: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

'ทมยันตี' ตั้งพรรค จัดทอล์คโชว์ 'แลไฟใต้'

รายงานพิเศษ/อิสรีอิน คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
'ทมยันตี' ตั้งพรรค จัดทอล์คโชว์ 'แลไฟใต้'จากสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงระอุอยู่อย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายต่างระดมเข้าไปช่วยเหลืออย่างไม่หยุดยั้งล่าสุด นักเขียนอาวุโส 'ทมยันตี' หรือ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เป็นอีกหนึ่งแรงที่ลงมาทำงานในเรื่องนี้ ด้วยการเตรียมจัดงานทอล์คโชว์ใหญ่ในวันที่ 11-12 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ 2 รอบด้วยกัน ที่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ในหัวข้อ 'แลไฟใต้' หลังจากลงไปสัมผัสบรรยากาศในพื้นที่เรียบร้อย ตั้งใจนำรายได้ทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโครงการบ้านแม่หม้าย
ทั้งๆ ที่มีความตั้งใจอยู่ว่า ปีหน้าเมื่ออายุครบ 70 ปีแล้ว เธอจะโกนหัวออกบวชและเขียนหนังสือเล่มสุดท้ายเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วยเรื่อง 'จอมศาสดา' เสียที แต่แล้วด้วยความรักที่เธอมีต่อแผ่นดินนี้เหลือคณานับ มิอาจให้เธอทำตามประสงค์เดิมต่อไปได้ เมื่อเห็นว่า 'ไฟใต้' หรือสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพี่น้องไทยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ช่างร้อนระอุและขมขื่นหัวใจยิ่งนัก!!
"ดิฉันจะเดินเข้าวัดได้หรือ ถ้าดิฉันหันดูคนพวกนี้ น้ำตายังเป็นสายเลือดอยู่" คุณหญิงนักเขียนตอกย้ำถึงความตั้งใจ
อันที่จริงแล้วคุณหญิงนักเขียนท่านนี้สนใจติดตามข่าวคราวความเคลื่อนไหวมานานแล้วเหมือนกัน มีการลงพื้นที่จริงด้วย
แต่เหตุการณ์หนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน ผลักดันให้คุณหญิงนักเขียนตัดสินใจออกมาทำโครงการเป็น 'รูปธรรม' มากขึ้นนั้น คือวันที่สองนาวิกโยธินถูกฆ่าตายนั่นเอง
"คนตายทุกวันๆ สิ่งที่ดิฉันทนไม่ได้คือจุดที่ดิฉันดูค้อนปอนด์ ค้อนเหล็ก กับเหล็กแหลมที่โชกเลือดของนาวิกโยธิน ดิฉันถึงกับหันหลัง แต่เหตุการณ์นั้นก็ทำให้ดิฉันหันหน้าสู้อีกครั้ง"
จากระลอกคลื่นแห่งความเศร้าและเจ็บปวดใจที่ได้สัมผัสจากการลงพื้นที่สีแดงนี่เอง จึงทำให้คุณหญิงนักเขียน มิอาจอยู่เฉยต่อไปได้
แต่แทนที่จะเป็นการเขียนดั่งเคย ก็เปลี่ยนมาเป็นอีกหนึ่งพรสวรรค์เอกของทมยันตีที่มิอาจมีใครเทียบเท่า ก็คือ ศิลปะการพูดนั่นเอง ซึ่งหลายคนคงประจักษ์เป็นอย่างดีมาแล้ว
"ดิฉันจะมาพูดแทนพี่น้องคนภาคใต้ เพื่อมาบอกคนไทยภาคกลางว่า อย่าแยกกันด้วยพุทธ คริสต์ อิสลามได้มั้ย เรียกเขา 'คนภาคใต้' ได้มั้ย อย่าเรียก 'ไทยมุสลิม' เลย" คุณหญิงนักเขียนอ้อนวอน
ดังนั้น เมื่อคืนสู่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจไปแสดงปาฐกถายังวิทยาลัยนวัตกรรม ม.ธรรมศาสตร์ เป็นครั้งแรกว่าด้วย 'แลไฟใต้' บอกเล่าถึงเรื่องราวที่ได้เห็นตั้งแต่ในหมู่บ้าน ตลาด วัด มัสยิด ไปจนถึงคุก โดยเน้นไปที่เด็กและผู้หญิงในพื้นที่มากเป็นพิเศษ เพราะทุกวันนี้เด็กกำพร้าและแม่หม้ายเพิ่มปริมาณมากขึ้นจนน่าเป็นห่วง
แต่ 'แลไฟใต้' ที่จะเกิดขึ้นที่ศูนย์วัฒนธรรมฯ นั้น 'เนื้อหา' ในการพูดจะเข้มข้นกว่ามาก มีรายละเอียดที่ 'ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน' ด้วย อาทิ ใบปลิวที่มีการแจกในพื้นที่สามจังหวัด ฯลฯ
อีกทั้งระหว่างพูดนั้น จะมีบทเพลงสันติภาพ จาก สุริยะ ตะวันฉาย กรรมการมูลนิธิดอกไม้และนกกระดาษเพื่อสันติภาพ หรือ 'ทูตสันติภาพ' ซึ่งทำงานในพื้นที่ จ.นราธิวาส อยู่แล้ว ขึ้นมาบรรเลงบทเพลง ประกอบด้วย โดยมีภาพบรรยากาศต่างๆ จากพื้นที่ (จริง) เป็นฉากหลัง
นอกจากนี้ก็จะได้รับฟัง 'ความจริง' จากปากของแม่หม้ายและลูกกำพร้าที่ประสบชะตากรรมอันแสนเศร้าด้วยตัวของพวกเขาเองด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ทมยันตี ออกแบบสคริปต์ด้วยเองทั้งหมด ขนาดเพลงที่ทูตสันติภาพจะบรรเลงบนเวทีประมาณ 10 เพลงนั้น ก็นั่งฟังและคัดสรรเองกับมืออย่างตั้งอกตั้งใจ
ส่วนด้านหน้างาน ก็จะมี 'ของดีที่ขายไม่ได้' จากพื้นที่มาให้จับจ่ายกันเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นลองกอง หรือผ้าปักมือ, ดอกไม้ประดิษฐ์ และสินค้าอื่นๆ
บรรดาศิลปินหรือนักพูดบนเวทีนี้ถือว่ามาด้วยใจกันทั้งสิ้น ไม่มีการคิดค่าตัวแม้แต่บาทเดียว ส่วนรายได้จากการขายบัตรเข้าฟังทั้งหมดจะนำไปทูลเกล้าฯ ถวายสมทบโครงการบ้านแม่หม้าย ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้สำเร็จโดยเร็วไว
ขณะเดียวกัน ก็ขอตั้งพรรคใหม่โดยไม่ต้องจดทะเบียนในชื่อ 'พรรคไทยช่วยไทย' อีกด้วย หวังขอแรงคนไทยทั้งประเทศมารวมเป็นพรรคเดียวกัน เพื่อระดมทั้งกำลังและเงินไปช่วยทุกภาคส่วนของประเทศไทย โดยไม่จำกัดพื้นที่ แต่เป้าหมายแรกขอดูแลพี่น้องไทยทางภาคใต้ก่อน
"วันนี้คนภาคใต้คือคนไทย ไทยไม่ใช่ช่วยไทยแล้วใครจะมาช่วย ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พรรคไทยช่วยไทยของดิฉันที่ไม่ต้องจดทะเบียน มันจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วไม่ต้องมีหัวหน้าพรรค คนทุกคนสามารถอยู่ในพรรคนี้ได้ และพรรคเราไม่ได้แค่ช่วยพี่น้องทางใต้เท่านั้น ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ตรงไหนมีเรื่องนี่ เห็นจะต้องไปช่วยทุกที่เช่นเดียวกัน"
อย่างไรก็ดี แม้บอกว่ายังไม่มีเวลาสำหรับงานเขียนเชิงบันทึกหรือนวนิยายออกมาเป็นเล่มๆ ว่าด้วยเรื่องราวไฟใต้โดยเฉพาะก็ตามที แต่ก็มีปรากฏในคอลัมน์ประจำของคุณหญิงนักเขียนหลายแห่ง อย่างคอลัมน์ 'ทิพยอาภาณ สนธยากาล' (ขวัญเรือน) ปกติ 'มายาวดี' จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับจิตต่างๆ แต่ในฉบับ 813 เธอก็ให้เป็นวาระพิเศษด้วยหัวข้อ 'ฤๅมิใช่คนไทย' และนอกจากนี้ก็ยังมีรายงานพร้อมภาพถ่ายตีพิมพ์ใน 'สกุลไทย' อีกเล่มหนึ่ง (เป็นอย่างน้อย)
สาเหตุที่บอกข่าวทุกทางเช่นนี้ คุณหญิงนักเขียนตอบให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ พร้อมเชิดหน้าเล็กน้อยว่า หาใช่ความเป็น 'นักเขียน' ไม่ หากแต่เป็นเพราะ 'ความเป็นคนไทย' ต่างหากเล่า
"คนไทย หน้าที่ของเราไม่ต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ไม่ต้องไปหาช่องโหว่ช่องแหว่งในรัฐธรรมนูญมาเถียงกัน หน้าที่ของคนไทยมันเป็นอย่างนี้ อยู่ในหัวใจเราทุกคน บรรพชนรักษาไว้ให้"
กับคำถามที่ว่า นอกเหนือไปจากรายได้ที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้ว คุณหญิงนักเขียนยังหวังสิ่งใดอีกในการมาพูดให้คนไทยภาคกลางได้ฟังกันในครั้งนี้
"หวังให้คนไทยลุกขึ้นมาบอกว่า นี่คือแผ่นดินของไทย เพราะหน้าที่ของคนไทย เป็นหน้าที่ต้องรักษาแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นเมื่อเราตายจะแบกหน้าไปบอกบรรพบุรุษได้อย่างไรว่าในรุ่นเรานี่ ขวานหัก อย่าทำเป็นอันขาด"
นั่นเป็นคำตอบที่มาพร้อมกับเสียงขึงขังดังฟังชัด (อีกครั้ง)
0 0 0
ทางด้าน สุริยะ หรือทูตสันติภาพนั้น รู้สึกภูมิใจและดีใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้ทำงานด้านสันติภาพร่วมกับทมยันตีเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากคุณหญิงนักเขียนมีความเป็นกันเอง ไม่ถือเนื้อ ถือตัว และแนะนำในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในพื้นที่ของเขาเป็นอย่างมากแล้ว
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ มีคนเข้าใจแนวทางการทำงานของเขาในฐานะ 'ทูตสันติภาพ' อีกคนหนึ่งก็ถือว่าเป็นกำลังใจยิ่งนัก เพราะตอนคุณหญิงนักเขียนฟังเพลงของเขา ถึงกับน้ำตาไหลเลยทีเดียว
บางคนอาจสงสัยว่า ระหว่างทูตสันติภาพและทมยันตีนั้น รู้จักกันได้อย่างไร เรื่องนี้คุณหญิงนักเขียนเฉลยให้ฟังว่า หาใช่เรื่องแปลกใดๆ เลยสำหรับคนที่รักแผ่นดิน และทำงานด้านสันติภาพเหมือนกันนั่นเอง
จากจุดนั้นเองจึงต่อเนื่องมาถึงการได้ฟังเพลงสันติภาพที่สุริยะแต่งขึ้นพร้อมได้รับฟังที่มาที่ไปของเพลงว่าเป็นเช่นใด และกระทั่งกลายเป็นโครงการขึ้นแสดงบนเวทีทอล์คโชว์ 'แลไฟใต้' ที่กรุงเทพฯ ซึ่งสุริยะจะมาพร้อมกีตาร์ปืนคู่ใจของเขาแน่นอน
สิ่งที่สุริยะได้รับมอบหมาย ก็คือ จัดทำ 'ซีดี' (ชุดพิเศษ) รวมบทเพลงสันติภาพของอาจารย์สุริยะตามที่คุณหญิงนักเขียนได้คัดเลือกไว้แล้ว ว่าด้วยแม่หม้าย และการให้กำลังใจเป็นหลัก จำนวน 22 เพลง แต่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่จะได้รับฟังกันบนเวที ซึ่งบทเพลงใดที่โดนใจทมยันตีบ้างนั้น ต้องคอยติดตาม
สำหรับเรื่องความรักในแผ่นดินนั้น คุณหญิงนักเขียนมีมายาวนานแล้ว ปรากฏในงานเขียนของตัวเองก็มากมาย เรียงรายผ่านบทสัมภาษณ์มาก็ไม่น้อย ดังเช่นครั้งหนึ่งใน 'เนชั่นสุดสัปดาห์'
"พระองค์ท่านเสียพระทัยแค่ไหน 72 พรรษาทรงงานหนักอยู่ภาคใต้ ดิฉันเจ็บใจเหลือเกิน คนไทยนี่ดีนะ มีเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินก็คอยท่านทำงานให้
"ในฐานะดิฉันเป็นคนของแผ่นดิน ดิฉันสำนึกทุกเม็ดดิน บูรพกษัตรารักษาให้ เมื่อสมเด็จพระนเรศวรท่านกู้อิสรภาพ ท่านบอกว่า อิสรภาพนี้ให้แก่ไทย ท่านไม่เคยบอกว่าให้ไทยพุทธ ไทยคริสต์ หรือไทยมุสลิมเลย แต่เป็นไทยคำเดียว พระนเรศวรท่านกู้อิสรภาพให้ไทยทั้งหมด ไปแยกกันทำไม..."
ชัดเจนเป็นยิ่งนัก!!