: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่? (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่? (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

ปุจฉา

นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่ หรือว่าเป็นเพียงกุศโลบายอย่างหนึ่งในการสอนธรรมะของพระพุทธเจ้า

ภุชงค์/เชียงใหม่

วิสัชนา

คำถามที่ว่า 'สวรรค์-นรก' มีจริงหรือไม่ นับเป็นคำถามคลาสสิกสำหรับทุกศาสนาที่ผู้สอนศาสนาหรือผู้ที่สนใจในศาสนาของตนอย่างลึกซึ้ง จะต้องเพียรตอบตัวเองและตอบคนอื่นๆ ที่คอยถามไถ่อยู่เนืองๆ ให้ได้ ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน มีผู้ถามอยู่เนืองๆ ว่า นรกสวรรค์เป็นอย่างไรแน่ และก็มีผู้ตอบคำถามเหล่านั้นเอาไว้หลายแง่มุมแตกต่างกันบ้าง เหมือนกันบ้าง เราลองมาสำรวจกันดูหน่อยสิว่า คำตอบต่อคำถามนี้ เป็นอย่างไร

ถ้าตอบตามคัมภีร์พระไตรปิฎก เราชาวพุทธทุกคนก็ควรจะตอบได้ว่า นรกสวรรค์นั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 3 มิติ คือ

(1) นรก สวรรค์ ในมิติสถานที่ ซึ่งมีอยู่หลังความตาย นรก สวรรค์ในข้อนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า นรก สวรรค์ ในแง่กายภาพจะสัมผัสได้ว่ามีหรือไม่มีก็ต่อเมื่อสิ้นลมหายใจไปแล้ว นรกสวรรค์ในด้านกายภาพนี้ ดูเหมือนจะมีกล่าวไว้ในแทบทุกศาสนา

(2) นรก สวรรค์ ในมิติจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน นรก สวรรค์ ในข้อนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นรก สวรรค์ ในแง่จิตใจ หรือที่คนไทยเรียกกันอย่างคุ้นปากว่า 'สวรรค์ในอก นรกในใจ' นรก สวรรค์ ในข้อนี้หมายเอาระดับภูมิชั้นของจิตใจ คือ ถ้าใจดี ก็เหมือนอยู่ในสวรรค์ ถ้าใจร้ายก็เหมือนกับอยู่ในนรก นรกสวรรค์ด้านจิตใจนี้ สัมผัสได้ทันทีในชีวิตนี้

(3) นรก สวรรค์ ในมิติปัจจุบันขณะ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับรู้สิ่งเร้าทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยขาดสติ จิตใจจึงไหวหรือกระเพื่อมตามสิ่งที่รับรู้ ถ้ารับรู้แล้วดีใจหรือใจดี ก็เป็นภาวะของสวรรค์ ถ้ารับรู้แล้วรู้สึกเสียใจหรือใจเสีย ก็เป็นภาวะของนรก นรกสวรรค์ในข้อนี้ก็เช่นเดียวกับข้อ 2 คือ สัมผัสได้ทันทีในชีวิตนี้ แต่มีช่วงสั้นหรือละเอียดกว่า คือ วัดกันที่ทุกขณะจิตหรือทุกขณะที่เกิดการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 และทางใจ

สวรรค์ในอก นรกในใจ หรือนรกสวรรค์ในปัจจุบันขณะนั้น เข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องการการพิสูจน์มากนัก เพราะเป็นเรื่องที่แต่ละคนประจักษ์ได้อยู่แล้วด้วยตนเองในชีวิตประจำวัน บางคนวันหนึ่งๆ ขึ้นสวรรค์ในอก และตกนรกในใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่เป็นเพราะไม่เคยสังเกตเลยว่าตัวเองอยู่ในนรกหรือกำลังขึ้นสวรรค์อยู่ในปัจจุบันขณะ ด้วยเหตุนี้เอง บรรดาคนขาดสติทั้งหลายจึงตกนรกและขึ้นสวรรค์กันเป็นว่าเล่น จนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างหนึ่งของชีวิต แล้วก็เลยพานพากันเข้าใจอย่างผิดๆ ว่า นรกสวรรค์เป็นเรื่องไกลตัว ต้องเผชิญกันต่อเมื่อตายแล้ว หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วตัวเองกำลังวุ่นวายอยู่ในนรกสวรรค์ในปัจจุบันขณะ ทั้งๆ ที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่เอง

ส่วนนรก สวรรค์ ในมิติสถานที่นั้น ยังเป็นข้อถกแถลงของชาวพุทธอยู่เสมอมา เมื่อผู้รู้ท่านยอมรับว่า นรกสวรรค์ในมิติสถานที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ถ้าเช่นนั้นแล้ว ก็ควรถามต่อไปว่า ที่ว่ามีอยู่จริงนั้น มีอยู่ที่ไหน ตอบได้ว่า อาจจะมีอยู่เป็นภพๆ หนึ่งซึ่งอยู่ในโลกเดียวกันกับเรานี่เองก็เป็นได้ หรือมีอยู่ในอีกมิติหนึ่งซึ่งต่างจากโลกของเราออกไปก็ได้ ที่กล่าวว่า มีอยู่ในโลกเดียวกันกับเรา ก็เช่นเคยมีเรื่องราวบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกว่า ที่เชิงเขาคิชฌกูฏในรัฐมคธนั้นเอง มักจะมีคนพบเห็นเปรตอยู่บ่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งมีพระรูปหนึ่งเห็นเปรตด้วยตาตนเองเข้าอย่างจัง จึงนำเรื่องนี้ไปทูลรายงานให้พระพุทธเจ้าทรงสดับ พระพุทธเจ้าทรงรับรองว่า เปรตที่ท่านเห็นนั้นเป็นเปรตจริงๆ ที่มีอยู่จริงแถวบริเวณเชิงเขาแห่งนั้น และก็ตรัสยืนยันว่าทรงเห็นเปรตเหล่านั้นจนเคยชิน แต่ที่ไม่ทรงนำมาบอกใครก็เพราะเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องมือดูเปรตอย่างที่ทรงมี

จากเหตุการณ์นี้ก็ทำให้เราได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า ถ้าเปรตมีอยู่จริงแถวเชิงเขาคิชฌกูฏ ก็แสดงว่า แถวนั้นก็เป็นนรกของเปรตนั่นเอง หรือเปรตและสัตว์นรกชนิดอื่นก็อยู่ในโลกเดียวกับเรานี่เอง ได้ไม่อยู่นอกโลกแต่อย่างใด แต่คนช่างสงสัยก็จะถามต่อไปอีกว่า ในเมื่อเปรตซึ่งเป็นสัตว์นรกประเภทหนึ่งกำลังชดใช้กรรมอยู่ในภพเดียวกับเรานี่เองแท้ๆ ถ้าเช่นนั้นแล้วทำไมเราจึงมองไม่เห็นเปรตเหล่านั้นบ้าง ข้อนี้ตอบได้ว่า ที่เรามองไม่เห็นก็เพราะว่าเราขาด 'เครื่องมือ' ที่จะทำให้มองเห็นเปรตหรือสัตว์นรกเหล่านั้นต่างหาก

สิ่งที่เราไม่เห็น ใช่ว่าจะไม่มี

สิ่งที่มี ไม่แน่ว่าเราจะมองเห็น

นรก สวรรค์ เปรต อสุรกาย สัตว์นรกทั้งหลายก็ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน

0 0 0

ซามูไรผู้มีฝีมือไร้เทียมทานคนหนึ่ง นามว่า 'โนบูชิเกะ' ได้แวะไปหาท่าน 'ฮากูอิน' ซึ่งเป็นอาจารย์เซนผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคคนหนึ่งของญี่ปุ่น เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากันแล้ว โนบูชิเกะ ได้เรียนถามขึ้นว่า

"ท่านครับ สวรรค์และนรกมีจริงไหม"

"แกเป็นใคร" อาจารย์ฮากูอินถาม

"ข้าพเจ้าเป็นนักดาบซามูไร"

พอรู้ว่าคนที่ถามเป็นนักดาบซามูไรเลื่องชื่อ แต่แทนที่ท่านฮากูอินจะตื่นเต้นเหมือนคนทั่วไปที่ได้อยู่ต่อหน้าคนมีฝีมือเช่นโนบูชิเกะ ท่านกลับทำตรงกันข้ามโดยถามกลับไปอย่างไม่ไยดีนักว่า

"อ้อ! เป็นทหารหรอกรึ ฉันสงสัยนักว่า น้ำหน้าทหารอย่างเจ้าน่ะ จะมีพระราชามหากษัตริย์ที่ไหนมาสนใจจ้างเจ้าไปเป็นนักรบ ทำไมน่ะรึ ก็ดูสารรูปเจ้าสิ มอซอยังกะขอทานแน่ะ"

คำปรามาสของอาจารย์ฮากูอิน เหมือนมีดคมกริบที่ปักเข้าตรงกลางใจของซามูไรหนุ่มอย่างแม่นยำ จนเขาเผลอตัวชักดาบขาววับออกมาจากฝักครึ่งเล่ม ทันใดนั้นเสียงของท่านฮากูอินก็ดังสวนขึ้นมาอีกว่า

"อ้อ! พกดาบมาด้วยรึ อ้ายดาบทื่อๆ ของแกน่ะ มันตัดคอฉันไม่ขาดร้อก"

ประโยคนี้ทำเอาซามูไรเลือดร้อนชักดาบออกมาจากฝักด้วยความโกรธสุดขีด แต่ท่านฮากูอินยังคงสงบ ไม่มีอาการของความประหวั่นพรั่นพรึงต่อคมดาบวับวาวนั้นแต่อย่างใด เท่านั้นไม่พอ ท่านยังกรุณาชี้ทางสว่างให้อีกว่า

"นี่ไงล่ะ ประตูนรกเปิดแล้ว"

โนบุชิเกะได้ฟังข้อความนี้ก็พลันฉุกคิดได้ ว่าตัวเองกำลังเตลิดไปไกลจนเกือบพลาดท่าทำร้ายยอดคนแห่งยุคสมัยคนหนึ่งเสียแล้ว จึงเกิดความรู้สึกละอายแก่ใจ ค่อยๆ สอดดาบคืนเข้าฝักตามเดิมพลางก้มลงกราบอาจารย์ฮากูอินด้วยความซาบซึ้งในเมตตาธรรมที่ท่านมีต่อตนอย่างล้นเหลือ ท่านฮากูอินเห็นซามูไรหนุ่มเลือดร้อนเก็บดาบเข้าฝักอย่างเรียบร้อย ทั้งยังหมดอหังการเปลี่ยนเป็นคนละคนอีกต่างหาก จึงพูดยิ้มๆ ว่า

"นี่ไงล่ะ ประตูสวรรค์เปิดแล้ว"