: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อ 'บล็อกเกอร์' ปะทะสื่อกระแสหลัก

จดหมายจากฮาร์วาร์ด / เทพชัย หย่อง คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
เมื่อ 'บล็อกเกอร์' ปะทะสื่อกระแสหลักตอนนี้คำว่า 'บล็อกเกอร์' กำลังเป็นคำพูดฮิตติดปากคนมะกันที่สนใจติดตามข่าวสารบ้านเมือง
จะบอกว่า 'บล็อกเกอร์' เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ท้าทายสื่อกระแสหลักอย่างหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ก็คงไม่ผิด 'บล็อกเกอร์' คือ ชื่อที่ใช้เรียกคนทำสื่ออิสระทางอินเทอร์เน็ตที่กำลังกลายเป็นทางเลือกใหม่ทางด้านข่าวสารให้คนอเมริกัน
การจะเป็น 'บล็อกเกอร์' นั้นไม่ยาก เพียงแค่ขอให้มีเวบไซต์ของตัวเองและจริงจังกับการหาข้อมูลข่าวสารและการตรวจสอบสังคม ใครๆ ก็สามารถเล่นบทบาทนี้ได้ แต่จะเป็น 'บล็อกเกอร์' ที่น่าเชื่อถือได้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ในขณะที่สื่ออย่างหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นทุกวัน เพราะอคติหรือความลำเอียงในการรายงานข่าวและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยเสียจนน่าเกลียด เสียงชื่นชมต่อบทบาทของสื่ออิสระทางเวบไซต์ กลับเพิ่มขึ้นเป็นงามตามตัว
ทำไปทำมาตอนนี้บทบาทสำคัญของเหล่า 'บล็อกเกอร์' กลายเป็นการตรวจสอบสื่อกระสื่อหลัก ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือ คอยหาเรื่องจับผิดการทำหน้าที่ของสื่อกระแสหลัก ว่างั้นเถอะ และทำได้ดีเสียด้วยจนหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ทั้งหลายต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นในการทำหน้าที่ เพราะถ้าพลาดเมื่อไรเป็นโดนเหล่า 'บล็อกเกอร์' รุมทึ้งทันที
สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่อย่างซีบีเอส ได้บทเรียนที่เจ็บแสบมาแล้วจนต้องบีบให้ผู้ประกาศข่าวชื่อดังอย่าง แดน ราเธอร์ โบกมือลา ก็เพราะฝีมือของ 'บล็อกเกอร์' นั่นแหละ
แดน ราเธอร์นึกว่าตัวเองและทีมงาน '60 นาที' ได้ข่าวสุดยอดในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว พบหลักฐานสำคัญที่พัวพันกับการใช้เส้นสายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เพื่อให้ได้สิทธิพิเศษในสมัยที่ยังเป็นทหารอยู่ในกองทัพ คิดว่ายังไงๆ หลักฐานเอกสารที่ได้มาคงเอาบุชอยู่หมัด จนเผลอๆ อาจทำให้แพ้การเลือกตั้งได้
แต่ที่ไหนได้ ก็เพราะฝีมือการขุดคุ้ยของ 'บล็อกเกอร์' กลุ่มหนึ่งนั่นเองที่ทำให้แดน ราเธอร์และซีบีเอสต้องหน้าแตก ขุดจนพบว่าเอกสารที่ทีมงานของแดน ราเธอร์ได้มานั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นเอกสารปลอม
งานนี้ไม่รู้ใครหลอกใครละ แต่ก็จบลงด้วยการขอโทษขอโพยขนานใหญ่โดยซีบีเอส และการอำลาเก้าอี้ผู้ประกาศข่าวของแดน ราเธอร์ ซึ่งจนถึงบัดนั้นต้องถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความน่าเชื่อของข่าวโทรศน์อเมริกัน
การโค่นแดน ราเธอร์ลงได้ ทำให้เหล่า 'บล็อกเกอร์' กลายเป็นวีรบุรุษทางด้านข่าวสารทันที
เพราะในอดีตไม่มีใครกล้าตอแยกับบรรดาสถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเป็นอันขาด แต่ตอนนี้พวก 'บล็อกเกอร์' กลายเป็น 'แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์' ไปแล้ว
บรรดานักวิจารณ์สื่อมะกันเขาเปรียบเทียบพวก 'บล็อกเกอร์' ตอนนี้ว่าเหมือนปลาฉลามที่ได้กลิ่นคาวเลือดในน้ำทะเล ต้องว่ายน้ำพล่านเพื่องับเหยื่อรายต่อไปให้ได้ เพราะกลิ่นเลือดมันช่างยั่วยวนเหลือเกิน
'เหยื่อ' ชิ้นงามอีกชิ้นที่ถูก 'บล็อกเกอร์' งับจนเละ ก็คือ อิสัน จอร์แดน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีตบรรณาธิการข่าวใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็นไปแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ว่าขนาดยักษ์ใหญ่อย่างซีเอ็นเอ็นยังพลาดท่าให้กับ 'บลอกเกอร์' ได้ง่ายๆ เหมือนกัน
เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จอร์แดนไปขึ้นเวทีร่วมอภิปรายเรื่องบทบาทของสื่อในระหว่างการประชุมใหญ่ประจำปีทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า 'เวิลด์อีโคโนมิคโฟรั่ม' ที่เมืองดาโวส ก็เพราะเข้าใจว่าเวทีนี้เป็นการพูดคุยกันเฉพาะแต่ในห้อง ไม่มีการเอาไปเล่าต่อหรือทำเป็นข่าว จอร์แดนก็เลยย่ามใจ คิดอะไรก็พูดออกมาหมด
ประโยคเด็ดที่กลายเป็นเชือกมัดคอตัวเอง คือคำพูดของจอร์แดนที่ถูกตีความว่าทหารมะกันในอิรักเจตนายิงปืนใส่นักข่าวจนตายและบาดเจ็บไปหลายคน นี่ เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ยิ่งออกจากปากของบรรณาธิการใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ชื่อก้องโลกอย่างซีเอ็นเอ็น ยิ่งต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถึงแม้จะเป็นเวทีที่เรียกกันตามภาษาข่าวว่า 'ออฟเรคคอร์ด' ก็ตาม
แต่ก็ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหน หรือสถานีโทรทัศน์ช่องไหนรายงานคำพูดของจอร์แดน จนในที่สุดต้องอาศัย 'บล็อกเกอร์' สมัครเล่นคนหนึ่งซึ่งบังเอิญอยู่ในที่อภิปรายด้วยออกมาเปิดเผยว่าจอร์แดนได้พูดอะไรไว้บ้าง
เท่านั้นละครับ เรื่องนี้ก็กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ในเวลาชั่วข้ามคืน บรรดาเวบไซต์ทั้งหลายต่างพร้อมใจกันกระจายข่าว จนสื่อกระแสหลักทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์และสถานีโทรทัศน์ทนไม่ได้ ต้องกระโดดลงมาเล่นข่าวนี้ด้วย
หลังจากนั้นไม่กี่วัน บก.ใหญ่อย่างจอร์แดนก็ต้องม้วนเสื่ออำลาเก้าอี้ที่ซีเอ็นเอ็น เพราะทนต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่ไหว และด้วยความเป็นห่วงว่าถ้าหากยังหวงเก้าอี้ต่อไปซีเอ็นเอ็นจะพลอยโดนหางเลขไปด้วย ถ้าจะบอกว่าเป็นการแสดงสปิริตก็คงไม่ผิด ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็ยืนยันแล้วยืนยันอีกว่าข่าวที่กระจายโดยพวก 'บล็อกเกอร์' ทั้งหลายผิดเพี้ยนไปจากความจริงมาก
ผลงานชิ้นโบแดงอีกชิ้นหนึ่งที่เหล่า 'บล็อกเกอร์' ภูมิใจกันนักกันหนาคือ การกระชากหน้ากากนักข่าวกำมะลอที่แทรกตัวเข้าไปนั่งกระทบไหล่บรรดานักข่าวรุ่นเก๋าทั้งหลายในทำเนียบขาวเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว
พูดไปก็คงเหมือนกับนักข่าวประจำทำเนียบบ้านเรานั่นแหละ คนแปลกหน้าเดินเข้าออกมีหรือที่จะเล็ดลอดสายตาของนักข่าวที่เป็นเจ้าถิ่นได้
แต่ก็เป็นเรื่องแปลกที่นักข่าวนับร้อยที่เข้าออกทำเนียบขาวทุกวัน ไม่มีใครเอะใจว่าอยู่ดีๆ ก็มีนักข่าวหนุ่มหน้ามนซึ่งไม่รู้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ปรากฏตัวในวงแถลงข่าวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยแทบทุกวัน แถมยังเดินทักทายคนโน้นคนนี้ราวกับเป็นนักข่าวเจ้าของพื้นที่
แรกๆ ก็ไม่มีใครสงสัยอะไรมากมาย แต่วันดีคืนดีพี่แกยกมือในวงแถลงข่าวในทำเนียบข่าวขอถามคำถามบ้าง ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใจดีเหลือหลาย ถึงเป็นนักข่าวหน้าใหม่ก็ยังอุตส่าห์ชี้นิ้วให้ลุกขึ้นถาม
เจอะเข้าอย่างนี้บรรดานักข่าวรุ่นเดอะทั้งหลายก็ชักสงสัยสิครับ หมอนี้มีดีอะไร เพราะปกตินักข่าวที่จะถูกชี้ให้ถามนั้นมักเป็นนักข่าวอาวุโสหรือไม่ก็เป็นนักข่าวที่คนในทำเนียบขาวคุ้นหน้าคุ้นตาดี ประเภททักทายกันด้วยชื่อเล่นได้ (ก็เหมือนเรียก 'เจ๊' เรียก 'พี่' กันที่ทำเนียบรัฐบาลบ้านเรานั่นแหละ)
แต่ที่ทำเอาทุกคนเริ่มเอะใจก็คือ ทุกครั้งที่นักข่าวลึกลับคนที่ว่านี้ตั้งคำถาม มักต้องมีการหยอดคำหวานหรือมีลูกสร้อยที่เปิดช่องให้คนแถลงข่าวตอบคำถามได้อย่างสบายใจ วงการข่าวบ้านเราเขาเรียกกันว่า 'ชงหวาน' เพราะเป็นการถามในเรื่องที่คนแถลงข่าวอยากตอบ
และมันไม่ใช่เกิดแค่ครั้งสองครั้ง มันเกิดขึ้นบ่อยจนเจ้านักข่าวคนนี้ถูกนักข่าวเจ้าถิ่นจับตามองเป็นพิเศษ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ใครคิดจะทำอะไรหรือถามกันให้รู้แน่ว่าพี่แกเป็นใครมาจากไหน มีแต่เสียงร่ำลือที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเจ้าหมอนี้เป็นใคร
จนกระทั่ง 'บล็อกเกอร์' คนหนึ่งอดรนทนไม่ไหว ลงทุนสืบสาวราวเรื่องด้วยตัวเอง ในที่สุดก็พบความจริง ว่าความจริงพี่แกไม่ได้เป็นนักข่าวที่ไหนหรอก แต่ไปแอบอ้างว่าทำงานให้กับสื่อออนไลน์ฉบับหนึ่ง สืบไปสืบมาก็พบอีกว่าเจ้าของเวบไซต์ที่ว่านี้เคยทำงานตัวเป็นเกลียวช่วยพรรคริพับลิกันหาเสียงในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา
เรื่องก็เลยแดง กลายเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์อยู่หลายวัน เจ้าหน้าทำเนียบขาวก็กระอึกกระอักตอบไม่ถูกว่าไปออกใบอนุญาตให้นักข่าวคนนี้เข้าไปร่วมฟังการแถลงข่าวได้อย่างไร สุดท้ายก็ต้องขึ้นบัญชีดำนักข่าวลึกลับคนนี้
ที่เล่ามาทั้งหมดนั้นถือว่าเป็นชัยชนะของ 'บล็อกเกอร์' เป็นความสำเร็จที่ทำให้เวบไซต์ข่าวอิสระกลายเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารยอดฮิตขึ้นมาทันที
แต่ 'บล็อกเกอร์' ก็ได้รับทั้งเสียงชื่นชมและเสียงด่าในเวลาเดียวกัน ฉบับหน้ากลับมาดูกันต่อครับว่า อนาคตของสื่ออิสระออนไลน์ในสังคมอเมริกันจะเป็นอย่างไร และสื่อกระแสหลักกำลังรับมืออย่างไรกับการท้าทายจาก 'บล็อกเกอร์'