จำใจจำจาก (บุคคลโลก / นฤมล คนึงสุขเกษม)
ในที่สุด ต่ง เจี้ยน หัว ผู้ได้รับการสนับสนุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ ให้ขึ้นบริหารเกาะฮ่องกง ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การบริหารดินแดนอดีตอาณานิคมแห่งนี้ จากการก้าวลงตำแหน่งก่อนครบวาระ โดยอ้างเหตุผลด้านสุขภาพ หลังจากอยู่ในอำนาจมานานถึง 8 ปี และก้าวลงจากตำแหน่งก่อนครบวาระ 2 ปี
แต่คนจำนวนมากในฮ่องกงเชื่อว่า นายต่งถูกรัฐบาลปักกิ่งปลดออก และทำให้วิตกว่าจีนกำลังแทรกแซงกิจการของฮ่องกง ทั้งที่สัญญาว่าจะให้สิทธิปกครองตนเองในระดับสูง
ทั้งยังมีแนวโน้มว่า อดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารเกาะฮ่องกงรายนี้ จะได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานสภาที่ปรึกษาการเมืองประชาชนจีน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มักเก็บไว้ให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกษียณ ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งแบบรักษาหน้านายต่ง และรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งเป็นผู้เลือกอดีตผู้บริหารบริษัทชิปปิ้งผู้นี้ มาบริหารฮ่องกงหลังกลับคืนสู่การปกครองของจีน
ผู้ที่ถูกคาดการณ์ว่าจะได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้เป็นคนต่อไป คือ โดนัลด์ จาง ผู้นำหมายเลขสองของฮ่องกง ซึ่งจะทำหน้าที่ในวาระที่เหลืออยู่ไปจนถึงกลางปี 2550 และหากผลงานเป็นที่พอใจของจีน เขาก็อาจได้รับการวางตัวให้เป็นผู้บริหารฮ่องกงคนใหม่ซึ่งมีวาระดำรงตำแหน่ง 5 ปี
นักวิเคราะห์ชี้ว่า จีนต้องเผชิญกับบททดสอบครั้งสำคัญ ในการจัดการกับอดีตเกาะอาณานิคมแห่งนี้ โดยการขึ้นนั่งเก้าอี้บริหารของต่ง ถูกมองว่าเป็นการลิดรอนเอกราชของฮ่องกง และทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างพลเมือง กับคณะบริหารที่กรุงปักกิ่งหนุนหลังอยู่ ซึ่งการฟื้นฟูความไว้วางใจ และความเชื่อมั่น จำเป็นต้องใช้หลายวิธีที่แตกต่างออกไป ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารเท่านั้น
สิ่งที่กรุงปักกิ่งต้องทำในทันทีทันใด คือการทำเรื่องราวต่างๆ ให้ชัดเจน เพราะการปิดปากเงียบของรัฐบาลแผ่นดินใหญ่ ท่ามกลางข่าวลือถึงการลงจากตำแหน่งของต่ง ได้แสดงให้เห็นถึงการขาดความโปร่งใส และการขาดความเป็นผู้นำ ของลูกพี่ที่ถือหางเสือคอยคัดท้ายฮ่องกงอยู่
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์และสมาชิกสภานิติบัญญัติฝ่ายค้าน พากันตั้งข้อสงสัยว่า รัฐบาลปักกิ่งอาจต้องการเปลี่ยนตัวผู้นำใหม่ เพื่อทำให้การปฏิรูปการเมืองฮ่องกง ล่าช้าออกไป
ไอแวน ชอย นักวิเคราะห์การเมืองมหาวิทยาลัยไชนีส กล่าวว่า หากมีการเลือกตั้งหัวหน้าคณะผู้บริหารใหม่ตั้งแต่ตอนนี้ การเลือกหัวหน้าคณะผู้บริหารคนใหม่ ก็จะมีขึ้นในปี 2553 ไม่ใช่ 2550 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การเลือกหัวหน้าคณะผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งอาจสร้างความแตกแยกอย่างมากในสังคม จะกลายเป็นเรื่องที่เลิกพูดกันไปอีกนาน
แต่หากนายต่งอยู่ในตำแหน่งต่อไป ฮ่องกงก็จะต้องเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่หลังเดือนกรกฎาคม ซึ่งก็จะนำความไม่แน่นอนมาอีกมาก
ด้าน รอนนี ถัง ส.ส.ฝ่ายค้าน แสดงความกังขาว่า รัฐบาลปักกิ่งพยายามจะวางตัวหัวหน้าคณะผู้บริหารฮ่องกงคนใหม่ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงในคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ต่งเกิดเมื่อเดือนกันยายน 2480 เป็นบุตรคนโตของต่ง จ้าว หยัง ราชานักธุรกิจด้านชิปปิ้ง เดินทางไปศึกษาที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ก่อนเดินทางกลับมาทำธุรกิจของครอบครัว ที่ฮ่องกง
มหาเศรษฐีหัวอนุรักษนิยมผู้นี้ คว้าคะแนนเสียงอย่างล้นหลาม โค่นคู่แข่ง 2 ราย ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหารเกาะฮ่องกงคนแรก เมื่อเดือนธันวาคม 2539
ในเดือนตุลาคม 2540 หลังการส่งมอบเกาะฮ่องกงคืนสู่จีนได้ 4 เดือน ต่งประกาศแผนการสร้างแฟลตใหม่ 85,000 ห้องต่อปี ซึ่งภายหลังถูกโทษว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น ตกอยู่ในภาวะล่มสลาย
ต่อมาในปลายปี 2545 ผู้นำรายนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวฮ่องกง ด้วยการพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ อันเป็นการเคลื่อนไหวที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นการจำกัดเสรีภาพพื้นฐาน ประกอบกับรัฐบาลดำเนินการอย่างล่าช้า ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ซาร์ส) ในปี 2546
ประชาชนร่วมครึ่งล้าน รวมพลังกันเดินขบวนตามท้องถนน เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เพื่อประณามคณะบริหาร พร้อมเรียกร้องให้ต่งลาออกจากตำแหน่ง
