: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ไอน์สไตน์-ถาม พระพุทธเจ้า-ตอบ ปริศนาธรรม ในวาระ 32 ปี 14 ตุลา

สัมภาษณ์พิเศษ/มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ไอน์สไตน์-ถาม พระพุทธเจ้า-ตอบ ปริศนาธรรม ในวาระ 32 ปี 14 ตุลา****************************"โลกทุกวันนี้ มันเป็นอิทธิพลของการคิดเปรียบเทียบ เราติดอยู่ในผลผลิตความคิดของไอน์สไตน์ ที่ว่าทุกอย่างเป็นเรื่องสัมพัทธ์ เป็นเรื่องสัมพันธภาพ ต้องเปรียบเทียบ และนั่นเป็นต้นเหตุของความทุกข์ เพราะเราหาจุดปกติไม่พบ ถ้าเราไม่รู้จักจุดคงที่ เราจะไม่รู้เลยว่า อะไรเป็นอะไร
"ดิฉันตั้งใจบอกกับชาวโลก แต่จะบอกกับคนไทยก่อนว่า จุดคงที่ หรือจุดปกติของจักรวาลมีอยู่ และพระพุทธเจ้าได้ค้นพบแล้วในคืนที่ท่านตรัสรู้ ฉะนั้น บทสรุปของไอน์สไตน์ผิด"
************************
ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ กรีน กล่าวในการอบรมธรรม 'พาตัวใจกลับบ้าน' บนเวทีในห้องประชุมคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2548 โดยแนะนำหนังสือเล่มใหม่ของเธอ คือ Einstein Guestions, Buddha Answers ซึ่งกำลังจะแปลเป็นไทยในเร็วๆ นี้ ในชื่อว่า 'ไอน์สไตน์ถาม พระพุทธเจ้าตอบ"
ผู้หญิงคนนี้คือใคร...
ก่อนที่เราจะรู้จักกับเธอ ฟังความคิดของเธอที่พูดออกมาดังๆ อีกสักนิดว่าเหตุใดเธอจึงดึงไอน์สไตน์มาพบกับพระพุทธเจ้า
"ภาวะปกตินี้อัลเบิรต์ ไอน์สไตน์ กลับค้นไม่พบ จึงไม่ได้คงตำแหน่งของผู้รู้ตามพระพุทธเจ้า แต่เป็นเพียงนักฟิสิกส์ที่ได้รับรางวัลโนเบล และเป็นนักคิดในระดับอัจฉริยบุคคลที่จากโลกนี้ไปอย่างมืดมนอนธการเหมือนมนุษย์ในโลกอีกมากมาย
"...การจะเข้าไปหาจุดคงที่ของจักรวาล ก็คือพาตัวใจกลับบ้าน และนี่คือสิ่งที่ดิฉันเห็น จึงต้องออกมาพูดตรงๆ ว่า พระนิพพานเป็นอย่างนี้ ถ้าเราไม่มีจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้น เราจะพูดไม่ได้ เพราะเรารู้ว่าจุดปกติเป็นอย่างไร จึงมองออกว่า สังคมยุคนี้ เราได้ก้าวเดินออกจากกลียุค กลียุคก็คือยุคที่ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มือใครยาวสาวได้สาวเอา แล้วเรากำลังก้าวเข้าสู่รุ่งอรุณของมิคสัญญี
"ยุคของมิคสัญญีคือ คนจะเข้าใจผิดว่า มนุษย์ด้วยกันเองเป็นสัตว์ เป็นผัก เป็นปลา เวลาฆ่าสัตว์มาทำอาหารไม่รู้สึกอะไร คนเข้าใจผิดคิดว่าคนเป็นสัตว์ จึงฆ่าได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย แล้วฆ่ากันมากๆ ลักษณะอย่างนี้เป็นความหลง เป็นสัญญาณเตือนภัยแล้วว่ามิคสัญญีมาถึงแล้ว"
และหนทางออกจากยุคมิคสัญญีก็ง่ายนิดเดียว ศุภวรรณบอกว่า คือการกลับมาที่การรู้เนื้อรู้ตัวของเรา กลับมาที่ลมหายใจของเรา แล้วพิจารณากายและใจของเรา ดังเช่นเจ้าชายสิทธัตถะได้พบสัจธรรมอันสูงสุดหรือทางหลุดพ้นจากความทุกข์ จึงได้กลายเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นครูผู้รู้จริงท่านแรกของโลก
"มาบัดนี้ ดิฉันสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่า สัจธรรมอันสูงสุดไม่ได้อยู่ไกลเลย ไม่จำเป็นต้องท่องเที่ยวไปนอกโลกหรือในจักรวาลเพื่อค้นหามัน และไม่ได้อยู่ในที่ๆ จะค้นพบได้หลังจากตายไปแล้ว แต่สัจธรรมอันสูงสุดกำลังอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ กำลังอยู่ต่อหน้าของคนทุกคน ทั้งที่กำลังอ่านประโยคนี้อยู่ หรือไม่ได้อ่านก็ตาม ผู้รู้จริงทุกท่านมักพูดประโยคดังกล่าวนี้เหมือนกันหมดว่า
"หากสัจธรรมไม่ได้อยู่ต่อหน้าคุณในขณะนี้แล้ว คุณคิดว่าคุณจะไปหามันได้ที่ไหนหรือ"
หลังจากที่เธอออกมาประกาศสัจธรรม นำพระนิพพานออกมาพูดในท่ามกลางสาธารณชน สอนมหาสติปัฏฐานสูตรแบบใหม่ พาตัวใจกลับบ้าน อีกทั้งเขียนหนังสือออกมาหลายเล่ม แต่ละเล่มล้วนท้าทายความเชื่อเดิมๆ ของใครหลายคนจนบางสำนักพิมพ์ระงับการพิมพ์งานของเธอไป เพราะคิดว่าเธอเพี้ยนบ้าง หลงตัวเองบ้าง และคิดว่าเธอคงจะบ้าไปแล้ว...
จริงๆ แล้วเธอยังไม่ยินดีจะเปิดเผยตัวเอง แต่เพราะเธอคือนิสิตนักศึกษาในยุค 14 ตุลา 2516 ที่พบกับความตายของเพื่อนนักศึกษาเป็นจำนวนมาก จนทำให้เธอเป็นทุกข์หนัก และตั้งคำถามกับชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า และธรรมะได้ช่วยให้เธอก้าวผ่านความทรงจำอันโหดร้ายนั้นไปได้อย่างไรบ้าง เธอจึงยินดีเล่าสู่กันฟังเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะบินกลับประเทศอังกฤษ กลับไปทำหน้าที่แม่ของลูกชาย 3 คน และอยู่กับครอบครัวอันเป็นที่รักยิ่ง
เนื้อเรื่อง
0 จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ตอนเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ยังจำได้ บอกกับเพื่อนๆ ว่าเธอไม่รู้ว่าฉันมีความทุกข์ใจแค่ไหน เป็นเพราะว่าพ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย จึงทำให้เห็นความทุกข์ของชีวิต แล้วชีวิตครอบครัวก็เหมือนๆ กับครอบครัวอื่น คือไม่ค่อยมีเงิน ทะเลาะกันเรื่องเงิน ก็คิดว่าจะต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิต ตอนนั้นคิดว่าต้องเรียนหนังสือให้เก่งๆ เป็นเด็กดีของพ่อแม่เท่านั้นเอง ตอนเรียนมัธยมก็เลยไปสอบชิงทุน AFS ไปอเมริกา จากนักเรียนเป็น 1,000 คน คัดไป 80 คน ก็คิดว่านี่แหละสุดยอด ตอนนั้นปี พ.ศ.2515
พอไปถึงตื่นเต้นหวือหวา เห็นคนอเมริกันต่อต้านสงครามเวียดนาม ซึ่งเราจากเมืองไทยสมัยนั้นรู้แต่ว่าคอมมิวนิสต์ไม่ดี แล้วก็กลัว เหมือนถูกล้างสมองมาว่าสงครามเวียดนามถูกต้องแล้วนี่ เธอมาฆ่าคอมมิวนิสต์ให้เราไม่ถูกหรือ แต่พอไปถึงอเมริกา เขาพูดคนละเรื่องกับเรา เขาประท้วงสงครามเวียดนามกันเป็นแสนๆ คน มันก็เกิดความสับสนขึ้นมา แต่พอเราไปอยู่กับครอบครัวหนึ่งที่รัฐแมรี่แลนด์ เป็นครอบครัวที่สูญเสียลูกชายถึงสองคนในสงครามเวียดนาม เราจึงเข้าใจ เพราะฝ่ายต่อต้านเขาบอกว่า ทำไมต้องเอาลูกไปตายเพื่ออะไร เราก็เริ่มคิดต่างออกไป พอกลับมาเมืองไทยก็เข้าสู่ระบบเก่า ตอนนั้นสับสนมาก
0 สับสนไปจนเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ต้นปี 2516 เราเข้าไปเป็นน้องใหม่คณะศิลปศาสตร์ ปีหลังแยกไปเรียนคณะสังคมวิทยา ตอนนั้นนักศึกษาตื่นตัวเพราะฟังไฮด์ปาร์กพี่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และเสาวณีย์ ลิมมานนท์ ทุกวัน ชอบมาก รู้สึกว่าเป็นฮีโร่ของเรา ฟังแล้วก็เริ่มเข้าใจ ก็เลยอ่านปรัชญามาก เป็นเพราะว่าเหตุการณ์ก่อนหน้า 14 ตุลา 16 ธรรมศาสตร์ตื่นตัวด้วย ความรู้เริ่มกว้างออกไป ถึงเข้าใจระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมว่า ที่คนจนเพราะเป็นกลไกของรัฐ เป็นกลไกของระบบเศรษฐกิจ และสังเกตเห็นความลำบากของคนจนชัดขึ้น รู้สึกว่า เขาไม่จำเป็นต้องลำบากอย่างนี้ก็ได้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา
0 เช้าวันนั้นอยู่ที่ไหนคะ
เช้าวันนั้นเราเข้าไปที่ธรรมศาสตร์กับเพื่อน เขายิงกัน เราก็ถ่อกันไปถึงท่าพระจันทร์และเข้าไปตรงลานโพธิ์ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ และเสียงปืนดังมาก เรายังเด็กก็กลัวมาก ด้วยความกลัวตายก็ร้องไห้แล้วหลบเข้าไปใต้ท้องรถด้วยอาการช็อก ตัวสั่น คิดถึงแม่อยากกลับบ้าน คิดว่ากำลังจะถูกยิงตาย เพราะเสียงปืนมันดังมาก นักศึกษาตายกันที่สนามฟุตบอลเยอะมาก
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เราเกิดอารมณ์ซึมเศร้า รู้สึกมีเมฆดำอยู่ในหัวใจเราอย่างถาวร รู้ว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้เรายิ้มได้ มันมืดสนิท คือมันทุกข์มาก
0 หลังจากนั้นล่ะคะ
ต้องการหาคำตอบให้กับชีวิตอย่างจริงจัง เริ่มถามแล้วว่า เราเกิดมาทำไม แล้วทำไมคนดีๆ ถูกฆ่าตาย เขาทำอะไรผิด คำถามยั้วเยี้ยอยู่ในหัว คำถามเหล่านี้ถ้าเราตอบไม่ได้จะทุกข์มาก ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่จะตอบได้ และเป็นช่วงที่ต้องเลือกคณะ ในหัวใจรู้แต่ว่า เราต้องการเข้าใจมนุษย์ เข้าใจชีวิต แต่เรายังตั้งคำถามไม่ถูกเสียทีเดียว หาคำตอบก็ไม่ถูก ไปถามอาจารย์ว่าอยากเรียนเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ อยากรู้เรื่องจิตใจมนุษย์ อาจารย์ก็โยนคู่มือให้ แล้วบอกให้หนูไปอ่านเอง ไปเลือกคณะเอง เอามาอ่านก็ไม่เห็นมีคณะไหนที่จะตอบคำถามเราได้นอกจากสังคมวิทยาที่บอกว่า เป็นเรื่องของสังคม เรื่องของมนุษย์ จึงเลือกด้วยเหตุผลนั้น พอไปเรียนจริงๆ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ เพราะเราต้องเรียนสังคมในอดีต สังคมที่ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น
จำได้ว่าตอนเล็กๆ เรียนศีลธรรมก็ชอบประวัติของพระพุทธเจ้า รู้สึกว่าคนอย่างนี้ที่จะช่วยเราได้ แต่ไม่รู้ว่าช่วยอย่างไร ก็เลยไปห้องสมุดธรรมศาสตร์ ยืมประวัติของพระพุทธเจ้ามาอ่านให้อบอุ่นใจว่าได้อ่านประวัติของท่าน แล้วหิ้วหนังสือเล่มนั้นเข้าประตูท่าพระจันทร์มา ก็มีพี่คนหนึ่งบอกว่า น้องศุภวรรณสนใจธรรมะหรือ เราก็ตอบไม่ถูก รู้แต่ว่าอยากอ่านประวัติของพระพุทธเจ้า พี่เขาก็เลยให้หนังสือเล่มเล็กๆ มาเล่มหนึ่ง 'มองด้านใน' ของอาจารย์พุทธทาส
0 เป็นหนังสือธรรมะเล่มแรกที่ได้อ่าน?
อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่ที่เข้าถึงใจจริงๆ คือพูดถึงสวนโมกข์ว่าพระพุทธเจ้าก็เกิดใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ อยู่บนดิน แล้วก็ปรินิพพานบนดิน ท่านบรรยายลักษณะของสวนโมกข์ว่าสงบแค่ไหน ร่มเย็นแค่ไหน ใช้ชีวิตอย่างสมถะเรียบง่าย นั่นแหละปิ๊งทันทีเลยว่าต้องไปสวนโมกข์ให้ได้
ตอนนั้นจึงเริ่มอ่านหนังสือของท่านพุทธทาส เช่น 'จิตว่าง' อ่านแล้วสบายใจขึ้น แต่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ในเรื่องของการปฏิบัติ แล้วก็มาเจออาจารย์ไสว แก้วสม เรียกว่าเป็นดาวไฮปาร์คคนหนึ่งในธรรมศาสตร์ เราเดินผ่านทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์พูดถึงเรื่องจิตว่าง ก็เลยเข้าไปฟัง จากนั้นเลยไปฟังทุกเสาร์เป็นขาประจำ
ปีนั้นก็ได้ไปสวนโมกข์ ไปกับชุมนุมปาฐก ไปค้างแค่คืนเดียว ไปถึงดึกแล้ว ก็นอนคอยอยู่ว่าเมื่อไหร่เขาจะตีระฆังแล้วไปทำวัตรเช้าตามที่พระท่านบอก เราก็ตื่นเต้นมากที่จะตื่นไปทำวัตรเช้า เพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน พอไปถึงฟังท่านพุทธทาสเทศน์แค่นั้นเอง รู้สึกถึงความสงบ รู้ทันทีเลยว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ รู้สึกว่าได้คำตอบแล้ว นี่คือคำตอบของเรา
0 แล้วได้ไปสวนโมกข์อีกหรือเปล่าคะ
หลังจากกลับมา สวนโมกข์อยู่ในหัวแล้ว รู้สึกว่าเราเงียบลง ปลายปี 2517 ก็กลับมาสวนโมกข์อีกครั้ง คราวนี้มาคนเดียว ไปนั่งฟังพระพยอม กัลยาโณเทศน์ในโรงมหสพทางวิญญาณ ก็ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่เบื่อเลย ชอบมาก รู้ว่านี่คือสิ่งที่เราต้องการ ชีวิตก็เปลี่ยนไป ถ้าไม่ได้สวนโมกข์ตอนนั้นคงเลือกทางฝ่ายซ้าย ก็อาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้ เพราะคงต้องเข้าป่าตอนหลัง 6 ตุลา 2519 เพราะตอนนั้นเป็นยุคมืดของเมืองไทย ตัวเราก็เลยหันมาทางนี้
ช่วงนั้นก็ได้พบอาจารย์โกวิท เอนกชัย (เขมานันทะ) ท่านก็แนะนำให้รู้จักหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ ตอนนั้นท่านเพิ่งมาจากอีสาน วัดสนามในยังไม่ได้เริ่ม วันแรกที่ไปวัดสนามในก็ไปกับน้าสะอาด อาวิโรจน์ร้านธรรมบูชา เราเป็นเด็กๆ ก็ตามผู้ใหญ่ไปวัดสนามในตอนกลางคืน เดินผ่านร่องสวน ทางรถไฟมืดๆ เอาไฟฉายส่องก็มีแต่ฐานเจดีย์ กับต้นไม้ คุณอาวิโรจน์พาเข้าไปดูว่าเราควรจะบูรณะวัดสนามในกันดีไหม เพื่อให้หลวงพ่อเทียนมาอยู่ เพื่อให้ท่านมาสอนกรรมฐาน วัดสนามในก็เริ่มต้นจากจุดนั้น มีเพียงกุฏิอาจารย์ทองล้วนเล็กๆ เท่านั้นเอง
ส่วนตัวเราก็เริ่มเป็นนักกิจกรรมตอนเรียนปี 2 และเริ่มออกห่างจากชุมนุมปาฐกถา โต้เวที ตอนนั้นเล่นลิเกจันทโครพด้วย ปีแรกไปเล่นที่เชียงใหม่ ปีสองไปเล่นสงขลา กลับมาปี 3 ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับกิจกรรมแล้ว พอมาพบอาจารย์โกวิท ตกลงกันว่าเราจะตั้งกลุ่มศึกษาชีวิต จะทำกิจกรรมอะไรดี นอกจากมาฟังเทปธรรมะอาจารย์โกวิท พี่ละเอียดบอกว่าควรจะปรึกษาปัญหาชีวิต ที่จริงคงเป็นไอเดียอาจารย์โกวิทนั่นแหละ เพราะพวกเราคิดว่า เราไปปรึกษากับอาจารย์ได้
0 แล้วมีใครมาปรึกษาปัญหาชีวิตบ้างคะ
พี่ละเอียดก็ไปลงโฆษณาในไทยรัฐว่า ศุภวรรณ พิพัฒพรรณวงศ์ รับปรึกษาปัญหาชีวิต แล้วลงที่อยู่ของคณะไป กว่าที่จะรู้อะไร จดหมายมาเป็นร้อย วันหนึ่งสิบกว่าฉบับ เราก็มาแยกประเภทกัน ตอนนั้นมีประสบการณ์ปฏิบัติธรรมอยู่บ้าง ถึงมีความมั่นใจในการตอบจดหมาย ทั้งๆ แค่อายุเพียง 21-22 ปี
ปี 3 คือปีหนีเรียนทำกิจกรรมอย่างเดียว หิ้วพิมพ์ดีดไปนั่งตอบจดหมาย เกรดลดฮวบเลย แล้วยังไปขอที่ของคณะสังคมวิทยาเล็กๆ ตั้งหนังสือขายทั้งของสันติอโศก ธรรมบูชา ใช้ทุนตัวเอง ทั้งขายบ้าง แจกบ้างถูกๆ แล้วก็พิมพ์จดหมายตอบคำถามปัญหาชีวิต คำตอบบางทียาวมาก พยายามคุยและให้กำลังใจกับเขาว่าอย่าท้อถอย ทุกคนเราจะส่งหนังสือธรรมะของท่านอาจารย์พุทธทาสไปให้คนละเล่ม เพียงแค่ขอให้เขาส่งแสตมป์มาให้เท่านั้นเอง
แม่เห็นทีไรก็พิมพ์ดีดต๊อกแต๊กๆ ด้วยความเป็นห่วงคนพวกนี้ว่าเขาเป็นทุกข์ อยากช่วยแก้ทุกข์ให้เขา ตอนนั้นเริ่มคุยธรรมะกับน้องๆ แล้ว พูดเป็นต่อยหอยเลย พูดอย่างมั่นใจ
มีรายหนึ่งเป็นเด็กถูกข่มขืนจากญาติของตัวเองแล้วทุกข์มาก สิ่งที่ทำได้คือเอามาคุยกัน ให้เขาฝึกสมาธิเข้าหาธรรมะ เราคิดว่านี่คือสิ่งที่ทำได้ พอตอนหลังพี่ละเอียดเรียนจบไป จดหมายก็มาอยู่ที่เราทั้งหมด อ่านแล้วก็ติดต่อกัน คนๆ หนึ่งเขาเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นศาสตราจารย์ของคณะ เขาไม่รู้ว่าเราอายุ 22 ปี แค่นั้นเอง
เราใช้เครื่องพิมพ์ดีดจนสระปลิวกระเด็นออกมาเลย เรียกว่าเป็นช่วงที่ทำงานจากหัวใจจริงๆ ที่อยากช่วย เพราะเราไม่สามารถช่วยอย่างอื่นได้นอกจากแรงงานของเราที่เขียนให้กำลังใจกับเขา ในช่วงนั้นรู้ว่าทุกคนจะต้องมาแก้ปัญหาที่ตัวเอง แต่ตอนนั้นปัญญาเรายังไม่กว้างขวางมาก
0 ตอนนั้นเรียนกับอาจารย์โกวิทมีความก้าวหน้าทางธรรมอย่างไรคะ
ไปพบอาจารย์โกวิทบ่อยมาก ถ้าท่านอยู่วัดชลประทานฯ ทุกวันอาทิตย์เราจะนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาไปเมืองนนท์ ต่อรถเมล์ไปวัดชลประทานฯ ฟังหลวงพ่อจบก็ไปกุฏิแม่ชีกินอาหาร แล้วก็คุยกับอาจารย์โกวิททุกเย็นวันอาทิตย์
ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจสติปัฏฐาน 4 รู้แต่ว่าทำสมาธิแล้วพบสภาวะที่ชัดมาก รู้ว่ามีสิ่งเปลี่ยนแปลงในตัวเองเกิดขึ้น
0 แล้วตอนปี 4 เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ธรรมะที่ปฏิบัติมาช่วยได้ไหม
ช่วงนั้นเจ็บปวดมาก มองย้อนกลับไปจึงรู้ว่าสภาวะจิตใจของคนเราเปลี่ยนได้ เพราะตอนปี 3 เราอยู่ในช่วงที่มีความมั่นใจมาก เพราะเกิดปัญญา เกิดสภาวะหลุดพ้นจากความทุกข์ มีความสุขมาก สามารถทำอะไรด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างสูงทีเดียวประมาณ 6 เดือน พอมาถึง 6 ตุลา ความมั่นใจมันค่อยๆ หายไป ความทุกข์กลับมา เข้ามาสู่สภาวะซึมเซา 3-4 เดือนได้ เป็นยุคมืดมาก พอเรียนจบก็เลยรู้ว่ารับราชการไม่ได้ มีความทุกข์มากเหลือเกิน คำตอบมันก็เลยกลับไปที่ว่า เราต้องทำจิตกับใจให้มันหลุดพ้นจากความทุกข์อีกครั้งหนึ่งให้ได้ แต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปบวชชีพราหมณ์ช่วงเข้าพรรษาที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา
ตอนบอกแม่ ในใจอยากออกบวช ถ้าเป็นผู้ชายไม่มีปัญหา ตั้งใจจะเป็นการออกจากบ้านครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่กลับมา ถ้าไม่ได้พบความสงบอีก เพราะถ้าจิตใจเรายังตกๆ หล่น เราจะเป็นที่พึ่งให้ใครไม่ได้ ก็สงสารแม่ ยังจำได้ว่า แม่ห้ามเราไม่ได้ รู้นิสัยเราว่าห้ามลูกสาวคนนี้ไม่ได้ ก็เลยขนข้าวของไปวัดที่พะเยา ในใจบอกตัวเองว่า ถ้าไม่สุขมากกว่านี้จะไม่กลับ
ไปถึงพะเยาเข้าพรรษามีความสุขมาก พ่อกับแม่เขียนจดหมายมาให้ลงมารับปริญญาก็ไม่มา ตอนนั้นไม่เห็นมีความรู้สึกอยากจะได้ปริญญาเลย ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไร ทำให้พ่อแม่เจ็บปวดไม่น้อย เพราะเป็นลูกคนเดียวใน 7 คนที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย และจบมหาวิทยาลัย
ตอนอยู่ที่พะเยาเขียนข้อธรรมเยอะมาก วิปัสสนูปกิเลสเยอะมาก คิดอะไรทะลุเข้าใจหมดเลย เพราะได้ทำสมาธิ ความสงบก็กลับมาอีก ในช่วงนั้นได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ส่งบทสติปัฏฐาน 4 ไปให้อาจารย์พุทธทาสอ่าน ท่านไม่ได้ตอบมาหรอก แต่พระรูปหนึ่งเขียนมาให้สั้นๆ ว่า ท่านอาจารย์บอกว่าเขียนได้ดี แล้วบอกว่าโยมคนนี้จะไปไกล อ่านแล้วก็ไม่กล้าให้ใครดู ก็ดูจิตใจตัวเอง ถ้าเราเก็บไว้มันจะเลียอีโก เลียตัวตนของตัวเองให้ฟู จะไม่ดี จดหมายนี้เลยไม่เก็บ เราจึงใส่จดหมายฉบับนี้ไว้ในดิกชินนารี่แล้วให้ครูที่พะเยาไป แต่เราก็ยังอยากลงสวนโมกข์เพื่อให้ท่านให้คำแนะนำอะไรกับเราบ้าง
แต่จิตใจตอนที่ออกจากพะเยามันเริ่มกระเพื่อมอีกแล้ว พอไปถึงสวนโมกข์อยู่ 7 วัน ไปพบอาจารย์โกวิท ที่สงขลาจิตใจกระเพื่อมมาก ไม่มีทางออกอีกแล้ว ความทุกข์โหมเข้ามารุนแรงมาก พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็รู้ว่าสภาพจิตใจแบบนี้กลับเข้าบ้านไม่ได้ก็เลยตัดสินใจไปถ้ำโพธิสัตว์ต่อ ในวันนั้นจำได้ว่านั่งรถเมล์ผ่านหน้าบ้านตัวเอง เห็นพี่สาวตัวเองท้องโต ก็บอกกับตัวเองว่า ถ้ากลับบ้านก็ไม่ได้ไปไหนอีก
พอไปถึงถ้ำโพธิสัตว์ ที่สระบุรี เป็นถ้ำที่เราเคยไปอยู่ตอนเป็นนักศึกษา เพื่อนเคยล้อว่า ในวัยของเธอนะ เด็กผู้หญิงสาวๆ มีแต่ต่อสู้เพื่อที่จะหาแฟน ส่วนเราต่อสู้เพื่อที่จะหาถ้ำของตัวเองอยู่ เพราะจิตใจต้องการปลีกวิเวกอย่างเดียว ต้องการทำแต่สมาธิ เราก็ได้กลับไปอยู่อีกครั้ง เหมือนเป็นถ้ำส่วนตัว ก็ขอพระอยู่เป็นเดือน ท่านก็ให้อยู่อีก 3 เดือน ถ้ำนี้อยู่บนหน้าผา วันที่หอบหมอนมุ้งขึ้นไปจำได้ว่ามีพระชาวต่างชาติรูปหนึ่ง สั่นหัวตลอดเวลาแล้วบอกว่า เราไม่ควรมาอยู่ที่นี่เพราะอันตรายมาก มีสัตว์ร้ายมากมาย แต่ใจเราอยากจะอยู่แต่ถ้ำ รู้สึกว่าถ้าได้อยู่คนเดียวจะมีความสุขมากที่สุด
0 ในถ้ำเป็นอย่างไรบ้างคะ
ข้างในมีที่เดินจงกรมประมาณ 7-8 ก้าว ต้นไม้ขึ้นสูง พระท่านก็ทำเพิงไว้ให้ เราก็วางพิมพ์ดีด วิวข้างหน้าคือป่า ถ้าจะนอนก็ต้องปีนขึ้นแล้วก็ปีนลงไปในถ้ำ ซึ่งความยาวเท่ากับความสูงของเรา คือลงไปแล้วก็เต็มเลย นั่งได้คนเดียว ต้องมีท่าที่นั่งด้วย แล้วก็นอนพอดีตัว ไม่ว่ากลางวันกลางคืนมืดสนิท ไม่เห็นแสงต้องจุดเทียน
0 ไม่กลัวเลยหรือคะ
มีความสุขมากที่สุด พอได้อยู่คนเดียวแล้วจิตมันก็รวม เกิดความสงบอีก เพราะเราได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก คือได้ทำสมาธิแล้วก็ขีดเขียนในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะเราจะมีความสุขมาก เหตุการณ์คืนหนึ่งมาย้อนดูถึงรู้ว่าสมาธิในขั้นสมถะดีมาก
คืนหนึ่ง เรานอนในถุงนอนที่เราเย็บเองจากเศษผ้าของพี่สาว เป็นผ้าบางๆ แล้วก็จุดเทียน เราได้ยินเสียงใบไม้ รู้ว่ามีสัตว์มา แต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร ความกลัวเริ่มมา สติทันทีเลย สูดลมหายใจแล้วดูใจตัวเอง ถ้าเป็นงูมันกัดเราก็คงตายไปเลย เพราะหมดสิทธิ์ที่จะร้อง คือจะหนีก็ไม่ได้ เพราะเป็นถ้ำที่จะลุกเร็วๆ ก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีสติ ถ้าลุกขึ้นมาหัวโขกถ้ำ ต้องค่อยๆ ลุก
เหตุการณ์อย่างนั้น ถ้าขาดสติ และกลัวอาจจะชนแง่งหินก็ได้ ก็เลยสู้ข้างในกำหนดสติ รู้ว่าความกลัวเข้ามา พอมีสติ ความกลัวก็หายไป นอนคอยอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่มันจะกัด รู้แต่ว่ามันพาดตัว มีน้ำหนัก มันอาจจะเป็นกิ้งก่าตัวใหญ่หรืองูก็ไม่รู้ แล้วมันก็พาดผ่านไปตรงแง่งหิน จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้คือตัวอะไร จริงๆ อยู่ตรงนั้นเสือจะเอาไปกินก็ได้
มานึกตอนหลังถ้าอยู่ที่นั่นตกลงไปจากหน้าผาจะเป็นอย่างไร แต่เราก็รอดมาได้ วันหนึ่งกลับออกมาเยี่ยมพ่อที่ลพบุรี แล้วก็มาพาแม่ไปดูว่าเราอยู่อย่างไรในถ้ำ แม่ชอบน้ำตกเวลาไปซักผ้า แล้วก็พาแม่มาส่งที่แก่งคอย บอกแม่ว่า แม่รู้แล้วนะว่าหนูอยู่อย่างไร แม่ไม่ต้องห่วง
พอสามเดือนผ่านไป สภาวะก็ยังมีแค่ความสงบเท่านั้นไม่ก้าวหน้า ในความคิดมีแม่เข้ามา และเริ่มกลัวว่า ถ้าเราอยู่อย่างนี้ต่อไป เราจะติดสงบ จะเข้าไปอยู่ในเมืองไม่ได้ เพราะว่าพอไปเยี่ยมพ่อ เห็นพ่อค้าขายกลุ้มใจเรื่องเงินทองก็ไม่ชอบชีวิตอย่างนั้น กลับมาปลีกวิเวก็สงบอีก เรามาดูตัวเอง เราไม่ใช่ผู้ชาย ถ้าเป็นผู้ชายไม่เป็นปัญหา เราเป็นผู้หญิงจะอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาก็ไม่ได้ เพราะแม่บอกแล้วว่าทำอะไรก็ทำแต่ห้ามโกนหัวบวชชีเด็ดขาด
0 แล้วเคยคิดจะบวชชีไหม?
เราเองก็ไม่ได้อยากจะบวชชี เพราะจะเข้าวัดก็ต้องมีเงิน เราคิดว่า ถ้าเราจะอยู่อย่างนี้ต่อไป เงินทองก็ไม่มีจะใช้ แล้วใครจะดูแลเราในเรื่องปัจจัย ถ้าแม่ยังห่วงเราที่บ้าน เราจะอยู่อย่างเป็นสุขไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจกลับบ้าน การปฏิบัติธรรมก็พอหอมปากหอมคอแล้วล่ะ สำหรับคนอายุ 23 ปีที่ออกบ้าน 7 -8 เดือน ตอนนั้นก็กลัวติดสงบนั่นแหละ ก็เลยกลับบ้านเพื่อแม่ แม่ดีใจ เราก็เริ่มต้นทำงาน
0 ทำไม่จึงเข้าไปทำงานในค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนไทย-เขมร
ตอนช่วงเขมรอพยพเข้ามาเมืองไทยก็ทุกข์อีกแล้ว คิดว่าเรามานั่งในห้องแอร์ แต่คนทุกข์อยู่ชายแดน เราน่าจะไปทำอะไร พอดีมีเพื่อนที่เขาไปทำงานกับผู้ลี้ภัย เราก็ถามเขาว่าสมัครที่ไหน เขาบอกว่าที่องค์การสหประชาชาติ ก็โทรฯเข้าไป เขาก็เรียกไปสัมภาษณ์ เขาถามว่าทำไมถึงอยากทำ ก็พูดออกมาจากหัวใจว่า รู้สึกไม่เป็นสุข อยากจะไปช่วยคนทุกข์ที่ชายแดน เขาบอกว่า คุณได้งานแล้ว บอกให้เราไปลางาน วันรุ่งขึ้นเราก็ไปทำงานเลย แต่ยังไม่กล้าบอกแม่ เพราะชายแดนละเอียดอ่อนมากตอนนั้น โกหกแม่นิดหน่อยว่าเขาส่งไปทำข่าวต่างจังหวัด เพราะการหายตัวไปของเราเป็นเรื่องธรรมดาของแม่
จากเงินเดือน 2,000-3,000 บาท คราวนี้ได้ที 7,000 บาท ร่วม 10,000 บาท ก็รู้สึกว่า เวลาเงินมาก็มาง่าย แต่พอไปทำงานแล้วก็เจอเหตุการณ์หนึ่งทำให้เรารู้มากเกินไป ไปรู้เบื้องหลังการเมืองที่สกปรกว่า คือคนเขมรถูกสงครามมาเกือบตาย เราก็ช่วยเหลือเขาจนกระทั่งเขาดีขึ้น แต่การเมืองของใครก็ไม่รู้ ก็แอบส่งเขมรแดงพวกนี้กลับไปทำสงครามในเขมรอีก กลางคืนเป็นรถๆ เลย เริ่มคิดมากอีกว่า มาทำงานก็เพื่อช่วยเขา ต้องการให้เขาอยู่เป็นสุข แก้ปัญหา แต่นี่คือการเมืองระดับโลก เป็นเรื่องของอเมริกา ของมหาอำนาจ เรากลับมาตั้งคำถามกับชีวิตอีกแล้วว่าเกิดมาทำไม ไม่อยากรับใช้หน่วยงานที่สร้างปัญหาให้กับคนอีกแล้ว แม้ว่าเงินมาก เมื่อมันไม่ตรงกับอุดมคติของเราก็ไม่ทำ
0 แล้วไปทำอะไรต่อ
ช่วงนั้นภารกิจข้างในยังไม่หมด ยังอยากเก็บตัวทำสมาธิ ไปบวชก็ไมได้ รู้สึกเจ็บใจมากที่ไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย อายุก็มากขึ้น แม่ก็ห่วงว่ายังไม่ได้แต่งงาน ตอนนั้นตั้งใจว่าจะไม่แต่งแล้วนะ แต่ก็จับพลัดจับพลูมาเจอแบรี่ ชาวอังกฤษที่มาหลงรักเราอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะขอแต่งานอย่างเดียว เขาทำงานโรงงาน แล้วมาเป็นอาสาสมัครเหมือนกัน มาเจอกัน ช่วงเดียวกันก็มีหมอหนุ่มชาวสวิสก็ขอแต่งงานเหมือนกัน เราไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเขาเลย
นั่งสมาธิทุกครั้งเราได้คำตอบทุกครั้งว่า เพราะการทำงานกับกรรมกรในวันนั้น ถ้าเราใช้ชีวิตต่ำๆ อย่างนั้นได้ เราจะเข้าถึงความเป็นธรรมดาของชีวิต เราจะมีความสุข
เราคิดว่า ถ้าเราแต่งงานกับหมอเราก็ต้องเป็นภรรยาหมอ แต่เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราไม่ชอบแต่งตัว เราจะไปวางตัวอย่างไร เป็นไปไม่ได้ แต่แบรี่เป็นช่างซ่อมรถ เขาธรรมดามาก ในสายตาเขาเรารู้ว่า เขารักเรา แต่เราไม่รู้ว่าเขาจะเลี้ยงเราได้ไหม เราไม่รู้ว่าเราจะต้องรับผิดชอบครอบครัวกันอย่างไร แต่เราทำหน้าที่เพื่อพ่อแม่เป็นสุข เพราะเป็นลูกคนจีน ถ้าไม่แต่งเขาจะไม่หมดห่วง
พอแต่งไปแล้วก็ oh my God! ไม่ได้แต่งไปเชียงใหม่ แต่แต่งห่างจากเมืองไทยไป 6,000 กิโล วันที่ไปถึงบ้านเขา ยังคิดว่าเราฝันร้ายแน่ๆ เลย ไปดูพ่อแม่เขา ไม่รู้จักใครเลย แล้วยิ่งผู้ชายคนนี้เรายังไม่แน่ใจเลยว่าเรารักเขาหรือเปล่า ตายแล้ว เราจะทำอย่างไร
ตอนนั้นก็แพ้ท้อง สะบักสะบอมมากทั้งทางกายและทางใจ เดือนมกราคมหนาวสุดขีดเลย ไปนั่งอยู่หน้าห้องนั่งเล่นของเขา อยากจะให้เวลานั้นเป็นฝันร้าย เปิดประตูออกมาเป็นความจริงเจอกับพ่อแม่พี่น้อง อยากให้เกิดอย่างนั้นจริงๆ อยากกลับบ้าน ถ้าไม่ได้ท้องจะซื้อตั๋วเครื่องบินกลับบ้านทันที แต่เพราะมีความรับผิดชอบถึงทุกข์มาก ผู้หญิงท้อง ฮอร์โมนก็เปลี่ยนแปลง ตอนก่อนแต่ง เราคิดว่าไปถึงอังกฤษจะทำงาน ไม่ได้คิดว่าจะท้องก่อน แต่พอไปถึงมันไม่ใช่อย่างที่คิด เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาก
0 แล้วได้นั่งสมาธิภาวนาบ้างหรือเปล่า?
ทุกอย่างมันโหมเข้ามา สมาธิที่เคยดิ่งอยู่ในถ้ำมันหายไปหมด มีแต่ก้อนทุกข์อยู่ถาวรเลย สองปีแรกของชีวิตแต่งงานร้องไห้ทุกวัน ไม่ร้องไห้เพราะอยากกลับบ้าน ก็ร้องไห้เพราะหนาวมาก แล้วฮอโมนก็ปั่นป่วน ทำสมาธิไม่ได้เลย แต่ก็มีบ้างที่ทำสมาธิพอเกิดความสงบบ้างก็เกิดกำลังใจ
พอลูกคลอด เรารู้เลยว่าทุกข์ของจริง เราทำอะไรไม่ได้เลย ไม่เหมือนตอนเราเป็นนักกิจกรรมที่มั่นใจมาก รู้สึกว่าเราล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า รู้สึกอาย เขิน เรื่องธรรมะไม่ได้เกี่ยวกับเราแล้ว
ตอนนั้นเราไม่รู้เลยว่า การเห็นก้อนทุกข์นั้น ความจริงแล้วเป็นการเดินหน้า เราก็อยู่อย่างสุกๆ ดิบๆ มีเวลาก็ทำสมาธิ ถึงจุกหนึ่งตอนที่ลูกยังเล็กก็คิดว่า ถ้าเราเขียนหนังสือได้ เราจะมีความสุข เหมือนเราได้อยู่ในโลกของตัวเอง หนีโลกของความเป็นจริงเพื่อเข้ามาอยู่ในอีกโลกหนึ่ง คือการเขียน
ก็เลยเริ่มงานชิ้นใหม่ขึ้นมาใช้ชื่อว่า 'จำนรรจาประสาคนไกลบ้าน' เป็นเรื่องแรก เป็นบันทึกเหตุการณ์ของผู้หญิงคนหนึ่งใช้นามปากกาว่า 'มุทรา' ตอนนั้นเราพบพระไพศาล วิสาโล ที่วัดอมราวดี ในอังกฤษ ก็เลยบอกท่านว่า เขียนประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่มาอยู่อังกฤษตอนแรกๆ ท่านก็ให้เอามาดู และให้โกมลคีมทองจัดพิมพ์ให้ ก็เลยเป็นที่มาของหนังสือเล่มอื่นๆ อีกหลายเล่ม
0 สำหรับเรื่อง 'อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน' ล่ะคะ เล่มนี้มีทั้งคนชอบและแอนตี้มาก?
ตอนเขียนเรื่องนี้เจ็บปวดพอสมควร เพราะไม่ใช่เรื่องที่ต้องการเขียน โดยเฉพาะชื่อเรื่องแปลกมาก ไม่รู้มีอะไรมาดลใจให้เขียนเกี่ยวกับรายละเอียดชีวิตของเรา เวลาเขียนก็สับไปสับมา เรารู้สึกว่ามีความคิดกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้เราเขียนอะไรลงไป ก็คิดว่าทำโน้ตเอาไว้ ประสบการณ์บางอย่างมันหายไปแล้ว อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาอย่างชัดเจน แล้วมันเกี่ยวกับประสบการณ์ทางธรรมของเราด้วยก็อธิบายซักหน่อย เขียนไปเขียนมาก็ติดพันมาเรื่อยๆ
ตอนนั้นอยู่ในสวนหลังบ้าน ก็ถามตัวเองว่า ถ้าสมมติจะให้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งจะตั้งชื่อว่าอะไรดี ทันทีที่ตั้งคำถามเสียงเข้ามาในหัวทันทีเลย ชื่อนี้ 'อวดอุตริมนุสธรรมที่มีในตน' ปฏิกิริยาแรกที่บอกกับตัวเองก็คือ บ้าสิ ใครจะมาหลอกเราหรือเปล่า ใครจะไปเขียนหนังสืออย่างนี้ได้ พอชื่อนี้เข้ามาในหัว ความคิดมันไม่ปล่อย
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าความคิดนั้นไม่ใช่มายาของเรา ไม่ใช่ความคิดมาก ไม่ใช่ความเพ้อฝันของเรา เราก็ปล่อยความคิดนี้ทิ้งไว้ 5-6 เดือนก็ถามตัวเองอีก ชื่อนี้ชัดแจ๋ว ถามชื่อเรื่องกับตัวเองทุกที อวดอุตริทุกครั้ง ยังทะเลาะกับตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าทำไมถึงจะต้องหาเหามาใส่หัว ตั้งชื่อแบบนี้ แม้กระทั่งเขียนจบแล้ว กำลังเขียนบทนำ ก็ยังบอกกับตัวเองว่าถ้ามีทางเลือกจะไม่เอาชื่อนี้
พอเขียนไปได้ 11 เดือนผ่านไปก็เห็นโครงสร้างทั้งหมด พอเขียนจนจบจึงรู้ว่า ถ้าเราไม่พูดกับคนว่าเรารู้สภาวะนิพพานนี้ เราก็สอนคนไม่ได้ รู้ละว่าคนหมั่นไส้ว่ามันอวดดีอวดเก่งเกินไป แม้บัดนี้ถ้าจะต้องพิมพ์ใหม่ จะต้องเปลี่ยนชื่อก็ไม่ว่าอะไร แต่รู้สึกว่าคนส่วนมากที่หยิบอ่านก็เพราะชื่อนี้เหมือนกัน
0 'นิพพาน' ก็เลยกลายเป็นจุดขาย?
พูดไปมันคือสไตล์ของเรา คือทำอะไรแบบลุย บางคนวิจารณ์เราว่า ทำไมพูดเรื่องนิพพานแต่ทำเหมือนกับมีตัวตน เพราะเขาไม่เข้าใจหัวใจงานของเราจริงๆ ก็เลยอธิบายเป็นเหตุเป็นผลว่า นอกจากตัวนิพพานที่ไม่มีตัวตนที่เราเข้าไปสู่สภาวะนั้น แต่นอกเหนือจากเวลานั้นเป็นเรื่องของตัวตน เป็นเรื่องของโลกสมมติทั้งนั้น การเข้ามาเกี่ยวข้องกับโลกสมมติจำเป็นต้องใช้ตัวตน ถ้าเราอยู่กับผัสสะบริสุทธิ์ แล้วไม่ต้องทำอะไรเรื่องก็จบ เหตุที่ต้องพูด เหตุที่ต้องอวดอุตริ เหตุผลหลักก็คือ ถ้าเรากินทุเรียนมาแล้วมาบอกว่ารสชาติทุเรียนเป็นอย่างนี้นะ ฉะนั้นถ้าคุณไม่เคยกินทุเรียนแล้วมาบอกว่า ไม่ใช่ รสทุเรียนมันนาจะเป็นอย่างนี้ เพราะหนังสือบอกว่ารสทุเรียนน่าจะเป็นอย่างนี้ ตกลงใครถูกใครผิด
เราถึงพยายามพูด นิพพานเป็นเรื่องง่ายก็เลยออกมาบอกว่านี่คือสภาวะนิพพาน เพราะนี่คือจุดปกติที่แท้จริง ถ้าเราไม่พูดเริ่มต้นที่จุดนี้ว่าเรารู้แค่ไหน เราจะอธิบายได้อย่างไร
จดหมายในเวบไซต์ คนที่ออกมาบอกว่าเราหลงตัวเองเนี่ย เราพูดตรงๆ เลย คนที่หายหลงเท่านั้นจึงจะรู้ว่าคนอื่นยังหลงอยู่ ถ้าคุณยังหลงตัวเอง คุณไม่สามารถตัดสินได้ว่าดิฉันหลงตัวเองหรือเปล่า เพราะจะเอาหลักอะไรมาพูดว่า ใครบ้า ใครไม่บ้า ใครหลง ใครไม่หลง