: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ท่องโลกหนังสือสีม่วง ยุคสมัย 'วรรณเกย์' ยึดแผง!

รายงานพิเศษ - นภาพร แจ่มทับทิม คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ท่องโลกหนังสือสีม่วง ยุคสมัย 'วรรณเกย์' ยึดแผง!
ชั่วโมงนี้ หนังสือเล่มที่มีกระแสการตอบรับอย่างดี คงต้องยกให้หนังสือเกี่ยวกับเรื่องแฉ.. หรือความรักความลับของคนดัง รวมถึงหนังสือที่เผยตัวตนคนสีม่วง
ด้วยความที่สังคมเปิดกว้างขึ้นในกรอบเรื่องเพศ จึงไม่น่าแปลกใจที่งานเปิดตัวหนังสือ 'แม่ครับ ผมเป็นเกย์' ภายใต้ชื่องานปาร์ตี้คนสีม่วง จึงเป็นที่ชุมนุมอันอบอุ่นของพลพรรค 'คนรักสีม่วง' เคล้าด้วยกลิ่นอายกาแฟชั้นดี ณ บ้านใร่กาแฟ ย่านเอกมัย เมื่อสัปดาห์ก่อนโน้น
'แม่ครับ ผมเป็นเกย์' ผลงานของเวิร์คพอยท์สำนักพิมพ์ ได้รวบรวมประสบการณ์ของกลุ่มคนที่กายเป็นชาย หัวใจเป็นหญิง ไว้อย่างหลากหลาย ภายใต้การกุมคอนเซปต์ 'เจาะลึกหัวใจ โหด เอ็กซ์ ฮา คนสีม่วงแนวหน้า ที่จะทำให้คุณหัวเราะร่า น้ำตาทะลัก' ไว้ได้สมราคาของการรวมตัวชาวสีม่วงคนดังทั้ง 9 คน
แม้อาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย เมื่อมีคนออกมาพูดเรื่องเพศที่สาม สี่ ห้า กันมากขึ้น แต่ย้อนไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว คนกลุ่มนี้มักไม่ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม จึงต้องหลบซ่อน ต้องอำพรางตัวตน ด้วยกฎเกณฑ์เรื่องเพศของสังคมไทย
หากจะถามว่าปัจจุบันการหยิบยกเรื่องไร้กรอบทางเพศมาถ่ายทอดให้ผู้คนในสังคมได้สัมผัส ได้รับรู้ หนังสือประเภทนี้จะได้รับการต้อนรับเป็นไปในทิศทางใดนั้น หรือปรากฏการณ์ 'ขายดี' จะเป็นแค่ภาพลวงตา เหมือนกระแส 'ดาราเขียนหนังสือ' เมื่อตลาดวายทุกอย่างก็จบ
นที ธีระโรจนพงษ์ หัวหน้ากลุ่มเส้นสีขาว ผู้สนับสนุนการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ (โดยเน้นกลุ่มเกย์) และผู้ประสานงานกลุ่มเกย์การเมืองไทย ซึ่งขณะนี้เขาพร้อมสู่การเป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว โดยจะลงสมัครชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในปีหน้า
สำหรับหนังสือ 'แม่ครับ ผมเป็นเกย์' นั้น 'นที' ให้ความเห็นว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่มีวิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ เพราะว่าเป็นเรื่องราวที่สนุก เป็นหนังสือที่มีคุณค่า ใน 9 กุลเกย์ มีความกตัญญู เพราะฉะนั้น พ่อแม่ควรที่จะให้โอกาสลูก อยู่บนพื้นที่ที่เขาจะอยู่ได้อย่างเป็นปกติสุข โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง
แต่ก่อนหน้าที่เขาผู้นี้จะก้าวข้ามด่านการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ย้อนไปเมื่อกว่า 17 ปีก่อน จากครอบครัวลูกคนจีนที่ถูกคาดหวัง ได้ลูกชายไว้สืบสกุล กลับผิดฝาผิดเพศชนิดที่ต้นตระกูลทำใจไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ครอบครัวให้การยอมรับ และตัวเขาเองก็กล้าที่จะบอกให้กับสังคมรับทราบถึงความเป็นเกย์
ยังผลให้เขาเริ่มเปิดเผยครั้งแรกต่อสาธารณะผ่านนิตยสารนีออน ในบทบันทึก 'กว่าจะก้าวข้ามเส้นสีขาว' ซึ่งเมื่อ 10 ปีที่แล้วถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่สังคมยังไม่ให้การยอมรับ โดยเริ่มเขียนตั้งแต่ปี 2532 และได้ตีพิมพ์รวมเล่มเมื่อปี 2533 ปรากฏว่าได้รับการตอบรับจากผู้อ่านอย่างอบอุ่น
"ผลตอบรับเป็นท็อปเทนที่ร้านดอกหญ้า แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกเก็บเลยนะ ก็ไม่น่าใจว่าเพราะอะไร แต่มีเสียงที่บอกว่ามันเป็นหนังสือที่แฮปปี้แอนดิ้ง จบลงด้วยความสุขที่แม่ยอมรับว่าเป็นอะไรก็เป็นไปเถอะลูก แล้วก็ถูกแบน โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็นองค์ไหน แบนเพราะเขาเห็นว่าคนที่เป็นเกย์แล้วแฮปปี้ แล้วก็เป็นหนังสือที่หายไปจากวงการเลย"
17 ปีผ่านไป หลายคนที่ได้อ่านก็ยึดเรื่องราวของเขาในการดำเนินชีวิต และเมื่อได้รับทราบเรื่องราวของพิธีกรรายการทีวี 'อิ๋งอิ๋ง' ที่พบว่าแฟนที่คบกัน 7 ปีเป็นเกย์ จึงจุดประกายให้เขาเขียน 'แกะกล่องเกย์' ขึ้นมาทันที
"ด้วยความที่เป็นคนเปิดเผย เมื่อได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้ก็เลยคิดว่าหากเราได้ทำประโยชน์ เพราะเราก็เคยหลอกผู้หญิง จีบเขา เราจึงคิดว่าหากเราได้เขียนหนังสือสักเล่มหนึ่ง มันเป็นการสร้างสิ่งที่ดีนะ ทำให้ผู้หญิงเข้าใจ แล้วผู้หญิงจะได้รอดพ้น ช่วยทำให้คนเข้าใจ แล้วก็ทำให้เกย์ไม่คิดจะหลอกผู้หญิง เพราะผู้หญิงเก่งขึ้น ทำให้เกย์ไม่กล้าหลอกผู้หญิง
"ก็เลยเขียนในหนังสือว่า 'หากคุณมีผู้หญิงที่รักและห่วงหวง แกะกล่องเกย์ก็คือเรื่องที่ผู้หญิงไทยต้องเรียนรู้ ส่วนเกย์ไทยต้องเลิกหลอกลวง' เพราะการหลอกไม่ใช่สิ่งที่ดี เป็นเรื่องที่สอนให้คนที่มีลูกสาวด้วย มันจึงเป็นหนังสือที่ขายได้ดีพอสมควรเลยไง เพราะว่าเป็นตลาดที่กว้าง ตอนนี้พิมพ์ไป 3 ครั้ง ครั้งแรกพิมพ์ 13,000 ครั้งที่ 2 จำนวน 2,500 เล่ม ครั้งที่ 3 จำนวน 3,000 เล่ม"
ไม่เพียงความรู้สึกร่วมของชาวสีม่วงที่มีผลตอบรับด้านดีเท่านั้น ในอีกด้านหนึ่งก็มี 'ก้อนอิฐ' ลอยมาเหมือนกัน
"ผลตอบรับด้านลบ ก็มีส่วนหนึ่งที่มีเกย์บางคนที่ออกมาด่าพี่ เพราะเขาอยากจะหลอกผู้หญิงอยู่แล้ว ให้ผู้หญิงหน้าโง่ถูกหลอกต่อไป ไม่รู้ต่อไป เพราะว่าผู้หญิงเป็นเพศแม่ เป็นเกย์ที่ไม่ถูกเกลาให้เกลากลืน พวกนี้ก็ยังเป็นพวกที่ยังคิดในสิ่งที่เลวร้าย"
รวมถึงผลงานที่เขาอยากผลักดัน เพื่อเกิดการเรียนรู้ถึงเรื่องเพศในสังคม
"อยากจะเขียนเรื่องเพศทางเลือกศึกษา ให้กับครูปกครองเด็กได้อ่าน เพื่อที่เขาจะดูแลเด็กที่มีความไม่เหมือนกับคนอื่น แต่ตอนนี้เรื่องพวกนี้น่าจะไปถึงสภา รอระยะเป็นสักอีกระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยดีกว่า เพราะบางทีกระแสสังคมที่เขาไม่เข้าใจแล้ว ตอนนี้ยังเป็นจังหวะที่เหมาะสม
"นี่กำลังคิดว่าจะออกหนังสือ เลี้ยงลูกเกย์อย่างไรให้เป็นสุข ซึ่งอยู่ในความคิดที่พ่อแม่เกย์โทรหาเยอะ เขารู้สึกว่าลูกเป็นเกย์แล้วควรทำอย่างไร เรารู้แล้วล่ะว่าเกย์เป็นเรื่องที่เลิก หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะทำให้พ่อแม่ทำอย่างไรที่จะเลี้ยงลูกเกย์ให้เป็นสุข สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องมีการให้องค์ความรู้ที่ถูกต้อง ถ้าเขาเป็นแล้วเราก็ต้องปล่อยให้เขาเป็นเด็กที่มีความสุข"
เขายังย้ำตอนท้ายในสิ่งที่จะเป็นแนวรุกอีกด้านหนึ่งของชาวเกย์ คือรุกที่จะบอกสังคมว่า พวกเราอยากจะทำงานเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอันแสนงดงามนี้
0 0 0
ด้าน วิทยา แสงอรุณ ผู้อำนวยการไซเบอร์ฟิชมีเดีย เจ้าของคอลัมน์จิตวิทยาเกย์ ใน Metro life และคอลัมน์ 'เลิกแอบ (เสียที) กับวิทยา แสงอรุณ' ในนิตยสาร GM
สำหรับงานที่เขาพยายามสื่อสารโดยตรงต่อชาวสีรุ้งนี้ โดยมีบริษัท ไซเบอร์ฟิชมีเดีย ทำงานในสองส่วน คือ
"ในเรื่องให้การศึกษา ก็คือทำพอคเก็ตบุ๊ค ส่วนที่สองทำภาพยนตร์ ซึ่งสองอย่างนี้มีกลุ่มเป้าหมายเดียวกันคือ กลุ่มคนที่เป็นเกย์กับเลสเบี้ยน ด้วยการพยายามทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง และครูที่ยังเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ให้ความรู้เขาเรื่องการศึกษาเป็นหลัก คือทุกอย่างที่ออกมาจะมาอธิบายให้สังคมเข้าใจมากขึ้นและลดอคติลง"
ขณะนี้ผลงานของบริษัทที่ออกมาแล้ว คือหนังสือ 'สามีฉันเป็นเกย์' และ 'เธอและเขามาจากดาวอะไร' รวมถึง 'เรนโบบอยส์' ซึ่งเป็นหนังสือแปลที่ได้รับรางวัลห้องสมุดจากอเมริกาที่เขาเป็นบรรณาธิการ
"เรื่องที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือเรื่องเรนโบบอยส์ ก็เป็นนิยาย 3 เล่มจบ ซึ่งพบว่าคนที่สนใจเรื่องเกย์มีเยอะกว่าที่เราคิด หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกสนาน ให้ความบันเทิง ให้ความรู้ เป็นหนังสือที่รวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเกย์
"โดยเป็นกลุ่มที่เขามีเพื่อนเป็น และเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา แล้วเขาก็ไปแนะนำให้เพื่อนที่เป็นเกย์อ่าน แล้วทำให้มันกระจายวงกว้างออกไป ซึ่งอย่างเรนโบบอยส์เล่ม 1 ที่เพิ่งออกไปเมื่อปีที่แล้ว และมีการพิมพ์ครั้งที่ 2 แม้ไม่ถือว่ามากมายอะไร แต่ถือว่าตลาดหนังสือในลักษณะนี้เป็นตลาดใหม่ และได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งคนทำหนังสือแนวนี้ยังมีน้อยอยู่ มีหลายคนที่ทำออกมาแล้ว ไม่ตรงใจผู้อ่าน เพราะเขาไม่เข้าใจประเด็นเรื่องเกย์
"ภาคที่ 3 กำลังจะออกประมาณตุลาคม ซึ่งมีคนถามมากว่าทำไมออกช้า แต่ที่อเมริกาก็ออกเดือนตุลานี้เหมือนกัน เราออกพร้อมๆ กับอเมริกาด้วย เพราะฉะนั้นมันก็จะได้กระแสเยอะเหมือนกัน"
ส่วนหนังสือที่เขาได้เขียนเอง และรวมเล่มไปแล้ว คือ 'รุกรุกรับรับครับผม' และที่เพิ่งออกคือ 'ใช่แล้วครับผมเป็น gray' ซึ่งทั้งสองเล่ม จะเป็นเรื่องจิตวิทยา ให้กำลังใจ ให้แนวทางในการดำเนินชีวิต เสนอมุมมองชีวิตให้มีการเปิดประเด็นถกเถียงกัน
"หนังสือเป็นวิธีการ ขั้นตอนที่จะบอกให้คนในครอบครัวว่าควรบอกอย่างไร แต่ละคนไม่เหมือนกัน เราต้องเข้าใจ และรักตัวเองมากพอ ถ้ายังมีน้อยอยู่แล้วเราจะตอบคำถามพวกเขาไม่ชัดเจน คนที่ฟังก็จะไม่เข้าใจ แล้วถ้าจะเปิดเผยเราต้องเข้าใจตัวเองก่อน"
เพราะเมื่อเวลาได้แปรเปลี่ยนทัศนคติ เกี่ยวกับกลุ่มคนประเภทนี้ ทำให้เรื่องราวที่สื่อสารทำความเข้าใจนั้น เพิ่มมากขึ้นไปด้วย
"หนังสือเกย์ในอดีตเขาจะมองเรื่องที่น่าหดหู่ น่าสงสารเป็นเรื่องโชคร้าย เรื่องจะรักษาหายไหม ความทุกข์ระทมในเรื่องความรัก แต่หนังสือในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือไทยหรือเทศมีการเปลี่ยนแปลง เขาต้องการมองชีวิตในแง่มุมอื่น งานมุมการทำงานที่ประสบความสำเร็จ แง่มุมความสัมพันธ์ ความรัก ซึ่งในอดีตไม่เคยพูดถึง
"แต่หนังสือเกย์ในยุคใหม่ที่เป็นชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ว่าเป็นเกิดขึ้นกับคนที่เป็นเกย์ อย่างเช่นการที่ยอมรับตัวเองกับคนรอบข้างเป็นอย่างไร การที่จะมีความสุข และเข้าใจตัวเองไม่เกลียดตัวเอง
"คนที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเขารักตัวเองมากขึ้น มันเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เขามีชีวิตที่ดีต่อไป โดยที่ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ในชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นบั่นทอนตัวเขา แม้ว่าเขาไม่ต้องออกมาบอกใครๆ แต่เขารู้สึกกับตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญแล้ว ความรู้สึกละลายใจ เป็นบาป ที่ทำให้เขามีทัศนคติที่ดีขึ้น"
ส่วนกระแสการตอบรับจากผลงานทั้งพอคเก็ตบุ๊คและบทความที่ออกสู่สายตาผู้อ่านนั้น เขากล่าวว่า
"ผลตอบรับคือตั้งแต่ทำมาไม่เคยโดนใครโจมตีเลย ไม่มีใครไม่เห็นด้วยที่ทำเลย ทุกคนเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ครู คนที่ทำงานด้านเรื่องโรคเอดส์ เห็นด้วยที่จะมีข้อมูลเข้าไปในสังคมมากขึ้น ไม่เคยโดนใครมาบอกว่าให้หยุดทำเลย"
"ส่วนคอลัมน์ใน Metrao Life คอลัมน์ที่เกี่ยวกับเกย์ ที่ปรากฏว่าจะได้รับจดหมายจากคนอายุ 50 แล้วไม่เคยพูดกับใครเลยว่าตัวเองเป็นเกย์ อาจจะมีครอบครัว เขาจะมาระบายความรู้สึก รู้สึกดีเป็นครั้งแรกที่มีคนพูดดีๆ กับเขา ว่าชีวิตเขาเป็นชีวิตที่ดีๆ ได้ ไม่ต้องหลบซ่อน อีกกลุ่มก็จะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ยังสับสน ที่ยังหาคนคุยด้วยไม่ได้ ก็จะมาปรึกษาปัญหาเยอะ
"เขาจะรู้สึกว่าเขาสามารถเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ได้ คือว่าจะมีทั้งอีเมลที่มาจากทั้งในและต่างประเทศที่เขาสงสัย แล้วยังหาคนตอบไม่ได้ เรารู้สึกเป็นที่พึ่ง เขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างปกติธรรมดา ซึ่งอันนี้สำคัญ ถ้าเขาดูตัวอย่างที่ไม่ดี แล้วอาจทำตัวเองที่ไม่ดีได้"
อีกทั้งตลาดที่จะสื่อสารเรื่องราวให้ความรู้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ยังสามารถขยายไปสู่วงกว้างของทั้งคนเขียน และคนอ่าน
"มีหลายคนๆ ที่เป็นนักเขียน นักแสดงปัจจุบันที่เป็นเกย์อยู่ เขาอาจจะรู้สึกขึ้นกับตัวเอง จนกระทั่งเขาออกมาเปิดเผยเขาเป็นเกย์ ถ้าเขาพูดความจริงไม่ได้ เขาจะอึดอัดไปตลอดชีวิต
"คิดว่าในอีกไม่กี่ปีเรื่องเกย์จะไม่ใช่เรื่องตลก ประหลาด แต่จะเป็นเรื่องที่ธรรมดามากขึ้น เพราะสังคมเข้าใจมากขึ้นจากสื่อต่างๆ ที่เข้ามาในเมืองไทย เพราะสื่อต่างประเทศเขาคิดว่าคนพวกนี้ก็เป็นคนส่วนหนึ่งของสังคม"
เฉกเช่นเดียวกัน ความรู้สึกในด้านลบก็มีปรากฏให้เห็นอยู่ ที่เขารู้สึกว่า
"ไม่เคยมีคนมาว่าต่อหน้า หรือโทรศัพท์มาต่อว่า ไม่เคยมี บอกได้เลยว่าเป็นศูนย์ตั้งแต่ที่ทำงานมา แต่สิ่งที่เรายังพบอยู่บทความที่ลงในเวบของผู้จัดการ แล้วจะมีเวบบอร์ดที่อยู่ข้างล่าง จะมีบุคคลจำนวนหนึ่งที่ไม่พอใจเกย์อย่างรุนแรง แล้วบอกได้เลยในจำนวนคนที่ไม่พอใจ ครึ่งหนึ่งเป็นเกย์ เพราะว่าเขาเกลียดตัวเอง ในจำนวนที่เขียนในด้านลบ จะว่าเกย์ว่าเป็นพวกวิปริตเสียชาติเกิดบ้าง ที่คิดว่าเป็นเกย์ เพราะว่าถ้าคุณไม่เป็นเกย์คุณจะมาอ่านคอลัมน์นี้ทำไม นอกจากมีเพื่อนเป็นเกย์แล้วสนใจ issue นี้ ผู้ชายที่เป็นผู้ชาย รักผู้หญิงทั่วไปจะไม่อ่านคอลัมน์นี้ เพราะว่าเขาไม่มีความสนใจ"
เขายังกล่าวต่อไปถึงแนวโน้มของความสนใจในเรื่องราวของคนประเภทนี้ว่า
"ต่อไปน่าจะมีคนที่กล้าพูดเรื่องตัวเองมากยิ่งขึ้น แล้วจะมีนักเขียนที่เขามีเรื่องราวในใจเกี่ยวกับเกย์ออกมาเขียนมากขึ้น จะเห็นงานที่มีมุมมองใหม่ๆ ทัศนคติเรื่องเพศในสังคมไทยกำลังจะเปลี่ยนไป เพราะว่าคนที่ทำเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น และจะมีคนพูดเรื่องเพศศึกษาที่ไม่ใช่เรื่องเซ็กซ์นะ ทำให้คนเข้าใจมีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งยังไม่ใครไปศึกษาอย่างจริงจัง แต่ต่อไปนี้จะมีคนเริ่มเข้าไปศึกษา ทำงานวิจัย และเขียนหนังสือออกมามากขึ้น แล้วทำให้องค์ความรู้เรื่องเพศศึกษาของไทยมีมากขึ้น
และความเห็นเกี่ยวกับหนังสือประเภทที่มีผู้สนใจมากขึ้น
"ถ้ามีหนังสือเกี่ยวกับเกย์ เลสเบี้ยน เกี่ยวกับเพศศึกษามากขึ้น ทุกคนจะหันกลับมามองและศึกษาเรื่องเพศศึกษามากขึ้น ซึ่งคิดว่าความไม่เข้าใจในสังคมจะลดลง แล้วการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และมีความสุข จะเพิ่มมากขึ้น เพราะไม่ใช่ว่ามีหนังสือประเภทนี้ออกมาเยอะๆ แล้วจะกระตุ้นให้ใครมาเป็นเกย์ อยู่ที่ว่าเขาจะเปิดเผย และยอมรับความจริงหรือเปล่าเท่านั้น"
ด้วยความมุ่งหวังบนแผงหนังสือของหัวใจสีม่วง ที่พยายามสื่อสารเรื่องความหลากหลายทางเพศ แต่จะก้าวผ่านไปสู่การยอมรับสังคมอย่างไรนั้น เราต้องรอดูกัน