: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ที่สุดในธุรกิจหนังสือ ตัวเลขน่ารู้ของสำนักพิมพ์!!

รายงานพิเศษ / อิสรีอิน คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ที่สุดในธุรกิจหนังสือ ตัวเลขน่ารู้ของสำนักพิมพ์!!
กลายเป็นงานประจำปีที่คนในแวดวงหนังสือต้องติดตามอีกงานไปแล้วก็ว่าได้ สำหรับการแถลงข้อมูล 'ที่สุดในธุรกิจหนังสือ' ที่ ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ อาสาเป็น 'เจ้าภาพ' ในการหาตัวเลขการเติบโตในธุรกิจหนังสือในแต่ละปี มาให้ทราบกัน แต่ละครั้งจึงได้รับความสนใจเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะปีที่ 2 นี้ นอกจากจะบอกถึงตัวเลข 'ที่สุดในธุรกิจหนังสือ และสิ่งพิมพ์ ปี 2547' ที่น่าสนใจแล้ว ทนง โชติสรยุทธ์ ยังได้ชี้ให้เห็นถึง 'ดาวรุ่ง' และแนะช่องทางให้แก่สำนักพิมพ์ที่ต้องการไปสู่ดวงดาวแห่งความสำเร็จอีกด้วย
เพราะหวังว่า การแบ่งปันข้อมูลอย่างเป็นทางการให้กับวงการหนังสือในภาพรวมครั้งนี้ น่าจะช่วยกระตุ้นให้แต่ละฝ่ายเห็นความสำคัญของข้อมูลมากขึ้น
อีกทั้งจะได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวในวงการหนังสือแง่มุมต่างๆ ที่จะนำไปปรับปรุงแผนงานของตนเองได้
ที่สำคัญ เป็นเรื่องแรงบันดาลใจ เพราะจากการได้เห็นระดับดาวรุ่งต่างๆ อาจจะเพิ่มความเชื่อมั่นในธุรกิจนี้ได้ว่ามีความเป็นได้
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ แผนกการตลาด ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ได้รวบรวมขึ้นนี้ มาจากฐานข้อมูลของซีเอ็ดฯ ทั้งสิ้น
ทั้งการประมวลจากยอดการขาย และระบบฐานข้อมูลที่ร้านหนังสือซีเอ็ดฯ, ร้าน Book Variety และเครือข่ายทั้งหมดของซีเอ็ดฯ รวม 174 สาขา และ 155 จุดขายย่อย ด้วยยอดขายประมาณ 2,400 ล้านบาท ในสิ้นปี 2547
ซึ่งทางซีเอ็ดฯ ได้ระบุด้วยว่า แม้ไม่อาจถือว่าเป็นข้อมูลทางการของวงการหนังสือได้ 100% แต่ก็อาจถือได้ว่าเป็นการช่วยให้เห็นแนวโน้มได้ดีขึ้นกว่าเดิม
0 0 0
จากตัวเลขมูลค่าตลาดหนังสือโดยรวมปี 2547 สูงถึง 13,500 ล้านบาท โตจากปี 2546 ถึง 14.17% ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 11,225 ล้านบาท
ปี 2547 ทั้งปี มีหนังสือออกใหม่ (ที่เข้าร้าน) มากถึง 11,120 ปก เฉลี่ยเดือนละ 900 กว่าปก หรือวันละ 30 ปก ซึ่งมากกว่าปีก่อน ถึง 1,000 กว่าปก
แต่เหตุที่จำนวนขอ ISBN มากถึงหลักหมื่น โดยเฉพาะ ปี 2547 ที่ตัวเลขการขอมากกว่าปี 2546 ถึง 1 หมื่นปกนั้น ก็เนื่องจากภายหลังนั้น ไม่เฉพาะหนังสือทั่วไป (ที่ขายผ่านระบบร้านหนังสือ) เท่านั้นที่ไปขอ ISBN กับทางหอสมุดแห่งชาติ แต่ยังมีทั้งวิทยานิพนธ์, หนังสืองานศพ, หนังสือที่ระลึก ฯลฯ อีกด้วย จึงทำให้ตัวเลขนี้สูงมาก ผลเสียที่ตามมาก็คือ อาจจะทำให้ตัวเลขนี้ขาดความเชื่อถือไปอย่างน่าเสียดาย
จากพันกว่าปกในแต่ละเดือนนั้น พบว่า หมวดที่ 'ออกใหม่มากที่สุด' อันดับหนึ่ง ยังคงเป็น วรรณกรรม ทั้งปี 2,303 ปก รองลงมาเป็นคู่มือเรียน-สอบ, หนังสือเด็กเล็ก, ศาสนา-ปรัชญา, กฎหมาย-สัญญา-ภาษี
หมวดที่คนไทย 'อ่าน (และซื้อ) มากที่สุด' ได้แก่ หนังสือเด็ก, วรรณกรรม, คู่มือเรียน-สอบ, คอมพิวเตอร์และบริหารธุรกิจ
เทียบอันดับการเติบโตกับปี 2546 แล้ว หนังสือเด็กนั้นเติบโตมาก รองลงมาเป็นวรรณกรรม แต่ที่ไม่โต ก็คือแนวบริหารธุรกิจ
แนวโน้มนี้ก็น่าคิดเช่นกันถึงความต้องการของตลาด คือแนวใดกันแน่!!
โดยเล่มที่เป็นดาวรุ่ง (ขายดี) 'จำนวนเล่มขายสูงสุด' 10 อันดับ คือ ทองแดง (การ์ตูน), Unseen in Thailand-สัมผัสจริงเมืองไทย, กรรมกรข่าว, คู่มือวินโดว์ XP (ฉบับสมบูรณ์), เกิดแต่กรรม แม่ชีธนพร, คู่มือสอบใบขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์, มือใหม่หัดใช้คอมพิวเตอร์, คู่มือช่างคอมพิวเตอร์, รู้ทันทักษิณ, หม่ำ...ความลับในไหปลาแดก
ส่วนเล่มที่ (ขายดี) มียอดสูงสุดใน 12 เดือนแรก 5 อันดับแรก ก็คือ ทองแดง (การ์ตูน), Unseen in Thailand-สัมผัสจริงเมืองไทย, กรรมกรข่าว, เกิดแต่กรรม แม่ชีธนพร, รู้ทันทักษิณ
แต่ถ้าถามถึงเล่มที่ใครๆ ก็อยากสร้างประวัติศาสตร์ 6 เล่มก็คือ มหาชนก (การ์ตูน) ขายได้ 3,731,000 เล่ม, ทองแดง (การ์ตูน) 700,000 เล่ม, แฮรี่ พอตเตอร์ เล่มหนึ่ง 450,000 เล่ม, เล่มห้า ทำยอดได้ 100 ล้านบาทภายใน 12 วัน, พ่อรวยสอนลูก 270,000 เล่ม และ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน 2542 ทำยอดได้ถึง 160,000 เล่ม
โดยเฉพาะแฮรี่ พอตเตอร์เล่มห้านั้น ถือว่าลบล้างความเชื่อของคนทำหนังสือหลายเรื่องทีเดียวที่ว่าหนังสือหนา-ราคาแพง ขายยาก ลงอย่างถล่มทลาย รวมถึงได้สำแดงถึงอำนาจต่อรองของหนังสือที่มีอิทธิพลทำให้เกมธุรกิจเปลี่ยนได้ เช่น ร้านค้าต้องซื้อขาด, เวลาขายก็ต้องเป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด และห้ามลดราคาด้วย
0 0 0
มาถึงสำนักพิมพ์กันบ้าง สำนักพิมพ์ที่ 'รวย' สุด ได้แก่ ซีเอ็ดยูเคชั่น (จากออกใหม่ 141 ปก), อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง (232 ปก), นานมีบุ๊คส์ (223 ปก), ไอดีซีอินโฟดิสทริบิวเตอร์เซนเตอร์ (46 ปก) และโปรวิชั่น (20 ปก)
ซึ่ง 2 อันดับหลังนี้ ถือเป็นสำนักพิมพ์ดาวรุ่งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นกลุ่มหนังสือคอมพิวเตอร์
จากตัวเลขดังกล่าวนี้ก็น่าจะประมาณการได้ว่า สำนักพิมพ์คอมพิวเตอร์มาแรง จากแต่เดิม 2 อันดับดังกล่าวนี้ เป็นของใยไหม ครีเอทีฟ กรุ๊ป และสำนักพิมพ์แสงแดด
อย่างไรก็ตาม ใยไหมฯ ก็มีหนังสือที่ติด 20 อันดับหนังสือขายดียาวนานมากที่สุดของซีเอ็ดฯ อยู่ พอๆ กับหนังสือจากโปรวิชั่น
แต่สำนักพิมพ์ที่โตเกิน 100% และน่าจับตามอง น่าจะเป็น สำนักพิมพ์แจ่มใส นั่นเอง
เป็นทั้งสำนักพิมพ์ที่มียอดขายหนังสือออกใหม่ที่ 'ทำเงิน' ได้มากสุด (อันดับ4), มีรายการหนังสือติดใน 20 อันดับขายดีมากที่สุด (อันดับ 4) และนักเขียน (ต่างชาติ) ในสังกัด ยังขายได้มากเล่มที่สุด (เป็นอันดับหนึ่ง) อีกด้วย
ส่วนสำนักพิมพ์ที่มีรายการหนังสือติดอยู่ 20 อันดับหนังสือขายดีที่สุด คือ
บรรลือสาส์น (26 ปก), ซีเอ็ด (22 ปก), ใยไหมฯ (18 ปก), แจ่มใส (17 ปก) และโปรวิชั่น (14 ปก)
จากตัวเลขดังกล่าวนี้ทำให้เห็นชัดว่ายุคนี้สมัยนี้ สำนักพิมพ์ใหม่สามารถแทรกตัวมาเป็นรายใหญ่ได้ไม่ยากเลย และรายใหญ่เดิมเองก็ไม่สามารถจะโตตลอดได้
ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ก็คือ สำนักพิมพ์แจ่มใส ที่มีอัตราการเติบโต 100%
ในส่วนของสายส่ง ก็เป็นตัวแปรสำคัญของการที่หนังสือจะขายได้ หรือสำนักพิมพ์จะอยู่ได้เช่นกัน
โดยผู้จัดจำหน่ายหนังสือที่มีหนังสือออกใหม่ส่งเข้าร้านมากปกที่สุด อันดับหนึ่ง ยังคงเป็น ซีเอ็ดยูเคชั่น ตามมาด้วย ธนบรรณปิ่นเกล้า, เคล็ดไทย (ตกมาหนึ่งอันดับ จากปี 2546 อยู่ที่อันดับ 2), อมรินทร์บุ๊คเซนเตอร์ และดวงกมลสมัย
และสุดยอดผู้จัดจำหน่ายที่ทำเงินได้มากสุด ก็คือ ซีเอ็ดยูเคชั่น ตามมาด้วย อมรินทร์บุ๊คเซนเตอร์, ดวงกมลสมัย, นานมีบุ๊คส์จำกัด และเคล็ดไทย
จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับแต่ละผู้จัดจำหน่ายว่าจะมีกลยุทธ์ใดที่ชักชวนให้สำนักพิมพ์ทั้งน้อยใหญ่จับมือเป็นพันธมิตรกันและช่วยเหลือกันต่อไปในอนาคต
ซึ่งครั้งนี้ทางซีเอ็ดฯ นอกจากได้เสนอตัวช่วยคิดค่าดัชนีที่ชี้วัดถึงสถานภาพของแต่ละสำนักพิมพ์ให้แล้ว ยังบอกด้วยว่าที่ซีเอ็ดฯ นั้น มีระบบข้อมูลเชื่อมโยงที่จะลดทั้งขั้นตอนของการสั่งซื้อสินค้าที่แม่นยำ ตลอดจนหลักการบริหารสินค้าให้อีกด้วย
ขณะที่ ทางอมรินทร์บุ๊คเซนเตอร์เอง ที่เพิ่งครบรอบ 10 ปี ก็เสนอการช่วยเหลือที่คล้ายๆ กัน ทั้งระบบเชื่อมโยงข้อมูล และการบริหารสินค้า ที่สำคัญ ยังมี 'ทีมที่ปรึกษา' สำหรับสำนักพิมพ์ที่ต้องการปรับหนังสือของตนเองด้วย
ตัวแปรนี้ก็ขึ้นอยู่กับสำนักพิมพ์ ว่าจะเลือกใคร!!
0 0 0
มาถึง 'ร้านหนังสือ' กันบ้าง
ปีที่ผ่านมา ถ้านับจากร้านหนังสือจริงๆ (ไม่รวมแผงลอยทั่วไป) พบว่าปัจจุบันมีร้านมากถึง 759 ร้าน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 386 ร้าน และต่างจังหวัดอีก 373 ร้าน
ซึ่งจากตัวเลขนี้บวกกับพฤติกรรมการอ่าน-การใช้ชีวิตของคนซื้อทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดนั้น นับวันจะใกล้เคียงกันเข้าไปทุกที ก็จะเห็นว่าอนาคตของร้านต่างจังหวัดจะสดใสกว่า เพราะมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก
และจากตัวเลขทั้งหมด 759 ร้าน แบ่งเป็น 'ร้านเครือข่ายเต็มรูปแบบ' (ที่ไม่สามารถสั่งซื้อหนังสือได้เองแต่ต้องผ่านบริษัทแม่) มีมากถึง 338 ร้าน คิดเป็น 45% ส่วนที่เหลือเป็นร้านไม่เต็มรูปแบบประมาณ 60%
แต่ในอนาคต ทุกร้านจะเดินเข้าสู่การเป็น ร้านเครือข่ายเต็มรูปแบบทั้งหมด
และระบบร้านดังกล่าวจะกลายเป็นหัวใจหลักในการผลักดันอัตราการเติบโตของตลาดหนังสือโดยรวม
เพราะดูจากร้านอิสระที่มีอัตราการเพิ่มเป็น 0% แม้ว่าจะเปิดมากถึง 32 แห่ง แต่ก็ปิดไปในจำนวนเท่ากัน
อนาคตของร้านหนังสืออิสระ ไม่เกิด มีแต่ทรงตัว
อย่างไรก็ตาม ร้านหนังสือเครือข่าย ถึงแม้คาดว่าจะเปิดเพิ่มในปี 2548 นี้ อีกประมาณ 140-180 ร้าน แต่ในเชิงพื้นที่อาจจะไม่ขยายเพิ่มก็ได้ เพราะนับวันอย่างที่รู้กัน ก็คือ ร้านจะเล็กลง
ผลกระทบที่ตามมาก็คือ การวางสันหนังสือจะมากขึ้น
ถามว่าอนาคตของร้านหนังสือสดใสหรือไม่-มีแน่นอน ถ้าหากเทียบจำนวนคนกับร้านในต่างประเทศ เช่น เยอรมนี ซึ่งมีคนเข้าร้าน 8,000-20,000 คนต่อร้าน หรือในญี่ปุ่น ซึ่งมีประมาณ 5,000 คนต่อร้าน (แต่ก็อย่าลืมว่าต่างกันทั้งจำนวนประชากร จำนวนร้าน และวัฒนธรรมการอ่าน)
แต่สำหรับไทย มีมากถึง 84,800 คนต่อร้าน โดยร้านหนังสือในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีคนเข้าร้าน 26,000 คนต่อร้าน ต่างจังหวัด 135,500 คนต่อร้าน
ข้อสรุปที่ได้ก็คือ ร้านหนังสือไทยจะมีโอกาส 'โต' ได้อีก 2-4 เท่า!!
นั่นคือ จำนวนร้าน 759 ร้าน สามารถขยายไปเป็น 1,510-3,020 ร้าน เพื่อให้จำนวนร้านสามารถรองรับจำนวนคนที่เข้าร้านได้ราวๆ 5,000 คนต่อร้าน เทียบเท่ามาตรฐานประเทศอื่น
แนวโน้มร้านมากขึ้นเช่นนี้ จริงๆ แล้วน่าจะขายหนังสือได้มากขึ้น ก็น่าจะจริงอยู่ แต่ดูเหมือนสมมติฐานนี้ ไม่ได้เป็นที่น่าดีใจของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กหรือกลางๆ มากนัก เพราะการที่จำนวนร้านเพิ่มขึ้น ระบบการวางหนังสือที่พิมพ์จำนวนน้อย ก็จะกระจายไป หรือถ้าจะพิมพ์ให้เพียงพอต่อการวาง ก็ล้วนแล้วเสี่ยงทั้งขึ้นทั้งล่อง
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในงานจะมีคนแสดงความยินดีไม่ถึง 10 ราย ทันทีที่ ทนง ถามว่า เป็นโอกาสที่น่าดีใจหรือไม่เพียงใด
ฉะนั้น ทางออกทางเลือกทางรอดของสำนักพิมพ์ในยุคนี้
ประการแรก - คงจะต้องเลือกพื้นที่เป้าหมายของตนเอง เลือกเฉพาะร้านที่คาดว่าจะ 'ขายได้'
และสอง - อาจจะต้องมีการปรับปรุงแผนการตลาดและประชาสัมพันธ์ เช่น มีการทำแผนการผลิตของสำนักพิมพ์เพื่อไปเสนอให้กับร้านค้าเป้าหมาย เพื่อจะได้เก็บออเดอร์ล่วงหน้า อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้หนังสือไปเผชิญโลกตามยถากรรมบนแผงหนังสือ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาเห็น
ทั้งนี้ อาจจะต้องเพิ่มช่องทางการขายทางออนไลน์ด้วย โดยเวบไซต์ที่มีการคนเข้าไปชมมากสุดผ่านทรูฮิต.เน็ต ได้แก่ หนึ่ง-ซีเอ็ด, สอง-ประพันธ์สาส์น, สาม-รักลูกแฟมิลีกรุ๊ป, สี่-บูรพัฒน์คอมมิคส์, ห้า-นายอินทร์, หก-อักษรเจริญทัศน์ และ เจ็ด-ศูนย์หนังสือจุฬา
0 0 0
จากภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น ดังนั้น โจทย์หนึ่งที่ถามกันมากก็คือ แล้วจะทำอย่างไรที่จะให้ร้านใหญ่-ร้านเล็ก อยู่ร่วมกันได้? ซึ่งไม่ว่าจะร้านขนาดไหน ล้วนแล้วแต่เป็นที่ทำเงินของสำนักพิมพ์ทั้งสิ้น
ซึ่ง 'สงครามราคา' (ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นแน่นอน) จะทำให้ร้านเล็กสู้ไม่ได้ เพราะหน้าตักไม่พอที่จะยอมให้ลดรายได้ ก็จะต้องตายไป
ดังนั้น ถ้าถือว่าหนังสือคือสินค้าวัฒนธรรม ด้วยการขายไม่ลดราคา ก็น่าจะเป็นทางได้
สิ่งหนึ่งที่ซีเอ็ดฯ ได้ฝากการบ้านไว้ให้คิดก็คือ การสร้างระบบ RPM หรือการขาย 'ราคาปกตายตัว'
ยกตัวอย่างที่ประเทศอังกฤษ ก็มีการกำหนดว่าหนังสือจะไม่มีการลดราคาจนกว่าจะขายไปแล้ว 12 เดือน ที่เยอรมนีถึงกับออกกฎหมายเลยทีเดียว ส่วนที่ญี่ปุ่นหลังจากการถกเถียงกันมายาวนานก็ตกลงกันได้ และมีการใช้ระบบนี้ให้เป็นข้อตกลงระดับประเทศ
ทางด้านซีเอ็ดฯ ถือว่านี่เป็นข้อดีที่จะเป็นกลไกควบคุมเกมเพื่อให้ร้านเล็กอยู่รอด
แต่สำนักพิมพ์เล็กๆ ก็ห่วงชะตากรรมตัวเองเหมือนกัน ในแง่ของความชัดเจน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดความชุลมุน ไม่ทำตามสัญญากันอีก
ที่สำคัญ ยังไงสำนักพิมพ์เล็กๆ ก็สู้ไม่ได้อยู่ดี ในกรณีที่ไม่ลดราคา แต่ถ้าเจอแบบซื้อสองแถมหนึ่งอย่างนี้ ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
0 0
ส่งวรรณกรรมไทยไปนอก
อีกหนึ่งความน่าสนใจที่จะช่วยสำนักพิมพ์ไทยส่งหนังสือไทยไปเมืองนอกได้เหมือนกัน ก็คือ ศูนย์เผยแพร่ลิขสิทธิ์ไทย (Thailand Rigths Center-TRC) ตั้งขึ้นโดย ดนัย จันทร์เจ้าฉาย แห่งสำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากครั้งที่ได้เดินทางไปดูงาน-ออกงานแฟรงค์เฟิร์ตบุ๊คแฟร์ เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งครั้งนั้นมีต่างประเทศซื้อลิขสิทธิ์ไปถึง 3 ปก ด้วยกัน ทั้งๆ ที่นำไปเสนอเพียง 10 ปกเท่านั้น หากมีมากปกก็คิดว่าเปอร์เซ็นต์ของการขายก็น่าจะมากตามด้วย
ที่สำคัญ เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับวงการหนังสือของไทยด้วย หลังจากที่นำเข้าแต่หนังสือต่างประเทศมานาน ก็จะได้ประกาศศักดิ์ศรีในเวทีโลกกันเสียที
เพราะในแต่ละปีนี้ ทางดีเอ็มจี มีคิวไปร่วมงานกับบูทไทยพาวิเลียน ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว อย่างน้อยปีหนึ่งก็มีงานมหกรรมหนังสือระดับโลกถึง 3 งานยักษ์ด้วยกัน นี่ยังไม่นับรวมถึงงานในแถบเอเชีย ก็ถือว่ามีเวทีสำคัญรออยู่ไม่น้อยทีเดียว
แต่ละสำนักพิมพ์ที่ต้องการส่งผลงานไปต่างประเทศนั้น สามารถติดต่อได้ โดยส่งผลงานผ่านทางเวบไซต์ www.thailand-rights.com ซึ่งไม่มีการคิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะคิดก็ต่อเมื่อขายผลงานนั้นได้ ในอัตรา 15% ของรายได้
โดยงานในช่วงแรกที่จะพิจารณานั้น เป็นงานที่มีรางวัลเป็นส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรางวัลซีไรต์, รางวัลหนังสือดีเด่นเซเว่นอวอร์ด, รางวัลนายอินทร์อวอร์ด (รวมถึงผลงานที่ชนะเลิศรางวัลอมตะ ก็อยู่ในข่ายพิจารณาด้วย)
ตอนนี้มีงานเข้าร่วมชุดแรก 5 หมวด ได้แก่ จิตวิญญาณตะวันออก, หนังสือเด็ก, วรรณกรรม, ธุรกิจและทั่วไป (สารคดี, ชีวประวัติ, บทวิเคราะห์ครอบครัว, สุขภาพ ฯลฯ) รวม 140 เรื่อง
ส่วนผู้สนใจดูตัวอย่างความภาคภูมิใจของไทย ไปดูได้ที่ร้านหนังสือบีทูเอส ซึ่งให้ความสนับสนุนด้วยการเปิดมุมพิเศษ 'หนังสือไทยที่ได้รับการตีพิมพ์ในต่างประเทศ' ให้ดูด้วย เผื่อเป็นแรงบันดาลใจในการก้าวต่อไปในเวทีโลก
สำหรับศูนย์นี้ มีคณะกรรมการที่ปรึกษามาจากหลายฝ่าย
ภาครัฐ ได้แก่ พล.ต.ธันวาวัฒน์ ทิพยจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการติดตามและประสานงานตามการสั่งการของนายกรัฐมนตรี, จักรภพ เพ็ญแข, สีหศักดิ์ อธิบดีกรมสารนิเทศ, คณิสสร นาวานุเคราะห์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมด้วย ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์, ดร.ถนอมวงศ์ ล้ำยอดมรรคผล นายกสมาคมนักแปลและล่ามแห่งประเทศไทย ที่จะเป็นอีกแรงที่เข้ามาสนับสนุนให้วรรณกรรมไปสู่ระดับนานาชาติ
การตัดสินใจอยู่ที่ตัวสำนักพิมพ์ทั้งสิ้น!!