: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สื่อเสรีแบบลาว ในสายตาคนข่าวรุ่นใหม่

รายงานพิเศษ / สุมาลี โพธิ์พยัคฆ์

สื่อเสรีแบบลาว ในสายตาคนข่าวรุ่นใหม่
แม้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) จะมีระบอบการปกครองที่เรียกว่า 'ประชาธิปไตยรวมศูนย์' แต่สื่อมวลชนลาว ก็ยืนยันว่าพวกเขา '..เป็นสื่อที่เสรีที่สุดตามแนวทางนโยบายของพรรคและของรัฐ' ซึ่งเป็นไปตามวิถีทางการเมืองการปกครอง ภายใต้ร่มธงพรรคลัทธิมาร์กซ-เลนิน ทั่วโลก

แต่นับจาก สปป.ลาว ปรับนโยบายเศรษฐกิจเป็นระบบตลาดมากขึ้น สื่อหนังสือพิมพ์ของลาว จึงได้เริ่มมีบทบาทและมีแนวทางการนำเสนอข่าวที่หลากหลาย โดยแตกต่างจากหนังสือพิมพ์ 'ประชาชน' (ปะซาซน) กระบอกเสียงของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว (พป.ปล.) ที่ก่อตั้งมานานกว่า 55 ปี

โดยในหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ล่าสุด ฉบับที่กำลังถูกจับตามองจากสื่อต่างประเทศในการนำเสนอข่าวรูปแบบใหม่ ฉีกแนวจากรูปแบบเดิมๆ นั่นก็คือ 'เวียงจันทน์ไทม์' (Vientiane Times) ที่นำเสนอเป็นภาษาอังกฤษ คล้ายเดอะเนชั่น หรือบางกอกโพสต์

พอนสะหวัน ทิแก้ว รองหัวหน้าแผนกข่าว เวียงจันทน์ไทม์ (Vientiane Times) วัย 30 ปี ได้มีโอกาสบอกเล่าการทำงานของเธอ ในโอกาสที่เดินทางมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานด้านสื่อกับสื่อมวลชนไทย ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 16-18 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า

เธอทำงานด้านข่าวมากว่า 10 ปี และเริ่มต้นทำงานที่เวียงจันทน์ไทม์เป็นฉบับแรก โดยเรียนจบปริญญาโทด้านการพัฒนาชุมชนจากประเทศออสเตรเลีย ก่อนหน้านี้เคยคิดที่จะเรียนหนังสือเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ แต่พอมาทำงานจริงๆ แล้วมองว่า บทบาทการทำงานด้านสื่อมวลชนจะสามารถเข้าถึงประชาชน และนำเสนอปัญหา เพื่อนำไปสู่การแก้ไขได้ดีอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากการเป็นข้าราชการ

สิ่งที่เธอเรียนมานั้น ได้สามารถนำมาปรับใช้ในการเขียนข่าวได้เป็นอย่างดี อย่างเช่น โครงการ 1 บ้าน 1 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคล้ายๆ กับโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของไทยนั้น เธอได้เขียนข่าว เขียนบทความ เพื่อนำเสนอการจัดทำโครงการให้สัมฤทธิผลได้อย่างไร ส่งต่อไปยังรัฐบาลให้รับรู้ได้ ซึ่งอาจจะช่วยในการพัฒนาประเทศได้ดีกว่าการเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจริงๆ

แนวทางการนำเสนอข่าวมีความหลากหลาย ทั้งข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม บันเทิง และกีฬา ซึ่งไม่แตกต่างจากหนังสือพิมพ์อินเตอร์ต่างๆ แต่จะต้องยึดหลักการ ไม่ขัดแย้งกับการบริหารประเทศ และต้องเป็นนโยบายของพรรค โดยนำนโยบายของพรรคมาขยายผลเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง

โดยที่ผ่านมา แม้หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทม์จะก่อตั้งไม่นาน แต่ได้รับการตอบรับจากประชาชน ที่อยู่ในระดับกลางถึงระดับบน นอกจากนั้นในส่วนหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวอ่านเป็นจำนวนมากอีกด้วย

หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ยังได้รับการตอบรับให้เป็นหนังสืออ่านประกอบการเรียนการสอนของนักศึกษา ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวอีกด้วย และประเทศลาวเองมีนโยบายให้ประชาชนเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพื่อจะได้นำไปใช้ประโยชน์ในอนาคต

สำหรับการทำข่าวของเธอ ไม่แตกต่างจากสื่อมวลชนไทยมากนัก เพราะต้องมีการสัมภาษณ์ การค้นคว้า การเข้าหาแหล่งข่าว โดยเป้าหมายหลักของการทำงานของเธอ คือการนำพาประเทศหลุดพ้นจากความยากจน และจะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศกินดีอยู่ดี โดยไม่ใช่เพียงการนำเอานโยบายของพรรค และฝ่ายการเมือง มานำเสนอเท่านั้น แต่จะต้องเจาะลึกไปถึงการปฏิบัติด้วย เพื่อให้ประชาชนเข้าใจและรับรู้

ที่สำคัญที่สุด สื่อลาวทุกสื่ออยู่ในมือของรัฐ และอยู่ในการควบคุมของรัฐ ฉะนั้น เรื่องการแข่งขันไม่มี จึงเป็นการร่วมมือร่วมใจกันในการนำเสนอข่าวเพื่อประเทศชาติ เพื่อประชาชน ข่าวที่เขียนจึงเน้นด้านบวก มากกว่าลบ

ในขณะที่หนุ่มน้อย ท่านสมสัก ป้องขาว นักข่าวเวียงจันทน์ไทม์ วัย 27 ปีเศษ ที่เพิ่งเรียนจบด้านข่าวจากประเทศกัมพูชา โดยได้รับการช่วยเหลือจากอเมริกาที่ให้เงินสนับสนุนประเทศในแถบอินโดจีน โดยมีประเทศเวียดนาม กัมพูชา พม่าและลาว หลังจากเรียนจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว

โดยที่ผ่านมาหลังเรียนจบ เขาอยากทำงานด้านข่าว เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบเที่ยว ค้นคว้า และอยากรู้อยากเห็นเรื่องต่างๆ จึงมองว่าอาชีพผู้สื่อข่าวน่าจะเหมาะกับตัวเองมากที่สุด เนื่องจากในประเทศลาวนั้นมีปัญหาเรื่องข่าวลือที่บั่นทอนความมั่นคงของประเทศมาก ทำให้เขาคิดอยากจะพิสูจน์ความจริงในกระแสข่าวลือต่างๆ ว่าจริงหรือเท็จแค่ไหน

ขณะนี้เขารับผิดชอบเขียนข่าวด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม โดยมีโอกาสเขียนนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวของลาวที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้ โดยเดินทางตระเวนนำเสนอข่าวสารแถบพื้นที่ประเทศไทย ลาว และกัมพูชา ซึ่งประเทศไทยเขามีโอกาสเข้ามาร่วมประชุมแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นด้านสิทธิมนุษยชน และปัญหาแม่น้ำโขง

ส่วนข้อแตกต่างระหว่างสื่อมวลชนไทย-ลาวนั้น เขามองว่าไม่แตกต่าง เพียงแต่เป้าหมายในการนำเสนอข่าวเท่านั้นที่ต่างกัน เนื่องจากลาวเป็นสื่อของรัฐ แต่ไทยเป็นสื่อของเอกชน ทำให้ไทยต้องทำข่าวเพื่อการแข่งขัน และเพื่อการตลาด ขณะที่ลาวเน้นทำข่าวเพื่อพัฒนาประเทศ

โดยหากจะเปรียบเทียบจากสื่อสิ่งพิมพ์ของลาว พบว่าแทบจะไม่มีข่าวเรื่องขอทาน โสเภณี อุบัติเหตุ หรือเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก ในขณะที่ความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในประเทศลาวทุกวัน เพียงแต่มีไม่มาก แม้จะนำเสนอก็เป็นเพียงข่าวเล็กๆ แทบจะไม่มีใครให้ความสนใจ อีกทั้งในเวียงจันทน์นั้น มีประชากรเพียง 7 แสนคนเท่านั้น หากเทียบกับจังหวัดใหญ่ๆ อย่างขอนแก่น ที่มีประชากรกว่า 2.3 ล้านคนแล้ว แทบจะเทียบกันไม่ได้เลย

ส่วนปัญหาการคอร์รัปชันการโกงกินในประเทศ ในฐานะนักข่าวเลือดใหม่ก็มีการนำเสนอเช่นกัน เพื่อเป็นการนำข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้ และเพื่อให้เรื่องนั้นนำไปสู่การแก้ไข และรายงานข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับรู้

ที่ผ่านมามีการลงโทษสื่อเช่นกัน แต่น้อยมาก เนื่องจากก่อนจะรายงานเรื่องราวต่างๆ จะต้องมีการตรวจสอบให้ละเอียด ถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา จะต้องผ่าน หัวหน้าข่าว และ บรรณาธิการข่าวเสียก่อน โดยเฉพาะข่าวสุ่มเสี่ยง และเป็นภัยต่อความมั่นคง จะต้องมีการตรวจหลายขั้นตอน และที่สำคัญ หัวใจของการทำข่าวประเภทนี้จะต้องเปิดโอกาสให้หลายๆ ฝ่ายได้พูด ไม่ใช่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดฝ่ายเดียว

ส่วนการเข้าหาแหล่งข่าวนั้น ไม่มีปัญหา สะดวกสบายเช่นกัน เพราะถ้าหากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันก็สามารถยกหูโทรศัพท์สอบถามกันได้เลย แต่ถ้าหากไม่สนิทก็จะต้องติดต่อผ่านกระบวนการต่างๆ และเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ยินดีให้ข้อมูล

แต่ถ้าหากให้เลือก ครั้งหนึ่งในชีวิต หากให้เลือกว่าอยากจะไปทำข่าวที่ไหน และอยู่ที่สำนักข่าวอะไร เขาก็ยังยืนยันว่าอยากจะทำข่าวที่หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ไทม์ และอยากจะอยู่ที่ประเทศลาว เพราะอยากจะทำให้ลาวได้รับการพัฒนาก่อน ก่อนที่จะทิ้งบ้านเมืองเพื่อไปทำข่าวให้ประเทศอื่นๆ

ในขณะที่นักข่าวอาวุโส อย่าง พูคำ สุดทิวง นักข่าวหนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่ ที่เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาลาว และมีอายุการก่อตั้งเกือบ 20 ปี ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารในรูปแบบใหม่ให้ประชาชนได้รับรู้บอกว่า ประสบการณ์ทำงานเกือบ 10 ปีของเธอ กับวัย 36 เศษๆนั้น แม้จะเน้นทำข่าวท้องถิ่น ภายในกำแพงนครเวียงจันทน์ และเน้นข่าวเศรษฐกิจเป็นหลัก เพื่อหวังแก้ไขปัญหาความทุกข์ยาก ลำบากของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งถึงแม้จะอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็มีพื้นที่ที่ยากจน และยังต้องการการพัฒนา

โดยเธอเองเรียนจบด้านวรรณคดี และภาษาศาสตร์ จากประเทศบัลกาเรีย และพอเรียนจบ มองว่าตัวเองน่าจะใช้วิชาที่เรียนมาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ จึงได้สมัครเข้าเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์แห่งนี้

ในฐานะที่ทำข่าวมานาน เธอมองว่าปัญหาเรื่องสาธารณสุขของประเทศเป็นปัญหาหลัก และเป็นประเด็นสำคัญ ที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องโรคภัยของเด็กและสตรี ซึ่งการแพทย์ยังเข้าไม่ถึง โดยเฉพาะเมืองชนบทที่ห่างไกล ที่แพทย์เข้าไปถึงยาก เนื่องจากโรงพยาบาลในประเทศลาวมีน้อย และขณะนี้เป้าหมายหลักของเธอ ต้องการที่จะให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงสวัสดิการการรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมกัน

เสียงจากคนข่าวฝั่งซ้ายในช่วงเวลาที่มาเยี่ยมยามฝั่งขวา อาจเป็นเช่น 'กระจก' ส่งสะท้อนให้คนข่าวอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่โขง ได้ตระหนึกถึงการทำงานสื่อ ว่าวิธีคิดและจุดยืนในการทำข่าว ก็สำคัญไม่แพ้เรื่องความสามารถเฉพาะตัวหรือเทคโนโลยีสมัยใหม่

ส่วนประเด็นสื่อเสรี หรือสื่อไม่เสรี ย่อมขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางการเมืองในแต่ละประเทศ เพราะโลกนี้มีความหลากหลายของชาติพันธุ์และการปกครองดำรงอยู่