อยู่อย่างไท ตายอย่างสันติ (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)
ปุจฉา
ขอทราบความหมายและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการเจริญ 'มรณัสสติ ' อย่างง่ายๆ เพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ
ชมรมผู้ใฝ่ธรรม/กรุงเทพฯ
วิสัชนา
ในทัศนะของคนทั่วไป เมื่อกล่าวถึงความตาย ก็มักจะมองกันว่าเป็นเรื่องอัปมงคล สังเกตดูเถิดในวงสนทนา ในขณะเดินทางไกล (ซึ่งต้องการความราบรื่นและบรรยากาศที่ดี) หรือในที่ประชุมสัมมนาใดๆ ก็ตามที่มีคนหมู่มากมารวมกัน หากใครคนใดคนหนึ่งในสมาคมนั้นเอ่ยถึงเรื่องความตายขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมายกันไว้ก่อน คนๆ นั้นจะถูกมองเหมือนเป็นตัวประหลาด หรือเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกาลเทศะขึ้นมาทันที ด้วยเหตุนี้ ในสังคมไทยการพูดถึงความตายโดยที่ยังไม่มีใครตายหรือไม่ได้อยู่ในบรรยากาศของการไปร่วมงานศพ จึงนับว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่ในทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่า การระลึกถึงความตาย การพูดถึงความตายบ่อยๆ เป็นเรื่องดี เป็นสิริมงคลกับชีวิต ใครระลึกถึงความตาย ใครชักชวนคนให้คนอื่นเห็นว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง สุ่มเสี่ยงต่อความตายอยู่ตลอดเวลา คนๆ นั้นจะได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลผู้ไม่ประมาท และเป็นผู้ปฏิบัติตามพุทโธวาทอย่างแท้จริง
พระพุทธศาสนาไม่เพียงแต่จะสอนว่า การระลึกถึงความตายเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตเท่านั้น แต่ยังได้บัญญัติจัดวางวิธีระลึกถึงความตายเอาไว้ให้อีกด้วย วิธีระลึกถึงความตายเพื่อให้เกิดความรู้เท่าทันธรรมดาของชีวิตนั้น ท่านเรียกว่าการเจริญ 'มรณานุสสติ' หรือเรียกสั้นๆ ว่า 'มรณัสสติ'
มรณัสสติ แยกออกเป็นสองคำ คือ 'มรณะ' ซึ่งแปลว่า 'ความตาย' คำหนึ่ง กับคำว่า 'สติ' ซึ่งแปลว่า 'การระลึกถึง' อีกคำหนึ่ง สองคำนี้มาสนธิเข้าด้วยกันเป็น 'มรณัสสติ' แปลว่า 'การระลึกถึงความตาย' ถ้าแปลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการแท้ๆ ก็เป็น 'การเจริญกรรมฐานโดยมีการระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์' ในปฐมมรณัสสติสูตร พระพุทธเจ้าทรงแนะนำวิธีเจริญมรณัสสติเอาไว้อย่างแยบคาย สาระสำคัญของพระสูตร สรุปได้ว่า ทรงตรัสถามภิกษุกลุ่มหนึ่งว่าแต่ละรูปมีวิธีเจริญมรณัสสติกันอย่างไร ภิกษุเหล่านั้นทูลตอบตามลำดับว่า ต่างคนต่างก็พากันระลึกถึงความตายอยู่เนืองๆ โดยทำนองนี้
(1) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง หนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน ก็จะตาย ดังนั้น เราจึงควรสนใจศึกษาธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค และควรเร่งทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
(2) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง หนึ่งวัน ก็จะตาย ดังนั้น...
(3) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียง ฉันอาหารมื้อหนึ่ง ก็จะตาย ดังนั้น...
(4) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะ ฉันอาหารได้เพียง 4-5 คำ ก็จะตาย ดังนั้น...
(5) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะ เคี้ยวกินคำข้าวได้เพียง 1 คำ ก็จะตายดังนั้น...
(6) ตัวเราอาจมีชีวิตอยู่ได้เพียงชั่วขณะ หายใจเข้าหายใจออก หรือหายใจออกหายใจเข้า ก็จะตาย ดังนั้น เราจึงควรสนใจศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค และควรเร่งทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
วิธีเจริญมรณัสสติของภิกษุกลุ่มนี้ สรุปให้สั้นๆ ว่า
(1) หนึ่งคืนหนึ่งวัน : ระลึกถึงความตาย 1 ครั้ง
(2) หนึ่งวัน : ระลึกถึงความตาย 1 ครั้ง
(3) หนึ่งมื้อ : ระลึกถึงความตาย 1 ครั้ง
(4) เคี้ยวอาหาร 4-5 คำ : ระลึกถึงความตาย 1 ครั้ง
(5) เคี้ยวอาหาร 1 คำ : ระลึกถึงความตาย 1 ครั้ง
(6) ทุกลมหายใจเข้า-ออก : ระลึกถึงความตาย ทุกครั้งที่หายใจเข้าออก
พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า กลุ่มภิกษุที่เจริญมรณัสสติ ตั้งแต่ข้อ 1-4 ยังนับว่าตกอยู่ในความประมาท ส่วนกลุ่มภิกษุที่เจริญมรณัสสติ ตามข้อ 5-6 จึงจะนับว่า 'เป็นผู้ไม่ประมาท' เป็นผู้ควรแก่การยึดถือเอาเป็นแบบอย่างได้ ถ้าเช่นนั้นลองคิดในมุมกลับกันดูสิว่า ในเมื่อคนที่ระลึกถึงความตาย/เจริญมรณัสสติเกือบทุกคำข้าว ยังทรงนับว่าเป็นผู้ประมาท เช่นนี้แล้วคนที่ร้อยวันพันปีไม่ระลึกถึงความตายเลย ได้ยินใครพูดถึงเรื่องความตาย และคนตายเป็นไม่ได้ รู้สึกเหมือนคนไข้อยู่ใกล้ของแสลง ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้ ถือว่าการพูดถึง ระลึกถึงความตายเป็นเรื่องอัปมงคลแก่ชีวิต คนเช่นนี้จะนับว่าเป็นคนประมาทเพียงไร และเมื่อความตายมาพราก คนที่ไม่เคยคิดถึงความตาย ไม่เคยเรียนรู้เรื่องวิธีรับมือกับความตาย จะมีสภาพน่าสงสารเพียงไร ตอบสั้นๆ ได้ว่า คนเหล่านี้จะกลายเป็นบุคคลที่ 'กลัวตาย, หลงตัว' และ 'ตายอย่างทุรนทุราย' ส่วนคนที่เจริญมรณัสสติ เป็นประจำ เมื่อความตายมาถึงตัวเข้าก็จะมีสติ สามารถเตรียมรับมือความตายได้อย่างสงบ มีจิตผ่องใส ไม่หวั่นไหวต่อการพลัดพราก ทั้งยังมีหลักประกันภพใหม่ในอนาคตได้อย่างค่อนข้างแน่นอนว่า จะต้องไปสู่สุคติอย่างแน่แท้ เพราะมีพระพุทธวัจนะตรัสยืนยันได้ว่า "เมื่อจิตผ่องใส ย่อมหวังได้ว่าจะไปสู่สุคติ"
วิธีเจริญมรณัสสติอย่างง่ายๆ
การเจริญมรณัสสติตามแบบแผนนั้น ท่านกำหนดให้แสวงหาที่สงบ สงัด ปราศจากสิ่งรบกวน นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้าแล้วภาวนาหรือบริกรรมในใจว่า 'มรณํ, มรณํ' หรือ 'ตาย, ตาย' และ/หรือ 'เราจะตายๆ' ทุกลมหายใจเข้าออก แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีเวลาปลีกวิเวกหาสถานที่สงบสงัดจะปฏิบัติมรณัสสติที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นขณะนั่ง นอน ยืน เดิน ทำงาน รถติด ฯลฯ ก็พึงน้อมจิตให้ระลึกอยู่เสมอว่า 'ความตายเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา' หรือจะภาวนาในใจว่า 'ตายหนอๆ' ก็ได้ การเจริญมรณัสสตินี้ ถ้าทำถูกวิธี (โยนิโสมนสิการมรณัสสติ) แล้ว จะสังเกตเห็นผลอย่างชัดเจนตามลำดับ คือ
(1) มีสติมั่นคง
(2) เห็นคุณค่าของชีวิต
(3) ทำกิจ/หน้าที่ด้วยความไม่ประมาท
แต่หากเจริญมรณัสสติไม่เป็น (อโยนิโสมนสิการมรณัสสติ) หรือทำผิดวิธี ยิ่งระลึกถึงความตายก็จะกลายเป็นคนที่
(1) หวาดกลัวต่อความตาย
(2) มีใจสลดหดหู่
(3) ประมาทและดำเนินชีวิตตามอำเภอใจ (กลัวว่าตายแล้วจะไม่ได้ทำอย่างที่ต้องการอีก)
ประโยชน์ของการเจริญมรณัสสติ
การเจริญมรณัสสติตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีประโยชน์เป็นอเนกประการ ทั้งประโยชน์เฉพาะหน้าในปัจจุบันที่เห็นผลทันตา และประโยชน์ในภพหน้าหลังจากแตกกายทำลายขันธ์ไปแล้วอีกด้วย กล่าวคือ
(1) ดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท
(2) ปล่อยวางความยึดติดถือมั่นในสิ่งทั้งปวง
(3) ไม่ห่วงหาอาลัยในชีวิต (ในเมื่อถึงวาระสุดท้าย)
(4) ละอายชั่วกลัวบาป (เลือกเฟ้นทำแต่กรรมดี)
(5) ไม่ละโมบในทรัพย์สมบัติเพราะถึงที่สุดก็ต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไป
(6) เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต ว่าไม่เที่ยงแท้ มีความผันแปรเป็นธรรมดา
(7) ไม่กลัวความตาย
(8) ตายอย่างสงบ
(9) เป็นพื้นฐานของการเจริญสมาธิภาวนาเบื้องสูง
(10) ตายแล้วย่อมถือกำเนิดในสุคติภพ (ถือกำเนิดในภพมนุษย์และเทวดา)
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553
อยู่อย่างไท ตายอย่างสันติ (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
23:31

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
ป้ายกำกับ:
ธรรมะ,
ว.วชิรเมธี