: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เบื้องหลังคำอุทาน 'นี่หรือเมืองพุทธ!'(ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

เบื้องหลังคำอุทาน 'นี่หรือเมืองพุทธ!'(ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)


ปุจฉา

มีคนฝากมาถามว่า ทำไม (ท่าน ว.) ไปโผล่หน้าทางนิตยสาร, หนังสือพิมพ์, โทรทัศน์ บ่อยเหลือเกิน ให้สัมภาษณ์/ออกงานเทศน์ถี่ยิบเสียจนอาจมีคนหมั่นไส้ก็เป็นได้ คนเป็นพระทำไมไม่อยู่เงียบๆ?

เภตรา/สมุทรปราการ


วิสัชนา

คำถามนี้ มีนัยสำคัญมาก เพราะ หนึ่ง - มันสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ตั้งคำถามหรือเราคนไทยส่วนใหญ่มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหน้าที่หรือบทบาทของพระ ว่าพระนั้นควรจะอยู่นิ่งๆ ไม่ควรวุ่นวายไปกับโลก แล้วเจ้าความเข้าใจผิดที่ว่า พระควรจะอยู่นิ่งๆ นี่เอง ก็ทำให้เรา 'กัน' พระออกไปเสียจากการมีบทบาทในสังคม จนเดี๋ยวนี้ทอดตามองไปทางไหน สังคมไทยก็มีแต่ 'พื้นที่สีดำ' เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด เรามีและพยายามจะมีกาสิโนคอมเพล็กซ์ (ศูนย์รวมความเสื่อมครบวงจร) เรามีนักการเมืองขี้ฉ้อมากมายที่มีแผลเหวอะหวะเต็มหลังขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีทุกยุคสมัย เรามีหวยใต้ดินซึ่งเป็นสิ่งผิด แต่ถูกทำให้ถูก และเดี๋ยวนี้คนเห็นเป็นสิ่งสามัญ เรามีเหล้าเสรี ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ขัดต่อศีล 5 อย่างโต้งๆ และฆ่าคนไปปีหนึ่งๆ หลายหมื่นคน ทำลายศักยภาพทางสติปัญญาของคนในชาติอีกปีหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ เรามีปัญหาอาชญากรรมทางเพศระบาดไปทั่วทุกมุมเมือง ไม่เว้นแม้แต่ในสภาอันทรงเกียรติของประเทศ แล้ววันหนึ่งพอความเลวร้ายทั้งหลายมันปะทุลุกลามทำร้ายเด็ก ผู้หญิง และสังคมของเราจนทั่วประเทศกระทั่งทุกฝ่ายเริ่มว่าเห็นเป็นสิ่งผิดปกติของบ้านเมือง เราก็จึงมาตั้งคำถามกันว่า 'นี่หรือเมืองพุทธ'

ทำไมเมืองพุทธจึงเป็นแบบนี้ ส่วนหนึ่ง (ส่วนหนึ่งเท่านั้นไม่ใช่ทั้งหมด) ก็เป็นเพราะเราเข้าใจผิดกันมาตลอดว่า 'พระควรจะอยู่นิ่งๆ' ไงล่ะ แล้วพระท่านก็เลยนิ่งเสียจนแทบจะไม่รับรู้ความเป็นไปในสังคม เมื่อนิ่งมากเข้า คนเลยเข้าใจผิดกันต่อไปอีกยกใหญ่ว่า คนเป็นพระควรจะนิ่งๆ เข้าไว้ อย่าทำอะไรในทางสร้างสรรค์ คอยสวด ฉัน และเทศน์ ไปตามธรรมเนียมก็พอแล้ว จนเดี๋ยวนี้ใครมาบวชเป็นพระเข้าหน่อย ก็เลยพากันนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนกันไปเสียหมด สังคมจะเลวร้ายยังไงฉันไม่สน ใครจะกินเมืองหรือคอร์รัปชันเชิงนโยบาย ยังไงฉันไม่รู้ (หรือใครจะมาขอยืมปากบอกให้รวมพรรคเพื่อชาติ ฉันก็ไม่รู้ นอกจากไม่รู้บางทียังนึกว่าเขามายกย่องนับถืออีก ทั้งๆ ที่ความจริงเขามาหลอกใช้ต่างหาก) ไม่ต้องออกมามีบทบาทอะไรมากมายก็ได้ เรื่องของชาวโลกเขา เราไม่เกี่ยว... นี่แลคือความเข้าใจบทบาทของพระสงฆ์ผิดพลาดอย่างมหันต์ จนปล่อยให้สังคม (แทบ) ล่มสลายทางจริยธรรม/ศีลธรรมอย่างทุกวันนี้ ความจริงถ้าพระสงฆ์ของเรา และสังคมของเรา รู้จักบทบาท/หน้าที่ที่แท้ของพระสงฆ์ แล้วส่งเสริมและเรียกร้องให้ท่านหันมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแท้จริง ปัญหาทางศีลธรรมในบ้านเมืองของเราจะลดลงไปมาก เราคงไม่ต้องมานั่งบ่นเป็นห่วงลูกหลานของเราจนไม่อยากแต่งงาน ไม่อยากมีลูกมีหลานมาเกิดในยุคนี้

สอง - ร้อยวันพันปี โอกาสทองจะเป็นของฝ่ายธรรมเสียทีหนึ่ง หมายความว่า นานๆ คนจะเริ่มเห็นความสำคัญของพระ นาน...น้าน...นานๆ ครั้ง คนจะหันมาอ่านหนังสือธรรมะกันจนฮิตเป็นกระแสเสียทีหนึ่ง เมื่อคนเริ่มฟังพระ สนใจผลงานทางปัญญาของพระ ซึ่งหมายความต่อไปว่า คนกำลังสนใจพุทธธรรม ทำไมพระจึงจะไม่รู้จักใช้โอกาสนี้เผยแผ่ธรรมล่ะ เราอยู่ในยุคของสื่อ ทำไมไม่ใช้สื่อ หรือว่าสื่อมีไว้สำหรับใช้มอมเมาเยาวชนเท่านั้น พระไม่ควรใช้สื่อกระนั้นหรือ เมื่อสังคมให้โอกาส และจังหวะเวลาเอื้ออำนวย จะให้พระปัดโอกาสนั้นทิ้งแล้วบอกว่า พระควรอยู่นิ่งๆ อย่างนั้นหรือ?

คนไทยส่วนใหญ่กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ ล้วนอยู่ในหมู่บ้านหรืออยู่ในเมือง ไม่ได้อยู่ในป่า จะให้พระนั่งสงบอยู่ในป่าแล้วรอให้คนเข้าไปหาถึงในป่า พระจึงจะเทศน์อย่างนั้นหรือ ถ้าธรรมะมีไว้สำหรับคนส่วนน้อยอย่างนั้น ธรรมะแห่งพระพุทธศาสนาจะประเสริฐอะไรที่ตรงไหน เมื่อแรกตรัสรู้พระพุทธเจ้าทรงส่งสาวกออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้พระดำรัสว่า "พวกเธอจงจาริกไป...เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนและเทวดาจำนวนมาก" ไม่มีพุทธดำรัสตรงไหนเลยที่ทรงบอกให้พระสงฆ์สาวกของพระองค์อยู่นิ่งๆ เฉยๆ และจงเป็นฝ่าย 'รอ' ให้คนมาหา มีแต่ทรงเร่งเร้า กระตุ้น และเตือนว่า "จงรุกไปข้างหน้าเพื่อทำประโยชน์ต่อโลกให้มากที่สุด" เท่านั้น

อนึ่ง สิ่งสำคัญที่ควรสังเกตและควรตราไว้ในที่นี้ด้วยก็คือ เป้าหมายในการทำประโยชน์ของพระนั้น ไม่ใช่แค่ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานต์ต่อคนด้วยกันเท่านั้น แต่ยังทรงระบุรวมไปถึง 'เทวดา' อีกด้วย นั่นหมายความว่า พระมีหน้าที่ต้องสอนเทวดาทั้งหลายด้วย ความข้อนี้ยิ่งเน้นย้ำให้เห็นบทบาทของพระสงฆ์ชัดเจนขึ้นไปอีกว่า ขอบข่ายในการทำหน้าที่ของพระนั้น มีมิติกว้างไกลขนาดไหน

พระแท้ของพระพุทธเจ้าต้องโปรดทั้งมนุษยโลกและเทวโลกนั่นแหละ จึงจะถูกต้อง ภารกิจอย่างนี้ พระซึ่งชมชอบการอยู่นิ่งๆ แต่ในอารามตามที่เราเข้าใจกันมาอย่างผิดๆ จะทำได้หรือ? ยังจำกันได้ไหมว่า พระพุทธองค์ของเราทรงปรินิพพานอย่างไร คำตอบก็คือ พระองค์เสด็จปรินิพพานในระหว่างเสด็จไปโปรดชาวเมืองกุสินารา และในระหว่างที่ทรงรอให้สาวกคนสุดท้ายมาเฝ้าและฟังธรรมเทศนาเป็นคนสุดท้าย จากนั้นพระองค์จึงเสด็จปรินิพพาน กล่าวอย่างภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า พระบิดาของเราชาวพุทธทรง 'ตาย' ในขณะทำหน้าที่อย่างแท้จริง

หรือใครเห็นว่าทรงดับขันธปรินิพพานบนพรมขนสัตว์ราคาแพงระยับ! เพราะไขมันในเส้นเลือดสูงเนื่องจากทรงเสวยพระกระยาหารดีเกินไป... พระบรมศาสดาของเราเสด็จสู่ปรินิพพานสภาวะขณะที่ทรงลำบากตรากตรำทำเพื่อชาวโลกจนวินาทีสุดท้าย ทั้งๆ ที่ทรงพระชนมายุมากถึง 80 พรรษาแล้ว ก็หาทรงอยู่นิ่งไม่

แล้วเราไปเอาความเชื่อที่ว่า พระควรอยู่นิ่งๆ มาจากไหนกันเล่าท่านสารวัตร!

ณ วันนี้โลกก้าวมาถึงศตวรรษที่ 21 แล้ว 'การปักกลดกลางป่ากระดาษ' และ 'การเทศน์ผ่านคลื่นวิทยุ/โทรทัศน์' นั้น เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับการเผยแผ่ธรรมะที่สอดคล้องกับยุคสมัย เราเดินทางผ่านกาลเวลามายาวไกลมากแล้ว จากยุคเกษตรกรรม เป็นอุตสาหกรรมและยุคไอทีแล้ว หากพระสงฆ์ในเมืองไทยของเรายังคงมามัวเมาศักดินา เจ้ายศเจ้าอย่าง คิดว่าสังคมไทยยังมีแต่โรงนา โรงลิเก และศาลาวัดเท่านั้นที่ดึงดูดคนไทยและวัยรุ่นได้เหมือนในอดีตอีก หรือยังคงรอให้คนเข้าหาเสียก่อนแล้วจึงเทศน์ จึงทำหน้าที่ ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่า อีกไม่กี่สิบปีจากนี้ไป พระไทยจะมีหน้าที่เหลืออยู่แต่เพียงช่วยชาวบ้านเผาศพเท่านั้น

หรือเราอยากเห็นพระเป็นแค่ 'คนรับจ้างสวด' อย่างนั้นหรือ? แหม! นึกแล้วเสียดายข้าวสุกและอาหารดีๆ ที่ตักบาตรจังเลย!


(ล้อมกรอบท้ายเรื่อง)

"คุณค่าของสถาบันทางสังคมใดๆ ก็ตามจะยังคงมีอยู่ นั่นก็เป็นเพราะว่าสถาบันนั้นๆ ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคมหรือไม่..."

[ทัศนะของนักปราชญ์ตะวันตกท่านหนึ่ง]