: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สภาแห่ง 'ดาบสองคม'

แม่ไม้การเมือง / ไพศาล สังโวลี

สภาแห่ง 'ดาบสองคม'
เป็นที่ฮือฮาและสร้างประวัติศาสตร์อีกจนได้ ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรืองอำนาจ

ไม่เพียง 377 เสียงในทั้งหมด 500 เสียงของพรรคไทยรักไทย ทำให้การเสนอชื่อ 'โภคิน พลกุล' เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภา 'สุชาติ ตันเจริญ' เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง และ 'ลลิตา ฤกษ์สำราญ' เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง โดยที่ฝ่ายค้านไม่เสนอใครเป็นคู่แข่ง

ยังทำให้การประชุมสภาฯเพื่อเลือกตำแหน่งสำคัญดังกล่าว ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เป็นประวัติศาสตร์ที่ใช้เวลาสั้นที่สุดด้วย

เท่านั้นยังไม่พอ ยังเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ที่มีรองประธานสภาฯเป็นผู้หญิงคนแรก

ถ้าจะว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ฝ่ายค้านไม่เสนอชื่อใครมาแข่งขัน ก็อาจต้องย้อนมองฝ่ายค้านที่มีพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ

อาจเห็นได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ต้องการที่จะสร้างสรรค์การเมืองมิติใหม่ขึ้นมา เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชน หลังจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งอย่างยับเยิน

เพราะเชื่อว่า ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับความนิยม ไม่มากก็น้อย เกิดจากความเบื่อหน่ายการ 'เล่น' การเมืองในสภามากเกินไปนั่นเอง

พูดถึงสภายุคนี้ มีอะไรที่น่าสนใจยิ่งไปกว่าความเป็นประวัติศาสตร์ในหลายเรื่องที่กล่าวมา

อาจน่าสนใจยิ่งกว่า 'สภา' ที่เสียงรัฐบาลและฝ่ายค้านกล้ำกึ่งกันเสียอีก

เอาแค่ยังไม่ทันทำอะไร ก็มีกระแสออกมาแล้วว่าจะแก้ไขข้อบังคับการประชุมสภา เพื่อปิดปากฝ่ายค้านไม่ให้พูดมาก โดยเฉพาะการโจมตีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีในสภา ทั้งยังมีการสอนกลยุทธ์เอาไว้ด้วยว่า ให้ลุกขึ้นยืนประท้วง

ประท้วงมันนับแต่เรื่องหยุมหยิม เช่น พูด ร-เรือ ไม่ชัด อะไรอย่างนี้

หากมีความพยายามเช่นนี้จริง พรรคประชาธิปัตย์ได้โกยคะแนนเห็นใจก็คราวนี้

อย่าลืมว่า นับฝ่ายค้านกันจริงๆ ก็ไม่รู้จะถึง 100 เสียงหรือไม่ เพราะว่าพรรคชาติไทยกับพรรคมหาชน ดูยังโอนเอนไปมาชอบกล

หากยังหวังว่า สักวันจะถูกดึงเข้าร่วมรัฐบาลแล้วละก็ ยากที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ หรือไม่ปันใจให้กับฝ่ายรัฐบาล

ทั้งไม่รู้ว่า จะสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ที่รัฐธรรมนูญกำหนดต้องมีเสียงไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 หรือ 100 เสียงขึ้นไปได้หรือไม่

ขณะที่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีในข้อหาทุจริตที่ต้องใช้เสียงถึง 125 เสียง และอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีต้องใช้เสียง 2 ใน 5 หรือ 200 เสียงขึ้นไป แทบไม่ต้องพูดถึง

จะเห็นได้ชัดว่า รัฐบาล 'ทักษิณ 2/1' จะถูกตรวจสอบได้ง่ายในสภา ก็แต่การตั้งกระทู้ถามสภา และการมีบทบาทในคณะกรรมาธิการเท่านั้น

เหนืออื่นใด ประเด็นที่หลายคนเป็นห่วง นับแต่การเลือก 'โภคิน พลกุล' นักกฎหมายมือหนึ่งของประเทศมาเป็นประธานสภา ก็อาจเป็น 'เกม' หรือไม่?

โดยเฉพาะการตีความข้อกฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล

ที่สุดก็อาจฝากหวังได้เพียง 'ความสุจริตใจ' ในการทำหน้าที่เท่านั้นเอง

ต้องยอมรับว่า ด้วยเสียงข้างมากในสภาของรัฐบาลที่เป็นอยู่ในเวลานี้ อย่าว่าแต่ออกกฎหมาย เลย แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็สามารถทำได้ด้วยเสียงของรัฐบาลพรรคเดียว

จริงอยู่, แม้ว่าข้อดีก็มีไม่น้อย นับแต่ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพในการบริหารประเทศ ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะถูกฝ่ายค้านตรวจสอบตีรวนในสภา และการใช้อำนาจนิติบัญญัติออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง มาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศ ก็จะรวดเร็วทันการณ์

กลับกัน หากรัฐบาลไม่จริงใจ ออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อตัวเองและพรรคพวก อะไรจะเกิดขึ้น

ยิ่งถ้าเกิดขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์ ที่ประธานสภาและรองประธานสภาทั้งสองคน เป็นคนที่มาจากพรรคไทยรักไทยพรรคเดียวด้วย

เท่ากับว่า นี่คือ สภาแห่ง 'ดาบสองคม' ที่ต้องจับตามองอย่าให้คลาดสายตาเลยทีเดียว