: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กระสุนฝังใน! ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี

กระสุนฝังใน! ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี
ปราณ, จดหมายฉบับนี้ครูเขียนที่ดอยสันกู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ครูมาร่วมจัดคอร์สภาวนา 'สู่ตาน้ำแห่งโพธิ' ร่วมกันกับศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ จากหมู่บ้านพลัม ประเทศฝรั่งเศส ค่ายภาวนาเพื่อการตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันขณะคราวนี้ มีคนสมัครเข้ามาร่วมมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และข้อที่คณะของเราไม่คาดมาก่อนก็คือ มีชาวต่างประเทศมาร่วมกว่าสิบคน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่ได้แจ้งลงทะเบียนมาก่อนเลย แต่พอทราบข่าว ต่างก็พากันมาด้วยใจสมัครจริงๆ ตลอดเวลาที่มีการปฏิบัติ และมีการบรรยายธรรมเพื่อการตื่นรู้ จึงมีการใช้ล่ามอาสาสมัครมาช่วยแปลโดยตลอด ที่น่ารักก็คือ ทุกคนที่มาช่วยงาน ต่างมากันด้วยหัวใจจริงๆ ค่ายภาวนาของเราคราวนี้จึงมีสมาชิกมากมายเหมือนเป็นองค์กรสหประชาชาติเลยทีเดียว
ตลอดเวลาของการจัดภาวนา มีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นที่นี่มากมาย แต่ละเรื่องล้วนเกื้อกูลต่อการฝึกปฏิบัติของผู้สนใจเจริญสติทั้งสิ้น ครูจะขอเล่าให้เธอฟังแบบสบายๆ ก็แล้วกัน เมื่อแรกออกเดินทางมาเชียงใหม่นั้น ครูมาเกือบล้าหลังทุกคนเพราะมีภารกิจด่วนที่กรุงเทพฯ จึงเป็นเหตุให้ต้องจับเครื่องบินมาคนเดียว เที่ยวบินที่ครูโดยสารมานั้นมีผู้โดยสารเต็มลำ ครูได้ที่นั่งติดหน้าต่างกับนักวิชาการคนหนึ่งซึ่งจากการสังเกตทำให้ทราบว่า เขาเดินทางมาเชียงใหม่เพื่อสอนพิเศษที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตลอดเวลาที่นั่งมาด้วยกัน ครูสังเกตดูพบว่า เขาอ่านเอกสารเพื่อเตรียมการสอนมาตลอดทางและเอกสารทุกหน้าล้วนเป็นภาษาอังกฤษ ดูท่าทางเขาหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่มีความสุขเลย ขณะที่เครื่องเหินฟ้ามาได้ราว 10 นาทีนั้นเอง ลูกสาวของผู้โดยสารที่นั่งแถวหน้าของครูก็ร้องให้จ้าขึ้นมาเสียงดังลั่น และร้องอยู่อย่างนั้นนานกว่าสิบนาที ผู้เป็นแม่ปลอบอย่างไรเด็กก็ไม่ยอมหยุดเสียที ครูกับนักวิชาการคนนั้นนั่งเบาะเดียวกัน แต่สำหรับครู เสียงร้องของเด็กทำให้ครูยิ้ม เพราะครูรู้ว่า เด็กคนนี้โชคดีมากมายที่มีโอกาสได้ขึ้นมาร้องไห้บนเครื่องบิน และก็โชคดีอีกต่อหนึ่งที่เธอร้องไห้อยู่ในอ้อมอกแม่ผู้เปี่ยมเมตตา โชคดียิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่มีผู้โดยสารคนไหนลุกขึ้นมาโวยวายเลย นี่แสดงว่า เสรีภาพยังมีอยู่มากมายในเมืองไทย นึกถึงเหตุผลเหล่านี้แล้วก็ทำให้ครูอดยิ้มไม่ได้ ขณะที่ยิ้มนั้นครูก็ยังถือเอาเสียงของเจ้าหนูนั่นเองเป็นอุปกรณ์ช่วยให้เราเจริญสติได้อีกด้วย ครูยังนึกในใจเลยว่า "ขอบใจนะหนู เสียงร้องของเธอน่ะช่วยให้ฉันตื่นรู้ได้ดีมากเลยทีเดียว"

ในขณะที่ครูยิ้มอย่างสงบนั้นเอง นักวิชาการคนที่นั่งติดกันมานานและแสดงอาการหงุดหงิดทันทีที่ได้ยินเด็กร้อง พร้อมกับความหงุดหงิดเธอยังพยายามคุกคามผู้เป็นแม่ของเด็กด้วยการปรามด้วยสายตาเป็นทีให้รู้ว่า ช่วยทำให้เด็กเงียบเสียทีได้ไหม เมื่อทำอย่างไรเด็กก็ไม่เงียบ นักวิชาการใหญ่จึงหยุดอ่านเอกสาร หันมาพูดกับครูด้วยท่าทีเหมือนกำลังหาพวกว่า "ไม่น่าปล่อยให้พาเด็กเดินทางด้วยเครื่องบินเลย รบกวนชาวบ้านเปล่าๆ น่าสงสารเด็ก..." พูดจบเขาก็ทำท่าทีประหนึ่งว่าหงุดหงิดฉุนเฉียวอย่างถึงที่สุด พอส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายทราบว่าตนเองไม่ชอบเสียงเด็กแล้วเขาก็หยิบเอกสารมาอ่านต่อไป

ปราณ, เธอคิดว่าระหว่างเด็กกับนักวิชาการคนนั้น ใครน่าสงสารกว่ากัน? สำหรับครู การที่เด็กร้องไห้นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ธรรมชาติของเด็กก็ต้องร้องไห้บ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ข้อที่ผิดปกติก็คือ ทำไมนักวิชาการคนนั้นจึงไม่รู้สึกตัวเล่าว่า นาทีอย่างนั้นหากเขา 'มีสติ' สักนิดหนึ่ง เขาก็คงไม่ต้องทุกข์หรือไม่ต้องหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเอาเถิด แค่เพียงเสียงเด็กร้องธรรมดาๆ แท้ กลับมีอานุภาพทำให้คนที่ขาดสติคนหนึ่งทุกข์ได้มหาศาล คนที่ไม่เคยเจริญสตินั้นวันหนึ่งๆ เขาถูก 'กระสุน (กิเลส) ฝังใน' โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัววันละกี่นัดก็ไม่รู้ บางคนกระสุนกิเลสฝังในอยู่นานเป็นสิบปี หรือบางทีทั้งชีวิตก็เคยมี ความทุกข์โดยไม่จำเป็นเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสำหรับคนที่รู้จักการอยู่กับปัจจุบันขณะด้วยการเจริญสติ

เมื่อครูนั่งรถมาถึงสำนักปฏิบัติธรรมบนเขา ครูก็ได้พบกับท่านเจ้าสำนักซึ่งเป็นพระอาวุโสรูปหนึ่ง เมื่อแรกนั่งลงคุยกัน ท่านก็ถามปัญหาซึ่งทำเอาครูอึ้งไปชั่วครู คำถามของท่านง่ายๆ แต่ตอบยากมากเหลือเกิน นั่นคือท่านถามครูว่า

"พระพุทธเจ้าสอนพระพุทธศาสนาจากนอกสู่ใน หรือจากในสู่นอก"

ปราณ, เธอคงอยากรู้ใช่ไหมละว่า คำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้เป็นอย่างไร เอาไว้ฉบับหน้าครูจะเฉลยก็แล้วกันนะ สำหรับฉบับนี้ ครูฝากคำถามเพื่อเกื้อกูลต่อการเจริญสติของเธอให้ลองฝึกตอบเล่นๆ ไปก่อนหนึ่งคำถามว่า

"เกลือเค็มไหม?"

ครูเอง