: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หากมีคนตาย ควรไว้ทุกข์กี่วัน (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)

หากมีคนตาย ควรไว้ทุกข์กี่วัน (ธรรมาภิวัฒน์ / ว.วชิรเมธี)


ปุจฉา

เธอจะคิดถึงฉันไหม....

หากฉันต้องตายไปในวันหนึ่ง

กี่วันที่อาลัยใฝ่ถึง

กี่คืนที่คิดถึง....ฉันอยากรู้


เธอจะตกใจไหม.....

หากวันหนึ่งวันใดต้องมาเห็น

ร่างฉันนิ่งเงียบและเฉียบเย็น

............................


พันศร/หาดป่าตอง/ภูเก็ต

หลังรอดตายจากสึนามิ-และวิญญาณกวียังเหลืออยู่


วิสัชนา

ฉันคงจะไม่คิดถึง

หากวันหนึ่งเห็นเธอตาย

ฉันจะบอกเธอไปสบาย

ฉากสุดท้ายย่อมเป็นเช่นฉะนี้


ชีวิตมีเกิดมีดับ

มีรับมีจ่ายมีใช้หนี้

มีชอบมีชังมีหวังดี

มีวันนี้พรุ่งนี้และเมื่อวาน


เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

อย่าอาลัยเป็นห่วงบ่วงสังขาร

ควรรู้ทันรู้เท่าจึงเข้าการ

อย่าประจานความไม่รู้ทู่ซี้ทุกข์!


มีคนไปถามหลวงปู่ดุลย์ อตุโลว่า

ถ้ามีคนตายควรจะไว้ทุกข์สักกี่วัน

หลวงปู่ตอบว่า "ทุกข์ต้องกำหนดรู้ รู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้ (ทุกข์) มันทำไม"


ตอบอย่างบทกวีข้างต้นนั้น บางคนอาจหาว่าผู้เขียนตอบเล่นลิ้น เห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกๆ แต่ความจริงไม่ใช่ ตอบอย่างนั้นนั่นแหละ คือการเจาะเข้าไปที่แก่นของพุทธธรรมเลยทีเดียว เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า หน้าที่ต่อทุกข์ คือเราต้องกำหนดรู้ให้เท่าทัน ถอดเป็นภาษาสามัญว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้น ต้องพยายามศึกษาความทุกข์ให้กระจ่าง อย่าเพิ่งเป็นทุกข์ แต่ให้ศึกษาตัวความทุกข์นั้นให้แจ่มแจ้งชัดเจนเสียก่อน เมื่อศึกษารู้ที่มาที่ไปแล้ว ก็จะสามารถกำหนดท่าทีต่อความทุกข์นั้นได้อย่างเหมาะสม แต่คนทั่วไปเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นมา มักไม่ค่อยศึกษา มักไม่ค่อยใช้สติฉุกคิดพิจารณาความทุกข์ โดยมากมักจะเผลอหลอมรวมตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับความทุกข์นั้น และพยายามขยายความทุกข์นั้นให้ใหญ่เกินจริงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว แต่ในทางพระพุทธศาสนาท่านบอกว่า ถ้าความทุกข์เกิดขึ้น ต้องจับมาศึกษาทันที เอาตัวความทุกข์นั้นมาเป็นอุปกรณ์สำหรับการศึกษา หรือจับมาเป็นเครื่องมือสร้างความฉลาดให้กับตัวเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เอาตัวความทุกข์นั่นแหละมาเป็นบันไดไต่ขึ้นไปสู่ความพ้นทุกข์ ทุกข์เกิดที่ไหน ก็หาทางดับมันที่นั่น เหมือนใช้มือล้างมือ ใช้เท้าล้างเท้า แปรอุปสรรคให้เป็นอุปกรณ์ แปรทุกข์ให้เป็นสุข แปรปัญหาให้เป็นปัญญา ทุกข์เกิดจากความตายก็ศึกษาจากความตายนั่นแหละให้กระจ่าง ให้ถ่องแท้ จนรู้จักธรรมชาติของความตายและของคนตาย ถ้าเข้าใจแล้ว มีใครตายอีก ก็ทุกข์น้อยลงหรือไม่ทุกข์เลย เพราะเรารู้เท่าทันเสียแล้ว ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ธรรมดาของชีวิตมันจะเป็นอย่างนี้ มันกำลังเป็นอยู่ และวันข้างหน้ามันก็จะเป็นอย่างนี้อีก ปราชญ์บางท่านพูดชัดยิ่งกว่านั้น ท่านกล่าวว่า 'ทุกข์สำหรับเห็น สุขสำหรับเป็น' แต่คนส่วนใหญ่มักจะทำกลับกัน คือ 'ทุกข์สำหรับเป็น แต่สุขสำหรับรู้ (ว่ามันมีอยู่ แต่ไม่เคยเข้าถึง)'

สมัยก่อนตอนที่ผู้เขียนยังเด็ก เวลามีคนตายก่อนเคลื่อนย้ายหรือจูงศพออกจากบ้าน จะเห็นสัปเหร่อมาทำพิธีหลายอย่าง เช่นก่อนวันเผาหนึ่งวัน คืนนั้นจะมีการย้ายศพลงจากเรือนเพื่อมาตั้งสวดที่ลานบ้านเป็นคืนสุดท้าย สิ่งหนึ่งที่เห็นแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลย พร้อมๆ กับที่มีการเคลื่อนศพลงจากเรือน สัปเหร่อจะนำหม้อน้ำมาทุบให้แตกโพละๆ จนกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พอโตขึ้นอีกหน่อยถามว่า การทุบหม้อน้ำอย่างนั้น เขาเรียกว่าทำอะไร สัปเหร่อบอกว่าคือการ 'ทุบขันธ์ 5' ตอนนั้นฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอมาเริ่มศึกษาธรรมะจึงได้รู้ว่า ทุบขันธ์ 5 นั้นเป็น 'ภาษาสัญลักษณ์' อย่างหนึ่งซึ่งเป็นภูมิปัญญาโบราณที่ท่านต้องการสอนคนที่ยังอยู่ให้รู้ว่า ขันธ์ 5 (คือ รูป/ร่างกาย เวทนา/ความรู้สึก สัญญา/ความจำ สังขาร/ความคิด วิญญาณ/ความรับรู้ = ร่างกาย+จิตใจ) ของคนเรานั้น ถึงที่สุดแล้วก็จะแตกเหมือนกับหม้อน้ำนี้เอง เมื่อรู้จักธรรมชาติของชีวิตแล้วจึงควรปรับใจให้ยอมรับความจริง อย่าทำตัวสวนทางกับความจริงด้วยการไม่ยอมรับรู้ หรือไม่ยอมปล่อยวางความรักความยึดมั่นในรูปร่างสังขารของคนที่ตาย พิธีกรรมอย่างนี้เอามาจากไหน ก็ไม่รู้ ยังไม่มีเวลาสืบค้น แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ ในพระไตรปิฎกมีการเปรียบขันธ์ 5 ว่าเป็นเช่นกับหม้อน้ำที่มีความแตกสลายเป็นธรรมดาด้วย เช่น

"ผลไม้สุกแล้ว ก็มีภัยอยู่ตลอดเวลาจากการที่จะต้องร่วงหล่นไป ฉันใด, สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วก็มีภัยอยู่ตลอดเวลาจากการที่จะต้องตาย ฉันนั้น. ภาชนะดินที่ช่างหม้อทำแล้วทั้งหมด ล้วนมีความแตกเป็นที่สุด ฉันใด, ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุด ฉันนั้น, ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจของมฤตยู (ความตาย) มีมฤตยูเป็นที่ไปเบื้องหน้าด้วยกันทั้งหมด"

เราทุกคนต่างก็เป็นเช่นเดียวกับหม้อดิน ที่ไม่ว่าจะถูกนำไปบรรจุน้ำดื่ม น้ำหอม หรือนำไปเป็นหม้อหุงหาอาหารก็ตามที แต่ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีหม้อดินใบไหนที่ไม่แตก สรรพสิ่งซึ่งเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของเหตุปัจจัยที่มากกว่าหนึ่ง ล้วนมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความผันแปรเป็นอื่นไปในท่ามกลาง และมีความแตกสลายไปในที่สุด ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งสามัญธรรมดาของสิ่งมีชีวิตรวมทั้งวัตถุทั้งปวงโดยไม่มีข้อยกเว้น หากเรารู้เท่าทันธรรมดา จะไม่ถูกพิษของธรรมดากัด แต่ถ้ารู้ไม่เท่าทัน จะเสียค่าโง่ให้ธรรมดา จะเปลืองน้ำตาโดยใช่เหตุ