: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สบตากับความตาย (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

สบตากับความตาย (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)


ปุจฉา

ดิฉันเสียแม่และพี่ชายไปในเหตุการณ์คลื่นสึนามิถล่มที่ภาคใต้ ตอนนี้เริ่มทำใจได้บ้างแล้ว ถึงไม่เข้มแข็งเสียทีเดียว แต่ก็พอมีแรงไปทำงานได้เหมือนเดิมแล้วค่ะ เพื่อนคนหนึ่งส่งหนังสือชื่อ 'ตายแล้วเกิดใหม่ตามนัยพระพุทธศาสนา' ของท่านมาให้ อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจเรื่องความตายขึ้นมาอีกมาก แต่ยังคิดว่าในหนังสือเล่มนั้น มีเนื้อหามากเกินไปสำหรับคนอย่างดิฉัน ที่ต้องทำงานยุ่งอยู่ทั้งวัน (เป็นนักธุรกิจโรงแรมค่ะ) จึงอยากได้วิธีรับมือกับความตายที่สั้นๆ และนำมาใช้ได้ทันที เผื่อว่าวันข้างหน้าจะได้เข้มแข็งยิ่งกว่านี้ ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

พัชราภา/ภูเก็ต


วิสัชนา

พอจะสรุปวิธีรับมือกับความตายสำหรับคนที่ต้องการเรียนเรื่องความตาย (มรณัสติ) แบบอาหารจานด่วน ดังนี้

1.รู้เท่าทันว่าความตายเป็นสัจธรรมพื้นฐานของชีวิตที่มนุษย์และสัตว์ทุกคน/ทุกตัว จะต้องเจอ ไม่มีใครหนีพ้นไปได้ พ่อแม่ พี่น้อง คนรัก ของเรา ก็เป็นคนเล็กๆ คนหนึ่ง ในบรรดามนุษย์อีกหกพันล้านคนในโลก ที่จะต้องตายเหมือนกัน ไม่เร็วก็ช้า มนุษย์ทุกคนในโลกไม่มีใครที่เกิดมาแล้วไม่ตาย ความตายเป็นปราการสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง โดยไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้อต่อรอง ไม่มีอภิสิทธิ์ ติดสินบนยมบาลก็ไม่รับ เจ้าก็ตาย ประชาชนก็ตาย นักบวชก็ตาย พระอริยบุคคลก็ตาย โง่ก็ตาย ฉลาดก็ตาย หญิงก็ตาย ชายก็ตาย ยากดีมีจนก็ตาย เด็กก็ตาย ผู้ใหญ่ก็ตาย ความแตกต่างหากจะพึงมีอยู่บ้างก็คือ สถานที่ที่จะตาย รูปแบบ/สาเหตุการตาย และเวลาตายเท่านั้นเอง แต่ในแง่แก่นแท้แล้วทุกคนจะตายเหมือนกันหมด - ผู้เขียนเองวันหนึ่งก็จะตายเช่นเดียวกัน

2.สัจธรรมพื้นฐานของชีวิตไม่ได้เพียงความตายอย่างเดียว ยังมีเรื่องอื่นอีก ซึ่งก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ให้เท่าทันเหมือนกัน นั่นคือ

2.1 ทุกคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ไม่มีใครล่วงพ้นความแก่ไปได้

2.2 ทุกคนเกิดมาแล้วต้องเจ็บ ไม่มีใครล่วงพ้นความเจ็บไปได้

2.3 ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้

2.4 ทุกคนเกิดมาแล้วต้องพลัดพรากจากคนรัก/ของรัก ไม่มีใครล่วงพ้นความ พลัดพรากไปได้

2.5 ทุกคนเกิดมาแล้ว ทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม จะต้องเป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น

3.สบตากับความตาย กล่าวคือ เมื่อมีใครคนใดคนหนึ่งตายลง อย่าหนีความจริง อย่าหลอกตัวเองว่าเขายังไม่ตาย อย่าโกหกตัวเองว่ามันเป็นแค่ความฝัน แต่ควรยอมรับความจริงว่าสิ่งนี้ (ความตาย) ได้มาถึงคนที่เรารักเข้าแล้ว อย่ากลัว อย่าวิตก บอกตัวเองว่าสัจธรรมของชีวิตกำลังมาเตือนให้เราไม่ประมาท วันนี้ความตายกำลังคุกคามคนใกล้ตัวของเรา แต่วันข้างหน้าคงถึงตาเราบ้างละ ดังนั้น เมื่อมีคนใกล้ตัวตาย ควรนึกอยู่เสมอว่า สักวันจะถึงทีเรา เราต้องไม่ประมาท ต้องใช้ชีวิตนี้ให้ดีที่สุด เกิดประโยชน์สูงสุด พยายามใช้ชีวิตแต่ละวันให้เป็นวันที่สมบูรณ์ในตัวเอง อย่าผัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองในการทำความดี เพราะความดีคือ 'ที่พึ่ง' เพียงหนึ่งเดียวของเราในภพหน้า ทรัพย์สมบัติ ลูกแก้วเมียขวัญ เกียรติยศชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้เมื่อตายแล้วเราจะต้องคืนให้กับโลกเขาไปทั้งหมด แต่ 'ความดี' ที่สั่งสมไว้จะเป็นสมบัติอันเที่ยงแท้ของเราและจะเป็นเหมือนบ้านสำหรับหลบแดดหลบฝนของเราได้จริงในสัมปรายภพ ของนอกนั้นเป็นแค่ 'ของที่ยืมเขามา' อย่าหลง อย่ายึดติด 'ของที่ไม่ใช่ของเรา' เพราะแม้แต่ลมหายใจที่เบาที่สุด และอยู่กับตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่แล้วเราก็ยังเอาลมหายใจติดตัวไปด้วยไม่ได้ มีแต่ 'ความดี' เท่านั้นที่ควรค่าแก่การสะสม และนำติดตัวไปในภพหน้า ถามตัวเองว่ามีความดีติดตัวกับเขาบ้างไหม?

4.ฝึกเจริญมรณัสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เพื่อจะได้เตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกไม่มากนัก จึงต้องรีบสร้างสรรค์พัฒนาตนให้เป็นคนดี มีคุณธรรม วิธีเจริญมรณัสติอย่างหนึ่งที่อยากแนะนำก็คือ ให้บริกรรม (ท่อง) ถ้อยคำสำคัญที่เป็นแก่นของการเจริญมรณัสติที่ว่า 'อวสฺสัง มยา มริตพฺพํ : ตัวเราเองจะตายอย่างแน่นอน' หรือ 'ฉันจะตายๆ' หรือแปลให้ตรงยิ่งกว่านั้นก็ว่า 'กูเองก็จะตายๆ' คำบริกรรมนี้ตามปกติเราจะเห็นเขาเขียนติดไว้หน้าโลงศพเรียกว่า 'คำไหว้ศพ' ถ้าเราท่องโดยไม่รู้ความหมาย ท่องไปก็ไร้ค่า แต่ถ้าเราท่องโดยรู้ความหมาย ทุกครั้งที่เราท่อง สติจะเกิดขึ้น และสตินั้นจะเตือนให้เรารู้จักใช้ชีวิตโดยความไม่ประมาทโดยอัตโนมัติ

5.ฝึกสมาธิวิปัสสนา เพื่อจะได้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ อยู่เหนือเกิดเหนือตาย ไม่ทุกข์เพราะความตายมาพราก (คนรัก) หรือเพราะความตายมาคุกคาม (ยามป่วยไข้/อุบัติเหตุ) และ/หรือเพราะความตายมาถึงตัวเข้าจริงๆ ในวันใดวันหนึ่ง

6.ทำดีต่อทุกคนที่คุณรักโดยไม่ต้องรอให้ถึงโอกาสพิเศษของเขาก็ได้ เพราะเมื่อความตายจะมาถึงนั้น ยมทูตจะไม่มีการแจ้งวันเวลาล่วงหน้า ไม่มีการส่งสัญญาณเตือนให้เตรียมตัวเตรียมใจ รู้สึกอยากทำดีกับใคร ควรรีบทำทันที และทำให้ดีที่สุดเท่าที่สติปัญญาและศักยภาพของเราจะทำให้ได้ เผื่อว่าเมื่อคนอันเป็นที่รักของเรามาจากไปแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมานั่งอดสูใจว่า 'เสียดายที่ไม่ได้ทำอะไรดีๆ ให้เขา'

7.ฝากพุทธดำรัสสั้นๆ ไว้แปะที่โต๊ะทำงาน หรือที่หัวเตียงเพื่อเตือนให้รู้ว่า อย่าได้ประมาทในการใช้ชีวิต ในการทำงาน ในการเดินทาง :

อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ, ควรทำวันนี้ให้ดีที่สุด

โก ชญฺญา มรณํ สุเว เพราะใครเลยจะรู้ว่าเราอาจมีนัดกับความตายในวันพรุ่ง