ

รอน เรดมอนด์ หัวหน้าโฆษกยูเอ็นเอชซีอาร์ เผยว่า คนส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่าลับเบอร์ทำงานฟรีมาตลอด เขาคืนเงินเดือนให้แก่ยูเอ็นเอชซีอาร์ทุกเดือน อีกทั้งยังจ่ายค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยตนเอง

"ท่านเป็นคนขยันที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยพบมา สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ ท่านทำงานโดยไม่รับเงินเดือน" เรดมอนด์กล่าวและว่า "ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ท่านมอบเงินให้ยูเอ็นเอชซีอาร์ปีละประมาณ 300,000 ดอลลาร์"

ลับเบอร์ วัย 65 ปี มาจากครอบครัวโรมันคาทอลิก ที่มั่งคั่งแห่งเนเธอร์แลนด์ จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ และทำงานให้กับ 'ลับเบอร์ส ฮอลลันเดีย เอ็นจิเนียริง เวิร์กส์' บริษัทของครอบครัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนก้าวสู่แวดวงการเมือง

ลับเบอร์ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจช่วงทศวรรษ 2513 และเป็นสมาชิกรัฐสภาก่อนกลายเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2525 เขาอยู่ในตำแหน่งนานถึง 12 ปี ถือเป็นนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ที่ปกครองประเทศยาวนานที่สุดตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

นอกจากนี้ ลับเบอร์ยังเป็นประธานกองทุนคุ้มครองสัตว์ป่าในอเมริกาเหนือ และเป็นอาจารย์สอนวิชาโลกาภิวัตน์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก่อนรับตำแหน่งข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย ต่อจากซาดาโกะ โอกาตะ ที่ปลดเกษียณไปเมื่อปี 2544

อันนันอธิบายเหตุผลที่เลือกลับเบอร์มารับตำแหน่งดังกล่าวว่า ความพรั่งพร้อมด้านประสบการณ์จะช่วยให้ลับเบอร์ทำงานได้ดี ในการล็อบบี้รัฐบาลประเทศต่างๆ เพื่อขอความสนับสนุนทางการเงิน

ลับเบอร์ไม่ทำให้อันนันผิดหวัง โดยเขาสามารถผลักดันให้สหภาพยุโรป (อียู) เพิ่มเงินบริจาคแก่ยูเอ็นเอชซีอาร์ หนึ่งในหน่วยงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยูเอ็น ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 5,000 คน ประจำอยู่ตามประเทศต่างๆ 120 ประเทศ และมีงบประมาณราว 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี