สัมภาษณ์พิเศษ / ภาวินี อินเทพ คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ก้าวสู่ยุค Digital Magazine อีก 'ทางรอด' ของนิตยสารไทย?แค่เพียง 'จุดคุ้มทุน' หรือ 'กำไร' เท่านั้น ยังไม่พอ แต่ต้องมี 'พันธมิตร' ด้วย ธุรกิจจึงจะอยู่ได้ยาวนานโดยเฉพาะ 'ธุรกิจนิตยสาร' ที่มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มการเติบโตในปี 2549 จะอยู่ที่ตัวเลขเพียงหลักเดียวเท่านั้น
จากจุดนี้ จึงทำให้ผู้ผลิตนิตยสารหลายค่ายต้องปรับตัวกันยกใหญ่ เพื่อรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในปีหน้า
ทางหนึ่งในเวลานี้ที่หลายค่ายได้ทำกันไปบ้างแล้ว คือ สมัครเป็นสมาชิกของ สมาคมนิตยสารแห่งประเทศไทย (TMAT - The Magazine Association of Thailand) เพราะจะได้รับสิทธิพิเศษใน 'ข้อมูล' ทุกเรื่องที่สมาคมฯ จะได้รวมศูนย์ไว้ให้แก่มวลสมาชิก
ใครที่ไม่เคยได้ยินชื่อสมาคมนี้ ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะสมาคมนี้เพิ่งก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยในปีนี้นี่เอง
และเพิ่งแถลงข่าวไปเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่มีผู้ผลิตนิตยสารชั้นนำทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ เข้าร่วมเป็นประวัติการณ์กว่า 20 เจ้าแล้ว
โดยมี ธนาชัย ธีรพัฒนวงศ์ เป็นนายกสมาคมฯ ส่วน ศักดิ์ชัย กาย และ พรรทิภา สกุลชัย เป็นอุปนายก
ร่วมด้วย 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ อย่าง วิลักษณ์ โหลทอง เป็นเลขาธิการ และ ระริน อุทกะพันธุ์ ทำหน้าที่เหรัญญิก
และคณะกรรมการของสมาคมฯ ที่เหลืออีก 11 คน ก็มาจากทุกค่าย ไม่ว่าจะเป็น ลายคราม เลิศวิทยาประสิทธิ์ จากจีเอ็มเอ็มอินเตอร์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ฤทธิณรงค์ กุลประสูตร (จีเอ็ม),ชเยนทร์ คำนวณ (เปรียว) ฯลฯ
ส่วนระดับ 'เจ้าของ' ไม่ว่าจะเป็น ระวิ โหลทอง, เมตตา อุทกะพันธุ์, ปกรณ์ พงศ์วราภา, ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ฯลฯ ล้วนแล้วถูกบรรจุอยู่ในทำเนียบ 'คณะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์' อย่างครบถ้วน
ถือเป็นชุดประวัติศาสตร์ที่จักต้องจารึกไว้เลยทีเดียว!!
ใครจะเข้าไปเป็นสมาชิกก็ไม่ยากเลย เพียงแค่มีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท และมีนิตยสารไม่น้อยกว่า 1 เล่ม ออกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ปี และยังมีขายอยู่ ก็สมัครได้แล้ว
รวมไปถึงบรรดาร้านหนังสือ, โรงพิมพ์ หรือร้านแยกสี ก็มีสิทธิสมัครได้เช่นกัน
และหวังว่าพอยกระดับมาตรฐานนิตยสารบ้านเราให้เทียบเท่าต่างประเทศได้แล้ว สักวันหนึ่งเม็ดเงินโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์จะมากกว่า 7-8% ของตลาด รวมทั้งหมดเสียที เพราะทุกวันนี้ห่างไกลทีวีและหนังสือพิมพ์หลายเท่าตัวนัก
อีกทางหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือ เปิดพื้นที่ขาย (เนื้อหา) แห่งใหม่ในอินเทอร์เน็ต กับ บ.ทรู ดิจิตอล เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด ที่ตอนนี้สามารถพัฒนาระบบ e-book และ digital magazine ให้ 'คลิก' อ่านบนหน้าจอแบบ 'เหมือนจริง' ได้แล้วใน www.trueworld.net แถมยัง 'ชนแผง' อีกต่างหาก
โดยทางสำนักพิมพ์เองก็ (แทบจะ) ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแต่อย่างใด (ทรูฯ โฆษณาเชิญชวนว่าอย่างนั้น) สำหรับการขึ้นแผง
นอกเสียจากว่า จะเพิ่มลูกเล่นมัลติมีเดียให้กับตัวเรื่องหรือหน้าโฆษณาในเล่มเท่านั้น พอขายได้ถึงจะมาแบ่งรายได้กัน
ในการขาย (ด้วยการดาวน์โหลด) นั้น ก็จะขายกัน 'ทั้งเล่ม' แน่ใจได้ว่ามีให้ดูทั้ง 'เนื้อหา' และ 'โฆษณา' แบบเต็มๆ ทุกหน้า ซึ่งคนอ่านก็สามารถ 'ซื้ออ่าน' ได้ในราคาถูกว่าเล่มจริงถึง 25% แต่ต้องขอย้ำว่า-ต้องสมัครเป็นสมาชิกของไฮสปีดอินเทอร์เน็ตก่อน จึงจะได้รับความสะดวกที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 2-3 วินาทีเท่านั้น
และสบายใจได้ว่าราคานั้นสำหรับ 'อ่าน' โดยเฉพาะ ไม่มีสิทธิ 'พิมพ์' หรือ 'ส่งให้เพื่อน' ได้ เพราะมีระบบล็อกไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังเปิดตัวมากว่า 3 เดือน ตอนนี้มีหลายค่ายส่งนิตยสารทั้งหัวไทย-หัวนอก ขึ้นแผงกว่า 60 เล่มแล้ว ไม่ว่าจะเป็น จีเอ็ม, อมรินทร์พริ้นติ้ง, วัฏฏะ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นสมาชิกของสมาคมนิตยสารฯ ไปเรียบร้อยแล้ว
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่ายเหล่านี้พร้อมใจ go to Digital ก็น่าจะเป็นตัวเลขของคนใช้อินเทอร์เน็ต นั่นเอง
เพราะตอนนี้ มีตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ตประมาณ 7 ล้านราย โดยมีสัดส่วนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ หรืออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงอยู่ที่ประมาณ 3.6 แสนราย และจะมีอัตราการโตแบบ 'ก้าวกระโดด' ในปีหน้าอีกด้วย
ที่สำคัญในจำนวนนี้ สมัครเป็นสมาชิกของไฮสปีดและดาวน์โหลดหนังสือไปแล้วมากถึง 1.5 หมื่นรายแล้ว
ส่วนจะเป็น 'จริง' ได้แค่ไหน หรือ ก้าวสู่โลก e-book ในส่วนของพอคเก็ตบุ๊คมากเพียงใดนั้น อิศร์ เตาลานนท์ ผู้จัดการทั่วไปของทรูดิจิตอลฯ ซึ่งดูแลโปรเจคนี้โดยตรง มีคำตอบ!!
0 0 0
0 หลังจากเปิดตัวช่วง 2 เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมามีฟีดแบ็คอย่างไรบ้าง
ก็ดีครับ ถือว่าบริการ e-book ของทรูฯ เป็นบริการแรกและใหม่ของประเทศไทยสำหรับวงการการอ่านหนังสือ โดยตอนนี้จำนวนผู้ที่เข้ามาเป็นสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นตั้งแต่เปิดมา นับว่าใช้ได้ ตัวเลขนี้คือคนที่เคยดาวน์โหลดหนังสืออย่างน้อย 1 เล่มจากบริการของเรา แต่ 1.5 หมื่นคนนี้ก็ถือว่ายังค่อนข้างน้อยอยู่ เราต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ใหม่มาก หลายๆ คนก็ยังไม่ทราบว่า มันคืออะไร อีกอันก็คือ ในเรื่องโปรโมทเราก็ยังไม่ได้ทำออกไปมากมายนัก ตอนนี้พัฒนาระบบได้ประมาณ 80% แล้ว ก็คิดว่าให้ระบบข้างหลังบ้านมันแข็งแรงก่อน กว่าจะเปิดตัวออกไปเป็นตัวเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็รู้จักจาก 'ปากต่อปาก' มากกว่า
0 มีปัจจัยอะไรตรงไหนที่เป็นตัวชี้วัดว่า ถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว
ทางเราคิดว่าตอนนี้สื่อต่างๆ เป็นไปในรูปดิจิทัลหมดแล้ว ทั้งเพลง-หนัง แม้กระทั่งโทรศัพท์ หรือหนังสือบางเล่มก็มีอ่านให้ฟังแล้วด้วยในสื่อรูปแบบดิจิทัล แต่พวกแมกกาซีน พวกหนังสือที่เราใช้อ่านกันอยู่ทั่วไป ก็ยังไม่ไปทางนั้น แต่คิดว่าในอนาคตคงจะไป ทางทรูฯ เองก็มีนโยบายที่จะผลักดันพวกคอนเทนท์ (content=เนื้อหา) ที่เป็นดิจิทัลอยู่แล้ว เท่าที่ทราบก็คือ ทรูฯ ก็เน้นหลักไปที่ ทรูอินเทอร์เน็ต และบรอดแบนด์ไฮสปีด แล้วถ้าไม่มี 'เนื้อหา' หรือ 'พันธมิตร' ด้านนี้ ก็เหมือนเราสร้างถนนไป แต่ก็ไม่มีรถวิ่ง
ตอนนี้ก็คือ เราพยายามหารถมาวิ่งบนถนนที่เป็นเหมือนไฮเวย์ที่สามารถวิ่งได้เร็วแล้ว เพื่อเราจะได้ขยายถนนได้ต่อไป ทรูฯ เองก็ทราบดีว่าเราไม่ใช่คนเก่งด้านคอนเทนท์ เราก็หาพันธมิตรหลายๆ เจ้า ต่างประเทศเราก็ได้พันธมิตรที่เป็นเทคโนโลยีพาร์ทเนอร์จากทางอเมริกา ชื่อบริษัท Zinio
0 ก่อนทำได้สำรวจตลาดแมกกาซีนไทยแค่ไหน
ที่เราเจอประมาณ 300 หัว อยู่บนแผงดูเหมือนจะน้อยกว่านั้น แต่ผมก็แปลกใจเหมือนกันว่ามีเยอะขนาดนั้น แค่ 300-400 หัว ตอนนี้ที่ได้มาทำกับเราก็ประมาณ 60 หัวแล้ว เราก็เชื่อว่าเป็นระดับชั้นนำจริง ก็อย่างที่ผมบอกว่าไปคุยกับใครก็สนใจ ส่วนใหญ่ก็โอเค ถ้าหากไม่ติดปัญหาเรื่องไลเซน (licence)
แล้วเราก็สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กลุ่มเป้าหมาย 400 คนที่ใช้อินเทอร์เน็ต ว่าส่วนใหญ่ที่เขาใช้อินเทอร์เน็ตเขาใช้ทำอะไร? ผลสำรวจที่ได้ก็คือ 'ใช้หาข้อมูลมากที่สุด' ตามมาด้วยการใช้อี-เมล์ส่งแมสเสจ แล้วก็เล่มเกมดาวน์โหลดอะไรต่างๆ ทำธุรกรรม ดูหนังฟังเพลง ก็มีพอควรเหมือนกัน หลักๆ ก็คือสื่อสารกับเรื่องข้อมูล
พอถามเสร็จ เราก็อธิบายเกี่ยวกับบริการของเราว่า เป็นอย่างนี้ๆ นะสนใจมั้ย? ตอนนั้นบริการ e-book ยังไม่เปิดให้บริการ เราเซอร์เวย์ก่อนนำเข้ามา ผลก็ปรากฏว่าจาก 400 ตัวอย่าง มีคนบอกว่า 'น่าสนใจใช้แน่นอน' ประมาณ 73% 'คาดว่าจะใช้' ก็ 30% ซึ่งรวมๆ แล้วก็เป็นสัดส่วนน่าพอใจมาก ประมาณเกือบครึ่ง 37% พวกยังไม่แน่ใจก็เป็นส่วนใหญ่ 42% ไม่ใช้แน่นอนก็มีอยู่บ้าง 6.3%
สรุปแล้ว ผมว่าทุกคนก็อยากจะมาลองดู ว่าเป็นยังไง อย่างน้อยขอมาลองดูจะใช้หรือไม่ใช้ ค่อยว่ากัน คือพวกที่ไม่ใช้อย่างแน่นอน หลักๆ คือเขาไม่ค่อยได้อ่านนิตยสารอยู่แล้ว จะใช้เน็ตแค่เล่นเกม แล้วไม่ค่อยได้อ่านนิตยสาร หรือไม่เช่นนั้น ก็ไม่มีเวลามาอ่านในอินเทอร์เน็ต แต่ใช้ส่งอีเมล์บางครั้ง
แล้วก็มีเหตุผลปกติเลยที่ว่า 'ไม่สามารถถือไปไหนได้' ชอบอ่านหนังสือเป็นเล่มมากกว่า ซึ่งก็สมเหตุสมผล สำหรับคนที่ไม่ใช้ คนที่ยังไม่แน่ใจซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ส่วนใหญ่จะเป็นเขาขอศึกษาเพิ่มเติมก่อน ตอนนั้นเวบยังไม่เปิด เราก็แค่แนะนำทางโทรศัพท์ เขาก็เลยยังไม่รู้ว่าจริงๆ e-book นี่มันเป็นยังไแต่ก็คิดว่ามีศักยภาพที่ดี ส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าตอนนี้ก็ใช้ได้
0 จากผลสำรวจนี้ ทางซินิโอเขาแนะนำทรูฯ ในฐานะ 'มือใหม่' ว่ายังไงบ้าง
เขาก็พูดตรงๆ ว่าอันนี้เป็น 'สิ่งที่ใหม่มาก' ยิ่งสำหรับเมืองไทยที่เรื่องสาธารณูปโภคอินเทอร์เน็ตยังไม่ดีเท่าอเมริกา ญี่ปุ่น หรือ เกาหลี ก็อาจจะเป็นความท้าทายนิดหน่อย เพราะหนังสือแต่ละเล่มต้องดาวน์โหลดไป แล้วขนาดก็ใหญ่พอควร
อีกด้านหนึ่งเขาบอกว่า อันนี้ถึงเป็นเทคโนโลยีที่ดี แต่ใช่ว่าจะได้คนที่อ่านหนังสือมาทั้งหมด เพราะแน่นอน หนังสือมันก็มีจุดเด่นของมันค่อนข้างเยอะ คนสามารถอ่านได้หลายๆ หน้าโดยที่ไม่ปวดตามาก รวมถึงหนังสือธรรมดาถือไปไหนมาไหนก็ได้สะดวกกว่ากันเยอะ
แต่เขาก็บอกว่าที่มันเป็นดิจิทัลมันก็มีข้อดีของมันอยู่เยอะเหมือนกัน มันก็ทำบางอย่างที่หนังสือจริงทำไม่ได้ เช่น การทำไฮเปอร์ลิงค์ (Hyper Link) เราอ่านหัวข้อที่สนใจ สามารถกดคลิกต่ออินเทอร์เน็ตก็ลิงค์ไปที่หน้านั้นหาข้อมูลได้เลย แม้กระทั่งโฆษณา อย่างผมดูโฆษณารถยนต์บีเอ็มซี่รี 5 คลิกปุ๊บ ก็เข้าไปหน้าของ BMTHAILAND อ่านสเปคอะไรต่างๆ ต่อได้
นอกจากนั้น หนังสือรูปแบบดิจิทัล สามารถใส่พวกมัลติมีเดีย เพลง เสียง ได้หมด ทำให้ได้ 'อรรถรส' ในการอ่านที่น่าสนใจขึ้น รวมถึงพวกโฆษณาต่างๆ อย่าง พีซี ไอพอด จะมาโฆษณาบน e-book ก็สามารถทำให้มันหมุนได้ คนดูก็สามารถดูได้ทุกมุม ว่าเป็นยังไงนอกจากกระดาษมันมีแค่สองมิติเท่านั้นเอง
0 ข้อดีสำหรับสำนักพิมพ์หรือผู้ผลิตนิตยสาร
เป็นเรื่องต้นทุนการผลิต คือสำนักพิมพ์ไม่ต้องเสียต้นทุนส่วนนี้เพิ่ม เพราะยุคสมัยนี้ก็รู้กันดีว่าากระดาษ ค่าขนส่ง ค่อนข้างแพงมาก ยิ่งเป็นหนังสือผู้หญิงที่หนาๆ ผลิตออกมาเล่มหนึ่งราคาแทบไม่คุ้มราคาที่ขายไป ก็ต้องขายค่าโฆษณาได้เยอะๆ แต่สำหรับดิจิทัลแมกกาซีนแล้ว ไม่มีค่าผลิตเลย ก็เป็นดิจิทัลทำครั้งเดียวแล้วก็ขาย 1 ก๊อบปี้ หรือขายล้านก๊อบปี้ มันก็ไม่มีราคาเพิ่มเติมขึ้นมา
รวมถึงการจัดส่ง หนังสือไทยหลายเจ้าเขาก็บอกว่า เขาก็มีลูกค้าอยู่ต่างประเทศที่อ่านค่อนข้างเยอะและติดตามอยู่ แต่ว่าจะส่งไปหรือจะให้เขามาซื้อนี่ไม่ค่อยคุ้มเพราะว่าเจอค่าไปรษณีย์ไปเยอะมาก อันนี้ไม่ต้องเสียค่าส่งเลย เขาก็สามารถดาวน์โหลดได้ง่ายๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้หนังสือสามารถขยายยอดขาย แล้วเข้าถึงคนได้มากกว่าด้วย
ส่วนคนอ่านก็ทั้งซื้อทั้งอ่านได้ตลอด 24 ชม.ไม่มีช่วงเวลาเปิด-ปิดการขายเหมือนร้านหนังสือ สามารถค้นหาคำได้ไม่ต้องพลิกหน้า แค่คลิก search แล้วใส่คีเวิร์ดหาได้เลย และหยิบไปไหนมาไหนได้ แต่ต้องลักษณะต้องถือโน้ตบุ๊ค ที่ไหนถ้าถือโน้ตบุ๊คไปได้ก็เอาไปได้ ข้อนี้คงไม่ดีเท่าหนังสือจริง ราคาอาจจะถูกกว่าด้วย ถ้าสมัครเป็นสมาชิกระยะยาวเป็นปีอาจจะลดได้อีก อันนี้แล้วแต่สำนักพิมพ์ว่าเขาสามารถลดได้ขนาดไหน
0 อย่างนี้คนที่จะใช้ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกของไฮสปีด?
จริงๆ ไม่จำเป็น สิ่งที่เราพยายามทำคือ พยายามผลักดันคอนเทนท์ภายในประเทศมากกว่า เราก็เชื่อว่า ถ้าคนมาใช้สื่อดิจิทัลคอนเทนท์มากขึ้น ก็ทำให้ทั้งอินเทอร์เน็ต อัตราคนใช้พีซี และอื่นๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งไฮสปีดด้วย เราก็ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นลูกค้าไฮสปีดหรือทรู ถึงจะใช้ได้ ใครๆ ก็ใช้ได้ แต่ก็อาจจะมีข้อดีนิดหน่อยถ้ามาใช้ทรู เพราะว่าระบบการจ่ายเงินบางอย่างจะสะดวกขึ้นเท่านั้นเอง
0 จะรับมือกับความเคยชินในเรื่องการอ่านยังไง
เรื่องนี้ก็คิดหนักเหมือนกัน ทางซีนีโอเขาก็มีข้อมูลเหมือนกันว่า บางทีไปคุยกับบางสำนักพิมพ์ ก็มีบ้างที่เขาคิดว่า สิ่งใหม่นี้จะมา 'กินตลาดเดิม' หรือเปล่า บางเจ้ากังวลก็ปฏิเสธเลย แต่ทางซินิโอเขาก็บอกว่า อย่างในอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าตลาดมันค่อนข้างแยกกันชัดเจน คนที่อ่านหนังสือเอนจอยกับการอ่านแบบเดิมเขาก็ยังซื้อหนังสืออย่างเดิม อันนี้มันจะมาจับ 'ตลาดใหม่' มากกว่า ซึ่งเป็นตลาดของคนที่คุ้นเคยกับการใช้อินเทอร์เน็ตหรือคอมพิวเตอร์จริงๆ มันก็มีบ้างที่ไปกินตลาดเดิมของคนอ่านหนังสือ แต่ก็น้อยมาก ประมาณ 3-5% แต่ว่ามันจะมี 'กลุ่มใหม่' ซึ่งโดยรวมจะขายได้มากกว่าเดิม เพราะกลุ่มใหม่คือ กลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ต คนที่อยู่ต่างประเทศที่ไม่สามารถรับหนังสือของเราได้
0 เหตุผลที่เลือกทำกับแมกกาซีนก่อน
ง่ายๆ เลยครับ ถ้าเราจะมานั่งอ่านแฮร์รี่ พอตเตอร์ 600-700 หน้า บนพีซีนี่ ผมว่าน้อยคนมากๆ ที่จะมีความอดทนขนาดนั้น แล้วคอมพิวเตอร์ตอนนี้มันยังไม่เหมาะ คือมันไม่ได้เป็นหน้าที่เอาไว้อ่าน แต่หน้ากระดาษเดี๋ยวนี้มันมีกระดาษถนอมสายตา อ่านนานๆ ก็ไม่ปวดตา แต่จอคอมพิวเตอร์นี่มีแสงเข้าตาตลอด
แล้วในแง่ความเป็นแมกกาซีนแล้ว จะเห็นว่ามันเป็นรูปเป็นส่วนมาก ก็อ่านไม่ต่างกับการอ่านเวบแบบผ่านๆ ลักษณะมันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยอยู่แล้ว รูปเยอะ ตัวอักษรน้อย และนับวันนิตยสารก็จะเขียนแค่สั้นๆ แล้วเราก็สามารถเลือกอ่านเฉพาะที่เราสนใจจริงๆ ก็ถือเป็นธรรมชาติของนิตยสารที่ลงตัวกับคอมพิวเตอร์ตรงนี้ได้ แต่ในอนาคตเราก็ไม่ได้ปิดนะสำหรับพอคเก็ตบุ๊ค
ตอนนี้เราก็เริ่มมีหนังสือที่ไปในสไตล์พอคเก็ตบุ๊คมากขึ้น มีหนังสือดนตรีที่สอนเล่นกีต้าร์ ตอนนี้กำลังจะมีหนังสือทำอาหาร ธรรมะ แต่เราก็อยากเน้นอันที่มีรูปที่จะเป็นประโยชน์กับเทคโนโลยีได้มากที่สุด
ถ้ามันเป็นเท็กซ์-ตัวหนังสืออย่างเดียวจริงๆ ทำได้ง่ายมากเลย ไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องหน้าคู่อะไรเลย ทำไปแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว แต่ว่ากระแสความสนใจคนก็ยังไม่ค่อยมา ตอนนี้ก็เลยเน้นที่แมกกาซีนก่อน
0 หัวใน-หัวนอก แบบไหนทำง่ายกว่า
'หัวใน' ส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไร คุยกับทุกคนเขาก็โอเค แต่สำหรับ 'หัวนอก' สนใจหลายเล่มแต่ยังทำไม่ได้ เพราะติดไลเซนต่างประเทศ ที่ซื้อมาเฉพาะผลิตเป็นเล่มๆ ถ้ามาขายทางออนไลน์อาจต้องจ่ายเพิ่มและแพงด้วย ก็เลยขอดูตลาดก่อน
0 รับทุกรายไม่จำกัดระยะเวลาที่ออกด้วย
ตอนนี้มีหมดรายปักษ์ รายเดือน เล่มเดี่ยวๆ ก็มี ที่เรายังไม่ทำก็คือ 'รายวัน' เพราะว่า งานจะค่อนข้างเยอะ แล้วเชื่อว่าข้อมูลส่วนใหญ่อยู่ในเวบไซต์หนังสือพิมพ์อยู่แล้ว คนที่ใช้อินเทอร์เน็ตจริงๆ เขาก็อาจจะเข้าไปอ่านตรงนั้น ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหนังสือที่เป็นเล่มๆ ถ้าทำก็เป็นอีกช่องทางหนึ่ง แต่คิดว่า เอาไว้ก่อนดีกว่าดูตลาดก่อน
0 สำหรับพอคเก็ตบุ๊คยังต้องใช้เวลา
ใช่ครับ แต่จริงๆ ก็เปิดนะ เราเองก็ต้องมาดูร่วมกับสำนักพิมพ์ว่า แนวไหนที่จะเป็นไปได้ แล้วน่ามาลองก่อน คิดว่าถ้าเล่มไม่หนาเกินไปสัก 100-200 หน้า อาจจะยังพอไหว แต่เล่มหนาๆ จริงๆ อาจเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่า คือถ้าให้เราทำไป-เราก็ทำได้ ไม่เสียหายอะไรในการทำอีกเล่มหนึ่งขึ้นไป ก็มีค่าคนแปลงไฟล์นิดหน่อย แต่กลัวว่าสำนักพิมพ์จะขายไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้ คนอาจจะยังไม่ยอมรับสักเท่าไหร่ ก็เลยยังไม่อยากทำ
แนวที่จะพัฒนาได้ ก็น่าจะเป็น หนังสือธรรมะ ทำอาหาร เล่นดนตรี หรือไม่ก็ สอนภาษา แบบเล่มเดียวจบ พวกนี้ทำได้เลย
0 ถึงขั้นอ่านจากมือถือได้หรือยัง
ยังครับ เราคงเน้นเป็นก็แค่คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คหลัก เพราะว่าเราถือว่า คอนเทนท์เป็นอภิสิทธิ์ของสำนักพิมพ์ การที่จะไปปรับให้อ่านบน PDA หรือบนมือถือนี่ มันต้องชิฟท์ทั้งอาร์ทิเคิล ทั้งอะไรให้ฟิตบนหน้าจอซึ่งเราเองก็ไม่อยากทำอย่างนั้น เพราะเราเอง หนึ่ง ก็ไม่มีทรัพยากรพอ สอง ก็ถ้าเริ่มชิฟท์อะไรเยอะ มันก็จะไม่ได้ฟีลลิ่งที่สำนักพิมพ์อยากจะให้เป็นเราก็เลยไม่ทำ สาม-เราคิดว่า ก็มันเป็นตลาดที่เล็กมากที่คนจะมานั่งอ่านแมกกาซีนบนมือถือ ณ ตอนนี้ ก็เอาแบบง่ายๆ
0 ความเป็นไปได้ของการอ่านบนมือถือในบ้านเรา
อาจจะมี แต่ต้องขึ้นกับเทคโนโลยีด้วย ผมคิดว่าเรายังไปไม่ถึงขั้นเกาหลี ญี่ปุ่น ที่เขาใช้มือถือสำหรับทุกอย่าง อ่านข่าว อ่านอะไรต่างๆ บนมือถือ อีกอย่างมือถือสแตนดาร์ดมันยากเหมือนกัน มีหลายรุ่นหลายหน้าจอ แต่ละอันฟอร์แมทต่างกันโดยสิ้นเชิง คิดว่าภายใน 5 ปีก็อาจจะเป็นไปได้ก็ต้องรอดู
0 ทีนี้ส่วนของสำนักพิมพ์หรือนิตยสารแต่ละเล่มจะทำงานกันยังไง
สิ่งที่ทำผมทำให้คือ ส่งไฟล์มา เปลี่ยนเป็นฟอร์แมทที่พิมพ์หน้าไม่ได้ แล้วพวกลิงค์ต่างๆ ที่ลิงค์จากหน้าสารบัญไปหน้าต่างๆ แล้วลิงค์ไปหน้าโฆษณาต่างๆ ทางผมทำให้ ก็เป็นในลักษณะนั้น
คือสำนักพิมพ์ต้องทำงานของตัวเองให้เสร็จ ขอต่ำสุดคือ แค่ให้หน้าเหมือนหนังสือจริงแค่นั้น รวมหน้าโฆษณาด้วย หรือบางเจ้าอยากจะใส่ลูกเล่มเพิ่ม ให้เป็นมูลค่าเพิ่มแก่คนอ่านก็สามารถทำได้ในลักษณะนี้ ซึ่งถ้าทำเพิ่มก็เป็นไปได้ว่า เขาอาจจะเก็บราคาเพิ่มมากกว่าบนแผงด้วยซ้ำไป แต่ว่าเขามีของที่ดีกว่าที่ไม่ถูกจำกัดที่หน้ากระดาษ
และถ้ามีเป็นเสียงมีวิดีโอต่างๆ เขาส่งมาให้เรา ตรงนี้เราจะไม่ทำให้ เพราะเราถือว่าเราทำไปก็เสี่ยงเพราะว่า ตัวเราเองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของหนังสือไม่รู้ว่า ถ้าทำไปแล้ว จะตรงกับความต้องการหรือตรงกับภาพลักษณ์ของหนังสือหรือเปล่า เพราะฉะนั้นให้ทางหนังสือทำแล้วส่งมาให้เราดีกว่า ทางเราแค่เอาไปแปะให้ ตรงจุดที่ต้องการเท่านั้นเอง
ตรงนี้มันจะเป็นโอกาสมากขึ้นสำหรับสำนักพิมพ์ที่เขาสามารถที่จะขยายผลในการเผยแพร่สกู๊ปและโฆษณา คิดว่ามันเป็นประโยชน์มากขึ้น เมื่อก่อนการที่ทำอาจจะจำกัดที่กระดาษ จะเป็นหน้าขาว-ดำด้วยซ้ำ แต่นี่ทำได้หมด ถ้าเขาจะทำเพิ่มก็สามารถทำวิดีโอมาใส่ไว้ได้ ก็สามารถไปขายโฆษณาเพิ่มได้ เช่นโฆษณาตัวนี้จะใส่ลูกเล่น หรือ วิดีโอเพิ่มมั้ย ผมคิดเพิ่มเท่านี้ ให้คนเข้ามาดูมากขึ้น และได้ฟีลลิ่งมากขึ้น
0 สำหรับกอง บก.ไม่มีอะไรยุ่งยากเลย
อาจจะมีบ้าง คือหนึ่งไฟล์ทุกคนเป็นดิจิทัลอยู่แล้วก่อนส่งไปให้โรงพิมพ์ อาจจะมีติดขั้นหนึ่งคือต้องแปลงเป็นโปรแกรมแอคโครแบด อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหา
อีกสเตปที่อาจจะติดบ้างที่เราเจอจากประสบการณ์ คือฝ่ายแยกสี อย่างโฆษณาที่บางเอเจนซีไม่ได้ส่งให้ทางสำนักพิมพ์โดยตรง แต่ให้ไปเอาที่บริษัทแยกสีเอง ตรงนี้ก็อาจจะใช้เวลานิดหน่อย อนาคตคิดว่าคงง่ายกว่านี้ ก็เป็นแค่อย่างเดียวที่ติด แต่ก็เป็นบางเจ้า
0 แต่ละสำนักพิมพ์ที่จะมาลงทุนตรงนี้เขาจะได้อะไร
ผมว่า อย่างแรกเลยนะครับ มันไม่เสียหายอะไรเลย เพราะเขาไม่มีต้นทุนอะไรที่เขาต้องทำ สอง-ผมว่ามันก็เป็นโอกาสที่ดีในการเปิดตลาดใหม่ ใครจะรู้ว่าตอนนี้หนังสือดิจิทัลตอนนี้มีสมาชิกตั้ง 1.5 หมื่นรายแล้ว และเขาสามารถเปิดตลาดไปต่างประเทศ ซึ่งจะมีคนใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยอ่าน และไม่ได้สมัคร ไม่ใช่เพราะว่าหนังสือไม่ดี แต่เพราะไม่อยากจ่ายค่าไปรษณีย์ หรือว่าอาจจะเป็นตลาดคนใช้อินเทอร์เน็ตเมื่อก่อนอาจจะไม่เคยอ่าน จีเอ็มพลัส มาก่อน แต่เปิดมาดูเล่นๆ แต่เห็นหน้าฮิวโก้แล้วอยากเปิดมาดู สนใจก็เลยซื้ออ่าน ก็เป็นตลาดใหม่ เทรนด์ใหม่
ถ้าพูดตรงๆ ก็คือ ผมว่าเรียนรู้ไว้ก็ดี บางเจ้าอาจคิดทำเองในอนาคต ตอนนี้จะมาทำกับเราก่อนก็ได้ แต่ว่าเราก็ทำหน้าที่เป็นเหมือน 'คนกลาง' ที่มีหลายๆ เล่ม ถ้าเขาทำเวบไซต์เองก็ทำได้ เป็นเจ้าใหญ่ก็จริง แต่ก็ทำได้เฉพาะหนังสือของตัวเอง ก็เป็นในลักษณะนั้นไป
0 สำหรับกลุ่มฟรีแมกกาซีนที่ไม่ค่อยจะมีทุน
เราก็เปิดรับนะครับ คือตอนนี้ก็มีเคสที่น่าสนใจที่ดีอยู่อันหนึ่งคือ หนังสือธรรมะ ที่เขาให้ขาดมาเลยแล้วไม่ต้องแบ่งรายได้คืนให้เขา เพราะเขาเองก็อยากจะกระจายหนังสือของเขาเหมือนกัน ถ้าพิมพ์ก็ไม่คุ้ม แต่เป็นหนังสือที่ดีของชาวพุทธ ก็บอกว่า 'คุณขายได้เท่าไหร่ก็ทำบุญไป'
สิ่งที่เราจะทำก็เหมือนกับ กึ่งๆ จะแจกฟรี เหมือนกับให้ทำบุญ เล่มนี้อาจจะมีขั้นต่ำอยู่ที่ไม่กี่บาท แต่ถ้าคุณจะทำบุญมากกว่านั้น คุณก็ทำได้ คุณอาจจะจ่ายร้อยบาท สำหรับเล่มนี้แล้วเราก็เอาไปทำบุญ ก็ดีสำหรับเขาด้วยที่ไม่ต้องพิมพ์ แต่สามารถกระจายหนังสือได้
0 อีกหน่อยจะมีมุมพิเศษสำหรับฟรีแมกกาซีน
ก็เป็นได้ หรือแม้กระทั่งฟรีแลนซ์ พวกที่ยังไม่เก่งพอที่จะออกหนังสือของตัวเองเพราะไม่มีเงินทุนพอจะพิมพ์เป็นเล่มๆ ได้ เขาก็อาจจะทำเป็นเล่มเล็กๆ หรือออกเฉพาะทาง ก็มาทำงานกับเราได้
0 ถ้าจะบอกว่าตรงนี้เป็นทางเลือกทางรอยสำหรับนิตยสารไทย
ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ ผมว่าทุกเจ้าก็มีช่องทางเพิ่มรายได้ของตนเองอยู่แล้ว ตรงนี้ก็เป็น วิน-วิน แล้วก็เพิ่มรายได้ของเขา เป็นตลาดใหม่ สำหรับคนที่ใช้อินเทอร์เน็ต หรือตลาดในต่างประเทศ ผมจะเป็นช่องทางหนึ่งให้เท่านั้นเอง
อีกอย่าง สำหรับเล่มใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว ก็สามารถทำในแบบดิจิทัลได้ โดยที่ยังไม่ต้องพิมพ์ คือลดความเสี่ยง ไม่ต้องพิมพ์หลายๆ หมื่น เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเล่มใหม่จะคืนมาเท่าไหร่ คือมันต้องคืนมาเยอะอยู่แล้วล่ะ ตรงนี้ก็คิดว่าจะดูตลาดก่อน ผมว่ามีอีกหลายๆ ทางที่เราคิดว่าจะทำ ขึ้นอยู่กับสองด้าน บางทีก็ขึ้นอยู่กับทางสำนักพิมพ์ด้วย เพราะถือว่า สำนักพิมพ์ก็เชี่ยวชาญอยู่แล้วในวงการนี้ เราก็ถือว่ามาช่วยด้านเทคโนโลยี มากกว่า
0 เรื่องค่าใช้จ่าย
คือไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องให้ไฟล์เรามาในรูปแบบที่เราทำงานต่อได้ ไม่เช่นนั้น งานด้านเราจะเยอะเกินไป จนเราอาจจะต้องเก็บเพิ่ม ส่วนใหญ่ถ้าให้มาเป็นฟอร์แมทที่โอเค เราเองก็ทำงานต่อได้เลย พอขึ้นแผงแล้วเราก็ช่วยประชาสัมพันธ์ทำมาร์เก็ตติ้งให้ พอขายได้นั่นแหละถึงจะแบ่งรายได้กัน
ส่วนเรื่องคุ้ม-ไม่คุ้ม เราเน้นจำนวนมากกว่า อีกอย่าง แม้เราจะขายได้มาก แต่การทำเราทำแค่ครั้งเดียว ก็ไม่มีต้นทุนเพิ่มอะไร ผมก็เน้นว่าจริงๆ เราขายถูก ขายเยอะจะดีกว่า ทั้งทางสำนักพิมพ์และทางเราเห็นตรงกัน ก็เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราขอลดราคาด้วย
ตรงนี้เราก็มองเห็นว่า เราพยายามทำให้วิน-วิน เราก็ไม่อยากเข้าไปแล้วทำให้เขาขายได้น้อยลงหรือรายได้น้อยลง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทรูฯ ต้องการทำ เพราะจริงๆ ตรงนี้ก็ไม่ใช่ธุรกิจหลักของเราอยู่แล้ว เราอยากจะสร้างพันธมิตรมากกว่า
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ก้าวสู่ยุค Digital Magazine อีก 'ทางรอด' ของนิตยสารไทย?
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
21:46

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
ป้ายกำกับ:
แวดวงหนังสือ