: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความรัก=มงกุฎบุปผา+ไม้กางเขน (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

ความรัก=มงกุฎบุปผา+ไม้กางเขน (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

ปุจฉา

ทำไมคนที่เคยรักกันมาอย่างลึกซึ้ง เมื่อถึงเวลาหนึ่งกลับสามารถฆ่าคนรักของตัวเองได้ลงคอ เท่านั้นไม่พอ บางทียังมีการฆ่าแล้วหั่นศพคนที่ตนรักอีกต่างหาก ไหนใครๆ ก็บอกว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ในกรณีอย่างนี้ ความรักกลับกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่น่ากลัว สมมติว่า ถ้าผมกำลังตกหลุมรักใครสักคนหนึ่ง (เป็นชาวต่างชาติครับ) ผมควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรดีครับให้ความรักราบรื่น การเรียนก็ประสบความสำเร็จ

ภาวิช/ซิดนีย์/ออสเตรเลีย


วิสัชนา

หากใครเคยไปเยือนโรงมหรสพทางวิญญาณที่สวนโมกขพลาราม ของท่านพุทธทาสภิกขุ ก็จะเห็นว่า ในโรงมหรสพแห่งนั้น มีภาพปริศนาธรรมมากมาย หนึ่งในภาพเหล่านั้นซึ่งผู้เขียนประทับใจมากก็คือ ภาพ 'หัวสมอง' กับ 'หัวใจ' วางอย่างสมดุลอยู่บนตราชั่ง สาระสำคัญของปริศนาธรรมที่ว่านี้ก็คือ ในการทำอะไรก็ตาม ควรจะยึดหลัก 'ทางสายกลาง' โดยให้ 'หัวสมอง' ประสานกันอย่างได้สมดุลกับ 'หัวใจ' เสมอ

หัวสมอง ก็คือ เหตุผล มโนธรรม และสติสัมปชัญญะ

หัวใจ ก็คือ อารมณ์ หรือความรู้สึก

หัวสมองและหัวใจคือส่วนผสมซึ่งขาดไม่ได้ในชีวิตของคนเรา คนที่ดำเนินชีวิตโดยใช้แต่หัวสมอง จะกลายเป็นคนที่เก่ง อัจฉริยะ รอบรู้ แต่จะขาดความอ่อนโยน ขาดจิตสำนึกสาธารณะ เห็นแก่ตัว และบางทียิ่งเก่ง อาจยิ่งโกง

ส่วนคนที่ใช้แต่หัวใจนำทาง ก็มักจะกลายเป็นคนที่อยู่ในโลกแห่งความเพ้อฝัน โรแมนติก หรืออยู่ในโลกแห่งความคิดฝัน อุดมคติ มากกว่าโลกแห่งความเป็นจริง และที่สำคัญ มักกลายเป็นคนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์โลภ โกรธ หลง อย่างง่ายดาย รักง่าย หลงง่าย เลิกง่าย ฉุนเฉียว หงุดหงิดง่าย รู้สึกอย่างไรก็มักอ่อนไหวไปตามแรงเหวี่ยงของความรู้สึกนั้นๆ อย่างแรง โดยขาดความยับยั้งชั่งใจ

ต่อเมื่อใดก็ตามหัวสมองกับหัวใจบรรเลงอย่างประสานสอดคล้องกัน จนเกิดสมดุล ชีวิตจึงจะราบรื่นทั้งโลกของการเรียน การงาน และความรัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใครสักคนหนึ่งตกหลุมรัก หัวสมองมักจะด้านชา แต่หัวใจมักจะคึกคะนอง โลดโผนกระชุ่มกระชวยมากเป็นพิเศษ บางรายปล่อยหัวใจนำทางจนเสียผู้เสียคน อกหักจากคนรักครั้งแรกอาจถึงขนาดทำร้ายตัวเอง หรือทำร้ายคู่รักของตนจนถึงแก่ชีวิตก็ได้ บางคนไม่ทำร้ายตัวเอง แต่ก็ป่วยด้วยโรคทุกข์ซ้ำซากอย่างยาวนาน กว่าจะถอนตัวถอนใจจากความหลังได้ก็กินเวลายาวนาน ด้วยเหตุนี้ เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มตกหลุมรักใครสักคน ควรถามตัวเองว่า หัวสมองกับหัวใจของเราทำงานร่วมกันดีอยู่หรือเปล่า หรือหากจะมองอีกแง่หนึ่ง

หัวสมองก็เหมือนกับแจกันซึ่งแข็งกร้าว

ส่วนหัวใจก็เหมือนกับดอกไม้ซึ่งอ่อนโยน

ทั้งสองอย่างนี้มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันเลย แต่ถ้ามาอยู่ด้วยกันอย่างสมดุลเมื่อไหร่ แจกันและดอกไม้ก็ก่อให้เกิดความงามได้อย่างลงตัว ความรักของคนเราก็เช่นเดียวกัน ถ้าหัวสมอง (แจกัน) และดอกไม้ (อารมณ์) สามัคคีกัน ประสมกลมกลืนกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่รักมากจนงมงาย ไม่มีเหตุผลมากมายจนขาดชีวิตชีวา ชีวิตรักของเราก็สดชื่น เบิกบาน ราบรื่น ดำเนินไปอย่างสวยสดงดงาม

แต่การจะบริหารหัวสมองกับหัวใจไม่ใช่ของง่ายเลย ผู้รู้แต่ก่อนท่านจึงมักเตือนคนที่ตกอยู่ในภวังค์รักว่า 'ความรักมักทำให้คนตาบอด' คาลิล ยิบราน มหากวีผู้มีพุทธิปัญญาเป็นเอกคนหนึ่งของโลก ก็กล่าวเตือนคนเริ่มมีความรักเอาไว้อย่างน่ารับฟังว่า

"...เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ มันก็จะตรึงกางเขนเธอ และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น มันก็จะลิดรอนเธอด้วย แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย..."

ความรักจะบริสุทธิ์ งดงาม ก็ต่อเมื่อหัวสมองและหัวใจวางอยู่บนตราชั่งอย่างสมดุล เช่นที่กล่าวมานั้น ถ้าเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป ความรักซึ่งใครต่อใครมักมองว่าเป็นสิ่งสวยงามก็จะกลายเป็นสิ่งแสนทรามได้ รักมากขนาดไหน ก็ทำร้ายได้มากขนาดนั้น เพราะความรัก ความชังเป็นปฏิภาคผกผันซึ่งกันและกัน ขึ้นลงผันแปรโดยเกี่ยวเนื่องกันอย่างยากที่จะแยกออกเหมือนน้ำขึ้นน้ำลงมีผลโดยตรงกับแรงดึงดูดจากพระจันทร์ ส่วนที่ถามว่า ทำไมคนที่รักกันจึงฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งได้ลงคอ ตอบว่า สาเหตุที่คนรักฆ่าคนรักนั้น มีมากมายเหลือเกิน บางทีเหตุผลของการฆาตกรรมคนรักอาจไม่ได้มาจากเรื่องความรักความหึงหวงเลยก็เป็นได้ แต่อาจมาจากความใคร่ ความหลงผิด หรือความตกเป็นทาสของอารมณ์อย่างชั่ววูบ เช่น ความทะเลาะเบาะแว้ง ความเข้าใจผิด ฯลฯ อารมณ์อย่างหนึ่งซึ่งควรระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีความรักก็คือ 'อารมณ์หึงหวง' ซึ่งภาษาพระท่านเรียกว่า 'ภวตัณหา' อันได้แก่ ความรู้สึกว่า คนที่เรารักนั้นเป็น 'สมบัติของเรา' แต่เพียงผู้เดียว โดยลืมนึกถึงความจริงพื้นฐานไปว่า คนที่เรารักนั้นมีความซับซ้อนมากกว่าสมบัติซึ่งเป็นวัตถุสิ่งของ เมื่อเรารักใครสักคนต้องระลึกอยู่เสมอว่า คนที่เรารักไม่ใช่สมบัติของเราแต่เพียงผู้เดียว แต่เขาก็ยังคงเป็นสมบัติของตัวของเขาเอง ซึ่งเราต้องเคารพและให้เกียรติ นอกจากนั้นเขาก็ยังเป็นสมบัติของพ่อแม่พี่น้องของเขาอีกด้วย พอเราคิดจะให้คนซึ่งมีชีวิตจิตใจ ปัญญา อารมณ์ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับคนอื่น/สิ่งอื่น มายอมสยบอยู่ในอาณัติของเราเพียงคนเดียวอย่างไม่มีเงื่อนไขด้วยประการทั้งปวง แต่พอทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ใจหวัง ความแตกหักก็จะเกิดขึ้นตรงนี้เอง

ความหึงหวงฆ่าคนรัก ฆ่าอนาคตของคนที่กำลังมีความรักมามากต่อมากแล้ว และก็คงจะฆ่าคนอีกมากมายในอนาคต ตราบเท่าที่เขาเหล่านั้นสนใจแต่จะรัก โดยที่ไม่เคยคิดจะเรียนรู้เรื่องความรักอย่างถ่องแท้ ดังนั้น เมื่อมีความรักเกิดขึ้นในดวงใจ ก็ควรจะเปิดตาเปิดใจของตัวเองเอาไว้ให้กว้างเสมอ อย่าจมดิ่งลงไปในหลุมดำของความรักจนลืมพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน อนาคต ภาระหน้าที่ ศีลธรรม และสถานภาพทางสังคมของตัวเอง เมื่อตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ควรหาทางชั่งดูหัวใจและหัวสมองของตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่า สองสิ่งนี้ยังสมดุลกันดีอยู่หรือไม่ อย่าริรักทั้งๆ ที่ยังหลับตา แต่จงรักอย่างลืมตาอยู่เสมอ