สัมภาษณ์พิเศษ/มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
"ธรรมะกดปุ่ม เทคโนโลยีดับทุกข์ในยุคดิจิทัล" แม่ชี ดร.ไพเราะ ทิพยทัศน์0 ตอนนี้มีคนกลัวเรื่องมิคสัญญีมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภัยธรรมชาติ และภัยจากมนุษย์กันเองมิคสัญญีคืออะไร คือการที่เรามีโลกสมมติในจิต รวยแล้วมีแล้ว เราติดมัน มีคนชมว่ารวย ก็ปลื้ม แต่จริงๆ แล้วมันเป็นทุกขลาภนะ ทำให้เกิดความยึดถือตัวเราว่ามีความสำเร็จรองรับ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่อ้างอิงการทดลองของคนนั้น คนนี้มากมาย แล้วคนก็ปรบมือให้ ไม่ว่าเราจะรวยจากการใต้โต๊ะอย่างไร คนก็ดูผลสุดท้ายที่เป็นความสำเร็จ
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดอัตตาลวงทั้งหลายแหล่ แล้วยังมีลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา คนที่ลิ้นดี ไปธนาคาร แล้วล็อบบี้กู้เงินออกมามากมาย นี่คือความเสียหายอย่างใหญ่หลวง แม่ชีส่วนหนึ่งก็ ปฏิบัติธรรมแล้วก็ยังออกจากระบบความคิดเหล่านี้ไม่ได้
มันคล้ายกับว่าที่คุณยืดคออยู่ได้ เพราะคนอื่นปรบมือให้คุณ เดี๋ยวนี้มีการปรบมือหลากหลายมาก ขอทานก็ยึดวิถีแบบขอทาน วันนี้มีคนให้เยอะ แสดงว่าคนรวยขึ้น วัดก็ยึดว่าคนทำบุญมากขึ้น ด้วยวิธีการเอาบุญไปชักนำ อะไรอย่างนี้
วิถีอย่างนี้ ทำให้คนเห็นแต่วิถีแห่งการนำเข้า ส่วนวิถีแห่งการเผื่อแผ่เจือจาน หรือมองเห็นความจริงมันก็แคบลงๆ เพราะฉะนั้นจะเกิดระบบเอาตัวรอดอัตโนมัติ ไปตรงพอดีกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวิน ที่ว่า ผู้แข็งแรงกว่า ย่อมเป็นผู้อยู่รอด
ระบบผู้ใดแข็งแรงกว่า ผู้นั้นรอดนี่เอง เป็นตัวสร้างมิคสัญญี เพราะทุกคนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และเอาตัวรอด ถ้าคนที่มีหิริโอตตัปปะ มีความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปมีอยู่สักกลุ่มเดียว เหตุการณ์ตัวนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
แต่ถ้าคนไม่มีหิริโอตตัปปะ เห็นแก่ตัวกันมากขึ้นก็จะมีการทำร้ายกันมากขึ้นทุกหย่อมหญ้า เมื่อทำทุกหย่อมหญ้าก็จะได้ผลกับคนที่มีกรรมเสมอกัน คือคนที่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน ผลที่เกิดขึ้นคือลงอบายอย่างเดียว อาจารย์เชื่อว่ามิคสัญญีมันเป็นไปได้
0 สื่อเองมีผลในการเร่งให้เกิดมิคสัญญีหรือเปล่าคะ
สื่อต่างๆ ที่แข่งกันทำอยู่ก็เป็นตัวช่วย คือเราหยุดใครไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเหตุปัจจัยมันบีบบังคับ เหมือนกับว่า มันต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อไปสู่จุดจบ ไม่รู้ว่าจะให้ใครรอด เพราะมันมีตัวพรีเซ็นเตอร์ของเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แล้วสื่อเป็นตัวกระจายพรีเซ็นเตอร์นั้นให้เกิดการเลียนแบบ มันเป็นกระบวนการที่สื่อไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเหตุปัจจัยที่สื่อคิดว่า ถ้าเราไม่ทำ คนอื่นก็ทำ เราไม่เอา คนอื่นก็เอา เราไม่ตัดป่า คนอื่นก็ตัดป่า ขณะนี้คอนเซ็ปมันเป็นแบบนี้หมดแล้ว
เพราะฉะนั้นตัวนี้คือกรรมวิบาก ที่คนคิดว่า ถ้าข้าไม่ทำคนดียว คนอื่นก็ต้องทำ ข้าก็เสียเปรียบสิ เป็นผลวิบากของอัตตา คนแบบนี้ไม่เชื่อพระธรรมอีกต่อไปแล้ว ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมว่า ถ้าเราไม่ทำตรงนี้กรรมของเราก็ไม่มี ไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปแล้ว
ยุคนี้มันเป็นยุคที่มนุษย์ประกาศว่า ไม่เชื่อกฎแห่งกรรมอีกต่อไปแล้ว เป็นประกาศต่อต้านกฎแห่งกรรม
ยกเว้นว่าจะต้องมีคนมองเห็นความจริงว่า 'มันก็เป็นเช่นนี้เอง' ก็คุณทำของคุณอย่างนี้ก็ได้รับผลอย่างนี้
0 แล้วเราจะยังพอมีทางออกไหมคะ
มันยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว มันเป็นแฟชั่นทางอารมณ์ เป็นทีนเอจทางอารมณ์ ที่คุณต้องผ่าน แล้วคุณจะต้องได้รับการลงโทษอันใดอันหนึ่ง
การหยดปัญญาลงในมหาสมุทรแห่งกิเลส มันจะเจือจางกันไหวไหม ไหวไม่ไหวก็ต้องทำ เพราะคนเราไม่ใช่ว่าเกิดอะไรแล้วจะตายกันหมดโลก มันจะต้องมีเหลือเพื่อให้ตั้งต้นกันขึ้นมาใหม่บ้าง เรามีหน้าที่นำสัมมาทิฏฐิให้กับคนที่สนใจ ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเตรียมตัวเองที่จะระวังตัวของเรา ให้พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ที่คิดว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะคนเป็นแบบนี้กันหมด ตั้งแต่เรื่อง Y2K เมื่อปี ค.ศ.2000 ทุกคนพบกับการระบาดทางอารมณ์
เพราะฉะนั้น จริงๆ เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหตุการณ์ต่อมาก็เหตุการณ์ 11 กันยาที่เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ในอเมริกา หรือเรื่องไข้หวัดนก เห็นไหมว่า ทุกคนตัดสินใจที่จะเอาตัวเองรอด แล้วโยบบาปให้กับธรรมชาติ ทุกเรื่องตัดสินใจแบบนี้หมด แนวโน้มคนส่วนใหญ่มีจิตวิญญาณแบบนี้หมดเลย คือขอให้กูรอด เพราะฉะนั้น ลักษณะแบบนี้เป็นทิฏฐิที่ว่า ทำอย่างไรก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าได้กินข้าวเป็นมื้อสุดท้าย แล้วไปสู่สรวงสวรรค์ก็ยังดี ก็เชิญคุณลงนรกไปเลย
เขาไม่เชื่อกันอย่างเก่าว่า มีโอกาสรอดด้วยธรรมะ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ยังมีความเชื่อว่า 100 คน ถ้ามีธรรมะสักคนก็หยุดโลกได้ แต่มันอาจจะมีไม่ถึง 1 ใน 100 ถ้าน้อยกว่านี้หยุดไม่ได้ ถ้า 1-5 คนใน 100 คนรอดเลย ต้านได้ 95% ให้มันหลงไป ธรรมะมีอานุภาพมาก เราปฏิบัติช่วยเหลือตัวเราก็เหมือนช่วยโลกได้
0 การปฏิบัติธรรมช่วยตนเองและช่วยโลกได้อย่างไรบ้างคะ
การช่วยเหลือทางจิตวิญญาณคือการช่วยเหลือตัวเอง ถ้าคุณช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มันก็ต้องเป็นไปตามวิถีทางของมัน ความเชื่อว่าจะมีมิคสัญญีเป็นข้อดี คนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองก็มีมากขึ้น คนสนใจธรรมะกันมากขึ้น พอเกิดมีคนพูดเรื่องมิคสัญญี คนก็ต้องฟังหูไว้หูว่าจะจริงหรือเปล่า เมื่อก่อนข่าวสารเหล่านี้ไม่มี คนจะฟังกันจากข่าวลือ สมัยก่อนสื่อไม่มี ใครไปไหนมาก็มาเล่าสู่กันฟัง สมัยนี้คนเราก็อยู่ได้ด้วยข่าวลือ จากสื่อสารมวลชน ขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่พัฒนาปัญญาเราก็ยังเป็นคนชอบข่าวลืออยู่ แล้วเราก็จะหลงวนอยู่กับความเชื่องมงาย
อย่างไรก็ตาม เราต้องเตรียมตัวเองให้พร้อม ยิ่งข่าวลือมาก โอกาสที่จะทำให้ความจริงเกิดระดับกว้างขวางก็คือสื่อนี่แหละ สื่อเป็นฟันเฟืองของข่าวลือ ถ้าเราไม่หยุด เราจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดมิคสัญญีเร็วขึ้น
การปฏิบัติธรรมช่วยโลกได้ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความท้าทาย เป็นการท้าทายทางปัญญา เราชอบมาก มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าพุทธศาสนาง่ายๆ ก็ไม่ทำให้เราขวนขวายอยากรู้ อย่างวิทยาศาสตร์ ที่อาจารย์เรียนก็จะเรียนที่ยากมาก ถ้าหากว่าความยากอันนั้น เราเรียนแล้วเราสอบตก หรือแค่ผ่านเส้นยาแดง ในใจไม่ได้บอกว่ากลัวนะ แต่ขอให้มีเวลาเถอะ ต้องเอาให้ได้
เวลาเขียนหนังสือจึงเข้าใจ ทั้งหมดที่เราเขียนเพราะเรากลับไปเรียนด้วยตัวเอง ทั้งวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนา ถ้าไม่เข้าใจจะกัดไม่ปล่อย ใช้เวลา 10 ปีอ่านไม่รู้เรื่อง 20 ปี ถ้าเราพัฒนาจิตแล้วเราก็น่าจะเข้าใจบ้าง
0 ความสนใจพุทธศานาของอาจารย์เริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ
อาจารย์ชอบความยากทางนามธรรม ตอนเด็กๆ คนเก่งเขาก็อัดเรื่องวิทยาศาสตร์เลย สมัยก่อน คนที่เข้าวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็ไม่มี มีแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอย่างเดียว เข้าวิทยาศาสตร์เขาก็เรียกว่าสุดยอดแล้ว ถ้าเก่งจริงต้องเข้าคณะนี้ให้ได้
เพราะฉะนั้นอะไรที่มันยาก เราจะเก็บไว้แล้ววันหนึ่งจะกลับมาใหม่ แล้วนิสัยอันนี้มันเหมาะสำหรับการศึกษาพุทธศาสนามาก บางคนเห็นว่ายากก็ไม่เอาเลย
พุทธศาสนาเรียนจากการมีชีวิต ไม่ได้เรียนจากห้องเรียน เพราะว่าศาสนาพุทธเขาเอาออกไปจากห้องเรียนไป เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาที่เราเรียนคือ เรียนจากการซึมซาบชีวิตจริง อานิสงส์ของมันเกิน 50% นี่คือการเรียนที่แท้จริง
การเรียนด้วยตัวอักษร การคิด การตรึก เรียนพระไตรปิฎก มันต้องการพรสวรรค์คนที่เข้าใจทางภาษา ชาวอีสานที่ไม่ได้เรียนหนังสือ เขามีพุทธศาสนาอยู่ในใจ เขาเรียนโดยวิธีซึมซาบ เป็นของแท้ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ นี่แหละคือวิญญาณที่แท้จริงของคนไทย ไม่ต้องเรียนในห้องเรียน เขาแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่างด้วยสองมือของเขา นี่แหละที่เรียกว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน
มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง สามีชื่อโยมแดง เป็นโรคลมชัก ชาวบ้านก็ไม่ชอบภรรยาของเขาเพราะปากร้าย แต่ทั้งคู่รักกัน สามีทำงานหนักไม่ได้จะชัก พอชักวันนั้นอาจารย์เห็น ภรรยาเขาไปพูดกับสามีว่า บอกแล้วๆ ไม่ให้ทำ จะทำเอง แล้วก็อุ้มลูก วันนั้นอาจารย์คิดว่า ลูกเศรษฐีกับลูกโยมแดงใครมีบุญมากกว่ากัน อาจารย์ตอบตัวเองไม่ได้ เพราะนี่อยู่กับความรักระหว่างพ่อแม่ลูก แต่คนที่อยู่ในคฤหาสน์ พ่อทำธุรกิจ บังคับแม่ทุกอย่าง เธอต้องอย่างนี้นะ บังคับแม่ทุกอย่าง นี่นะ เธอต้องทำอย่างนี้ๆ นะ ภาพที่เห็นคือการข่มเหง เบียดเบียน ไม่ใช่ความรัก แต่วันนั้นที่อาจารย์เห็นคือภาพความรักของพ่อแม่ลูก
อาจารย์อยู่ที่นี่ตั้งคำถามเยอะมาก คุณเอาความเจริญมาให้เขา คุณฆ่าความรักที่เขามีต่อกันหรือเปล่า คุณทำให้เขากลายเป็นว่าเคยมีความสุข ต้องแตกแยกหรือเปล่า ภาพสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าใช้อบอุ่นมาก เดี๋ยวนี้ลูกก็กระจายจากพ่อแม่ไปดูทีวี เป็นการกระจายออกจากอ้อมกอดของพ่อแม่
คนกรุงเทพฯ มีการเบียดเบียนกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเบียดเบียนกันโดยกฎหมาย เบียดเบียนกันโดยวินัย เบียดเบียนกันโดยเวลา พ่อแม่ต้องมีงานทำตลอดเวลา ไม่เหมือนที่นี่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้มาเบียดเบียน จิตวิญญาณของคนจึงดีมาก ดีกว่าไปเข้าโรงเรียน ซึ่งมีกิจกรรมอะไรมากมาย
0 อาจารย์ก็เลยสร้าง 'อาศรมมาตา' ขึ้นมาอยู่กับธรรมชาติ หยุดความเจริญทางวัตถุ?
ลักษณะของอาศรมมาตาคล้ายกับคนโบราณ เข้ามาก็ต้องช่วยกัน ทุกคนเหมือนเป็นเจ้าของบ้าน ไม่มีการไปจู้จี้ จุกจิก การทำงานเป็นการทำงานด้วยหัวใจ
ทำไมอาศรมมาตาสร้างได้โดยผู้หญิงตัวเล็กๆ 2 คน คืออาจารย์กับน้องสาว และเพื่อนฝูงช่วยลงขัน และชาวบ้านช่วงลงแรง มีเครื่องมือ มีระบบการตลาด มีเครื่องมือสื่อสาร มีระบบเครื่องมือโทรคมนาคม เอื้อเฟื้อให้คนทำสิ่งยากได้ง่ายขึ้น ขณะที่คนโบราณต้องใช้บารมี เดี๋ยวนี้ใช้ระบบตลาดเป็นตัวทำงาน มันถึงเกิดขึ้นได้ ขณะเดียวกัน การที่เรามาทำทางอีสาน โดยชีวิตจิตใจของชาวบ้าน เคารพนักบวชมาก เขาจะเลี้ยงนักบวช ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เขามีอะไรเขาจะแบ่งให้นักบวชกิน
ตอนมาอยู่ที่ภูหลวงช่วงแรกๆ ก็มาทำความรู้จักกับชาวบ้านที่นี่ เวลาเขาเผาพ่อทีเขาก็ขายที่ดิน พอเผาแม่ก็ขายที่ดิน เราก็รับซื้อมา ทุกอย่างเราไม่เคยวางแผนมาก่อน มันค่อยๆ มา น้องสาวเราเป็นคนบุกเบิก เปลี่ยนจากป่ายูคาลิปตัสมาเป็นป่าเหมือนเดิม ปลูกไม้ใหญ่ ไม่ง่ายเลย รอให้รากหยั่งลึก แล้วมันจะอยู่ได้เพราะข้างล่างมีน้ำใต้ดิน คือเงินซื้อไม่ได้ ตรงนี้เป็นเทือกเขาภูหลวงทั้งหมด
0 การศึกษาสมัยอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างคะ
ตอนที่เรียนจบดอกเตอร์มาตอนนั้น สังคมไทยยกย่องคนมีปริญญาเอก งงมาก รุ่นนั้นเขาเชิญคนที่เรียนเก่งที่สุดไปเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นที่รู้กันไม่ต้องสอบ วันหนึ่งเราเคยเป็นนักเรียน เราไหว้อาจารย์ วันรุ่งขึ้น เราไปกินข้าวกับอาจารย์ กินข้าวโต๊ะเดียวกัน อาจารย์ซึ่งเราเคยเกรงกลัวมากก็เรียกเราว่า 'อาจารย์' เราก็คิดว่า ชีวิตมันแปลกมาก เพียงวันรุ่งขึ้นยกสถานภาพขึ้นไปอีกอย่างหนึ่ง เหมือนมีหัวโขน มันกลับเร็วมาก เหมือนเป็นเทวดา เราก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คน ไปไหนเขาก็เรียกว่าดอกเตอร์นะ เป็นวัฒนธรรมที่เขาให้อำนาจ เขาชื่นชมกับคนที่มีความรู้
แต่ว่าจริงๆ แล้วคนที่มีความรู้ทั้งหลายไม่ใช่สบายนะ เนื่องจากคุณต้องรักษาหัวโขนไว้ คุณต้องทำงานหนักมาก เช่น งานวิจัย ระบบราชการคุณต้องเข้าใจให้ได้ ไม่งั้นเสมียนข่มคุณน่าดู ต้องหัดเขียนหนังสือราชการให้ได้ ต้องออกแบบการสอนในสิ่งที่คุณไม่เคยเรียนให้ได้ คนก็นึกว่าไปเมืองนอกได้เรียนอะไรเยอะ จะไปเรียนอะไร๊ อยู่แต่ในห้องแล็บ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เหมือนไปเป็นทาส
0 ทางโลกอาจารย์มีทุกอย่างแล้วบวชทำไมคะ
มันเครียด เขาให้คุณแข่งขันตลอดเวลา เขาจะบีบคั้นว่า ถ้าคุณจะเก่งจริง คุณต้องไปเสนอวารสารในระดับนานาชาตินะ คุณต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็น ภาษาเป็นเรื่องยากกว่างานวิจัยมากเลย ภาษาเป็นสิ่งสมมติ เหมือนกับที่เขาสมมติว่า ความดีต้องเป็นอย่างนี้ ความถูกต้องเป็นอย่างนี้ เมื่อเราไปเรียนภาษาตอนที่โตแล้ว ความซึมซาบในภาษาไม่มี เราประสบกับปัญหามากในการเลือกใช้คำ เหมือนฝรั่งเลือกใช้คำไทยผิดๆ ถูกๆ แต่คนไทยหัวเราะบอกว่าน่ารัก มันเป็นวัฒนธรรมการให้อภัย ลองเราคนไทยไปพูดผิดสิ ฝรั่งหัวเราะเยาะตาย
การทำวิจัยไม่ยาก แต่การเขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษยากมาก เวลาต้องไปพรีเซ้นท์ ต้องเตรียมตัวมาก เครียด ต้องคนที่เคยอยู่เมืองนอกตั้งแต่เล็กๆ เขาจึงผ่าน ตรงนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นโรคประสาทอยู่ตลอด ไม่เหมือนชาวบ้านเขา โรคประสาทมีหลายอย่าง การวางท่าข้างนอกอาจจะดี แต่ข้างในสมองมันตึงหมด เราก็ไปรักษาหมด ทั้งหมอโรคประสาท อ่านหนังสือมากก็รักษาโรคตา ผ่าตัดตา ในที่สุดหมอฝรั่งไม่หายก็ไปหมอจีน ไปหมอไทย มานวด ก็รักษาไปทั่ว ยังไม่หายก็ต้องหาทางโบราณบ้าง ในที่สุดก็มาฝึกสมาธิรักษาโรค
0 ตอนเริ่มฝึกสมาธิ ตอนนั้นอายุเท่าไหร่คะ
ใกล้ 50 ปีแล้ว ตอนนี้ก็ 65 ปี เพราะโรคเครียด เราดูแลหลักสูตรการศึกษาให้เรียบร้อยแล้วค่อยๆ ลาออก แต่ตอนแรกที่สนใจพุทธศาสนานั้น สนใจปาฏิหาริย์ก่อน คือคนที่เครียด จะไม่มีสติ และมีอัตตาสูง เพราะทุกวันชีวิตอยู่กับวัฒนธรรมฝรั่ง ช่วงหลัง คนมาพบเรายาก ลักษณะเหมือนเป็นคนสำคัญ พอเราไปเจอกับพระที่ไม่มีรูปแบบ แล้วท่านทักเรา คนที่มีสติ เขาดูคนที่ไม่มีสติง่ายมาก เขาทักเราเยอะมาก กลับมาจากญี่ปุ่นหรือ เราก็คิดว่าท่านรู้ มีอภิญญา ผ่านมาอีกปีจึงรู้ว่า น้องสาวเขาเอารูปเราไปให้พระดูก่อนแล้วบอกว่า พี่สาวจะกลับมาจากญี่ปุ่น คือน้องสาวอุปัฏฐากพระป่ารูปนี้อยู่ก็พยายามดึงเรามาทางนี้
0 แล้วคลายเครียดได้ไหม
ช่วงนั้นเราสนใจการฝึกสมาธิเพื่อจะได้ฌาน มีอภิญญา คือเราอยากรู้ในสิ่งที่มองไม่เห็น แต่สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นกรรม เหมือนเราไปลงชื่อค้ำประกันให้คนอื่น ถ้าเขาล้มละลาย คุณต้องจ่ายแทนเขา การมีอภิญญาแล้วไปใช้ในทางที่ไม่ถูกก็ต้องรับกรรม ถ้าประมาทก็ล้มละลายได้ แสดงว่าสมบัติในจิตไม่พอ เป็นเรื่องภายในที่สนใจมากเมื่อก่อน ก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้ 5 ปี
สมัยก่อนเสาร์-อาทิตย์ไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ ไปปฏิบัติและอุปัฏฐากพระสายปาฏิหาริย์ที่นครนายกตลอด เพราะอาจารย์เรานั่งฌานเก่ง แต่เราเข้าไม่ได้เลย คนที่วิตกกังวลสูงๆ เข้าฌานไม่ได้เลย เครียดจัด ท่านพยายามพาเราไปเข้าถ้ำ ฝึกกสิณในที่แปลกๆ ก็ทำไม่ได้ เราฝึกอยู่กับท่าน 5 ปีไม่ออกมาเลย ไม่ไปที่ไหนเลย มีกำลังทรัพย์เท่าไหร่ก็ทุ่มไปหมด เขาก็ว่าเราหลง แต่ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่เราพูดไม่ได้ ซึ่งเราเห็นว่าสำคัญ แต่แล้วในที่สุด เราก็ผละออกมาจากเรื่องราวปาฏิหาริย์
จากนั้นเหตุปัจจัยผันผวนมาก เวลาผันผวนมันจะเปลี่ยนแปลงตัวมันเอง แล้วถูกจับส่งมาอยู่ในป่าภูหลวงโดยที่ไม่รู้จักใครเลย
0 ตอนนั้นบวชหรือยังคะ
ยังไม่บวช มาอยู่กับแม่ชีก่อน แม่ชีก็บอกว่า อาจารย์ เก่งจริงก็บวชสิ เพราะว่าเล่นมาเป็นฆราวาสอย่างนี้ก็ไม่เห็นทุกข์ เพราะพระท่านนับถือฆราวาส ยิ่งฆราวาสมีเงิน พระยิ่งนับถือ สังคมไทยดูถูกแม่ชี คุณอยากได้ผัสสะจริงๆ ว่าคุณเจ๋งจริง คุณต้องบวชเป็นแม่ชี เขาก็ท้าว่า แม่ชีนั้นคนไทยเหยียบเอาไว้ ขนาดขึ้นรถเมล์ กระเป๋ารถเลม์ยังทำเสียงดุ บังคับแม่ชีให้ไปนั่งตรงนั้นตรงนี้ คุณเล่นไปอยู่สูงๆ ไม่ได้เจอผัสสะหรอก เก่งจริงบวชชีสิ ดูสิว่าสังคมเขายอมคุณไหม ถ้าเก่งจริงก็มาเป็นแม่ชีให้คนอื่นเขาอัดคุณมั่ง
0 ถูกท้านานไหมคะ
ไม่นาน ในที่สุดอยู่ในป่าก็ถึงเวลาต้องบวช เพราะเหลือเราหัวดำอยู่คนเดียว คนอื่นเขาเป็นแม่ชีกันหมด เราอยู่ในบรรยากาศแห่งการท้าทาย ที่สำคัญคือ ป่านี่ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญว่าคือครูที่แท้จริงของมนุษย์ ตอนที่มาอยู่ป่า ยังเป็นโครงการอีสานเขียว สมัยพล.อ.สุจินดา คราประยูรเป็นนายกรัฐมนตรี เขาไล่คนออกจากป่าหมด เหลือแม่ชี 10 กว่าคนอยู่ในป่า ชาวบ้านก็ไม่กล้าขึ้นไป เพราะกลัว เราจึงได้อยู่กับป่าอย่างน้อย 2-3 ปี ชนิดที่ไม่มีใครเข้ามาแตะต้องเรา ยกเว้นทหารที่เขาไปซ้อมรบ เขาเห็นแม่ชีเขาก็ไม่กล้ามาวุ่นวายกับเรา
สมัยก่อนเป็นป่าสมบูรณ์แบบ แล้วตรงถนนกบินบุรี 304 มีเสือ มีหมี แล้วเขาจะปรับปรุงประเทศ โดยให้ทำไร่มันสำปะหลัง ป่ายูคาลิปตัส ป่าก็เสียหมด ชาวบ้านก็ข่มขืนป่า เพราะอยากได้เงินไปซื้อของ สมัยก่อนไม่ใครข่มขืนป่า เพราะไม่มีใครอยากได้ของ เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็อยากมีทีวี เครื่องอำนวยความสะดวก
พอยุคทหารเสื่อมอำนาจ โครงการอีสานเขียวก็ล้ม ประชาชนขึ้น ก็เข้าไปยึดครองป่า อาจารย์มาอยู่ที่นี่ปีที่สาม คนก็เข้ามยึดครองป่าแล้ว ป่าภูหลวงเป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีการศึกษาทางโบราณคดีที่นี่ ขุดเจอศพที่อยู่อาศัยบนภูเขานี้มา 4 รุ่นแล้ว ที่มีคนอยู่คนอยู่บนภูเขาเพราะอุดมสมบูรณ์มาก สมัยก่อนสะอาดกว่านี้ เมื่อก่อนเราไม่รู้เลยว่าของที่ดีที่สุดในโลกอยู่ที่นี่เอง พอมาอยู่จึงอยู่ได้เป็นปีๆ
0 อยู่บนภูหลวงอย่างไรคะผู้หญิงทั้งหมด
อยู่ในป่าเกื้อกูลธรรมะมาก ตอนเราสอนหนังสืองานหนัก พอออกมาอยู่ป่าไม่ได้ทำอะไรก็ภาวนาอย่างเดียว อากาศดีมาก บรรยากาศสวยมาก เราจับมือกับกลุ่มแม่ชี ไม่ให้ไฟฟ้าเข้ามา อีกไม่นาน ถนนเข้ามาก่อนเลย แล้วก็ไฟฟ้า ปี 2539 มีการก่อสร้างทั้งปี เราอยู่ที่นี่ไปสองสามปีก็ปลงผม
0 ช่วงปลงผมรู้สึกอย่างไรคะ
อาจารย์เป็นคนไม่ค่อยมีความรู้สึกนะ ไม่ค่อยเป็นคนสุนทรีย์อยู่กับอารมณ์ความรู้สึก มีบางคนบอกว่าเหมือนพระจีน ทุกคนไปปลงผมก็เหมือนพระทั้งนั้น
0 ครูบาอาจาย์ล่ะคะ
คุณละไม ตอนนี้เป็นหัวหน้าอยู่ที่สถานปฏิบัติธรรมของท่าน ก. เขาสวนหลวง จ.ราชบุรี พระไตรปิฎกท่านแม่นมาก เราก็เป็นนักเรียนท่านอยู่คนเดียวปีกว่า ท่านสอนพิจารณาโดยใช้ธาตุกรรมฐาน แล้วก็มีเพื่อนแม่ชีที่อยู่ในป่าอีกคนหนึ่ง ท่าน 40 พรรษา (สิ้นไปแล้ว) ตอนนั้นอาจารย์พรรษาเดียว ท่านสอนไม่เป็นแต่ท่านอยู่ให้เห็น เย็นให้เราสัมผัส แล้วเราซึมซาบเอา เรียนไปสองปีธรรมแตกฉาน เห็นความเชื่อมโยงของโลกียธรรมหมด ชอบพูดธรรมะ คนก็หาว่าเป็นวิปัสสนูปกิเลส แต่โลกุตระธรรมตอนนั้นยังไม่ได้ ก็เลยหันมาเขียนหนังสือ จากนั้นมาเขียนได้เรื่อยๆ
การเขียนธรรมะพูดไปก็เหมือนเว่อ เวลาที่ติดขัดหัวข้ออะไร เรานั่งสมาธิ ธรรมตัวนั้นจะเปิดให้ ไหลออกมาเลย เดี๋ยวนี้ อยู่ในหัวหมดแล้ว
0 แล้วเล่มล่าสุด 'คิดให้เป็น...เดี๋ยวเห็นเอง' ล่ะคะ
เล่มนี้เป็นธรรมะง่ายๆ เป็นของแถม ธรรมะเล่มที่ยากที่สุดคือ 'อิทัปปัจจยตา' เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี จากนั้นจะเป็นธรรมะของแถม ทำเรื่องยากๆ ให้เป็นเรื่อง่าย เกี่ยวกับความคิด ถ้าเราคิดผิด มันผิดไปหมด
0 ไปสอนที่สวนโมกข์นานาชาติได้อย่างไรคะ
เราปฏิบัติอยู่ 6 ปีก็ไม่รู้แล้วว่าเราคือใคร เราไม่เจอผู้คนเลย ถึงเวลาต้องออกไปทดสอบข้างนอกว่าเราของจริงหรือของปลอม ตอนนั้นคุณเมตตา พานิช ต้องการคนพูดธรรมะพอดี ก็ให้ไปช่วยพูดธรรมะที่สวนโมกข์นานาชาติ พูดให้ชาวต่างชาติฟัง ไปใหม่ๆ เขาให้พูดธรรมะเลย พูดไปพูดมาก็เข้าสู่ปีที่ 7 แล้วนะ พอสอนไป แค่คำพูดไม่กี่คำเปลี่ยนชีวิตเขา ทำให้เขายิ้มได้ บางคนชื่นชมเรามากๆ เราก็ต้องพิจารณาให้เราผ่านโลกธรรมอันนี้ให้ได้ ไม่ใช่ไปหลงปลื้ม ชาวต่างชาติที่จบคอร์สที่นั่นบางคนก็มาภาวนาต่อที่นี่
เวลาสอน เราไม่สนใจว่าเขาเป็นใคร เราก็สอนธรรมะที่มาจากท่านพุทธทาส เราไม่ได้บอกว่า เราพบเอง แต่เราพยายามถอดรหัสว่าท่านพุทธทาสสอนอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร มีอะไรที่จะตอบแทนท่านได้ดีที่สุดเท่ากับปฏิบัติแล้วเห็นความจริงด้วยตนเอง นี้คือการกตัญญู การตอบแทนอันสูงสุด
0 ทางรอดที่แท้จริง
ปัญญา ทางโลกุตรธรรม เพราะคนมัวแต่กลัวไม่กล้าปฏิบัติจนมองเห็นตามความเป็นจริงไปเลย แทนที่เราจะไปหาเงินหาทอง พูดเรื่องไร้สาระ เอาเวลาเหล่านั้นมาหาแก่นพระธรรมมากขึ้น เป็นทางเดียวที่หยุดมิคสัญญีได้ ภายในปีนี้ปีหน้า
พุทธศาสนาบอกปัญหา แล้วจะมีวิธีแก้ปัญหาเสมอ มีความหวังเสมอ แม้แต่ตอนจะตาย ทำอย่างไรไม่ต้องกลับมาเกิดอีกก็ทำได้ ไม่ได้ทำให้คนเกิดความตระหนกตกใจ คือทางโลกทำให้คนกักตุน เห็นแก่ตัว แต่ทางธรรมให้คนใจเย็น ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง พุทธศาสนามีทางออกหลายทางมาก เป็นทางออกเดี่ยว และทางออกทั้งโลก เป็นศาสนาแห่งทางออก ท่านพุทธทาสท่านพูดชัดเจนว่า พุทธศาสนาเป็นเทคโนโลยีแห่งการดับทุกข์ ที่นี่และเดี๋ยวนี้
เพราะเดี๋ยวนี้คนกดปุ่มกัน ก็ต้องใช้ธรรมะกดปุ่มจึงจะสู้กันได้ ธรรมะกดปุ่มคืออะไร คือปัญญารู้ทันเขา ปัญญาเป็นแสงสว่างเจาะได้ทุกอย่าง ในพระไตรปิฎกมีหลายๆ สถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้เขาบรรลุธรรมได้ เมื่อได้ฟังธรรมเพียงคำสองคำ ถ้าเราเชื่อว่า มิคสัญญีจะเกิดขึ้น ธรรมะกดปุ่มเป็นสิ่งจำเป็น อยู่ที่ว่าคุณอธิบายได้หรือเปล่า
กิเลสมีข้อเสียคือสะสมนาน แต่ปัญญาในมนุษย์มีอยู่แล้ว มันมีข้อเด่นที่เรามีอยู่แล้ว แต่กิเลสต้องสร้างทีละหน่อย ต้องสะสม เหมือนกรุงโรมไม่ได้สร้างวันเดียว มันต้องใช้ความพยายามลงไป แต่ปัญญามันคลิกได้เลย
ถ้าไปบอกว่าไม่มีทางป้องกันมิคสัญญี ก็ช่วยโลกไม่ได้ มันมีโอกาสมากเลย มิคสัญญี ถ้าเราไหลไปตามกิเลสอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกทางไว้ว่าทุกคนมีความหวัง ธรรมะเป็นเรื่องของปาฏิหาริย์ของปัญญา ขณะนี้ถ้าเราใช้สื่อมาสร้างปัญญา จะช่วยได้มากขนาดไหน
มันเป็นการดูถูกตัวเองมากที่เรามีชีวิตแค่กดปุ่มอย่างเดียว ถ้ามนุษย์ไม่มีอาหารทางจิตกิน มนุษย์ก็อยู่อย่างแห้งแล้ง แล้วก็ไปเต้นแร้งเต้นกา อาหารข้างนอกกินมากไปก็ง่วงนอน ปวดท้อง อาหารที่ทำให้คนกินดีที่สุดคืออาหารข้างใน ไม่มีอาหารข้างนอกอันใดที่กินมากแล้วไม่ให้พิษกับตัวเอง ไม่มี อาหารที่เป็นวัตถุมีมากเหลือเกิน คุณขาดอาหารทางจิตต่างหาก ทำให้คุณไม่สามารถจัดการความไม่มีความสุขของตนเอง คุณก็ต้องออกไปเพลินกับสิ่งเสพติดภายนอกเป็นเครื่องล่อเพื่อให้ลืมตัวเอง
คนเราอยู่กับตาหมากรุก แล้วก็บอกว่าเพลินดี คุณก็หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ นี่แหละคือความเป็นทาสโลกาภิวัตน์ อะไรมีดี ก็มีเสียอยู่ในนั้น
0 สื่อจะทำอย่างไรที่จะช่วยหยุดการบริโภคความรุนแรง
วิริยะชนะคำทาย ศาสนาพุทธถือว่า วิริยะเป็นตัวที่สองของปัญญา ปัญญาตัวที่หนึ่ง ถ้าเรามีปัญญา เราพูดให้คนมองทางด้านบวกบ้างจะช่วยได้มากเลย เป็นอานิสงส์มาก ที่จะหยุดมิคสัญญีได้
ปัญญาตัวนี้เป็นทางสายกลาง เพียงแต่ว่าคุณต้องมองให้เป็น ทางสายกลางคืออยู่กับโลกให้เป็น เดี๋ยวนี้เรากินข้าวไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เรากิน ตอนนี้มีสิ่งเสพติดเยอะแยะ คุณประณามคนติดยาเสพติด แต่คุณไม่ประณามการเล่นเกมอินเทอร์เน็ต นี่ก็ยาเสพติดเหมือนกัน
มนุษย์หยุดได้ตลอดเวลา ไม่มีทุกข์ใดที่มนุษย์จะหยุดไม่ได้ แต่ว่าคุณทำให้มันเพิ่มขึ้น หรือทำให้มันลดลง แต่โดยตัวแท้ ทุกข์เป็นสิ่งที่ไม่มีจริง เป็นสิ่งหลอกลวง ไม่ว่าจะทุกข์แค่ไหน เมื่อเอาความจริงเข้าไปสู้ มันหยุดความทุกข์ได้หมด ความทุกข์มันเหมือนโปรแกรมที่เราเขียนขึ้นมาหลอกตัวเอง ในนั้นไม่มีความจริงอยู่เลย
คนที่เห็นโลกเป็นของทุกข์มาก จริงๆ ปัญญาไปจ่อตรงนั้นอยู่แล้ว นั่งสมาธิแป๊ปเดียว พลิกมาเป็นความว่างได้ ถ้าทุกข์มาก ความว่างจะอยู่ตรงนั้นเพราะมันใกล้ถึงจุดอิ่มตัว พลิกนิดเดียวก็ว่างแล้ว หลุดเลย การทุกข์มากๆ จึงเป็นมรรคตัวหนึ่ง หรือหนทางหนึ่งที่ทำให้เราหาทางออกจากทุกข์ พ้นทุกข์ได้ หมดทุกข์ได้
ทุกข์อยู่ที่ไหน ความไม่มีทุกข์ก็อยู่ที่นั่น
ถ้าเราไม่ต่อจิ๊กซอว์ความทุกข์ มันหยุดหมด ดังนั้น ถ้าความทุกข์มันเกิด คุณต้องดึงจิ๊กซอว์ออกอย่าไปต่อเติมมัน ความทุกข์มันเป็นของจริงเมื่อคุณยึดมันไว้ว่า ทุกข์ของกู แต่ถ้าคุณไม่ยึดไว้ มันก็ว่าง
เราเกิดตายในสังสารวัฏมานาน เราถูกความทุกข์หลอกมาเยอะแล้ว ตอนนี้เราสามารถมองเห็นได้ด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้าธรรมดา ๆ นี่เอง
*******************************
ท่ามกลางโลกที่แบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย เป็นพรรคเป็นพวก ขึ้นตรงอยู่กับผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง พ่วงปริญญาเอกทางด้านวิทยาศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 28 ปี กลับไม่พบหนทางว่าวิทยาศาสตร์จะช่วยเยียวยาจิตใจของเธอให้มีความสุขได้ แต่สิ่งที่ช่วยทำให้เธอพบความสุขนั้น คือพระธรรมของพระพุทธองค์นี่เอง เธอจึงเลือกออกจากระบบ เข้าป่า หาหนทางดับทุกข์ด้วยตนเอง
15 ปีบนป่าภูหลวงกว่า 5,000 ไร่ และการสร้าง 'อาศรมมาตา' สำหรับลูกผู้หญิงในการปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมบนภูหลวง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา แม่ชี ดร.ไพเราะ ทิพยทัศน์ พบคำตอบจากธรรมชาติที่นำมาแก้ทุกข์ได้ทุกปัญหา แม้แต่เรื่องใหญ่คับโลกอย่างมิคสัญญี ที่ใครๆ ต่างกลัวเกรง
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"ธรรมะกดปุ่ม เทคโนโลยีดับทุกข์ในยุคดิจิทัล" แม่ชี ดร.ไพเราะ ทิพยทัศน์
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
23:05

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
ป้ายกำกับ:
ธรรมะ