: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ค้าหญิงไทยในเยอรมนีสถานการณ์มิอาจมองข้าม

บทความพิเศษ / พัทยา เรือนแก้ว

ค้าหญิงไทยในเยอรมนีสถานการณ์มิอาจมองข้าม
สถานการณ์การค้าหญิงไทย สรุปได้ ดังนี้

การค้าบริการทางเพศ ตามนัยยะของกฎหมายเยอรมัน มิได้ขึ้นอยู่ที่ว่าความสมัครใจหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่ที่ว่า มีการล่อหลอก หรือหลอกลวง ใช้อุบายใดๆ หรือไม่ หรือการใช้กำลังความรุนแรง เช่น ค่าจ้างแรงงาน หรือมีการเรียกเก็บค่าแทกซ์ ก็สามารถที่จะพิจารณาว่าเป็นการค้าหญิงได้

ดังนั้น กรณีหญิงไทยที่ถูกพิจารณาว่าเป็นเหยื่อ จึงมิจำเป็นต้องเป็นผู้ที่ถูกบังคับล่อลวงให้มาค้าบริการทางเพศเท่านั้น แต่อาจรวมถึงผู้ที่สมัครใจเดินทางมาทำงานนี้ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ตัวเลขสถิติดังกล่าวข้างต้น จึงมิได้แยกแยะว่า มีหญิงจำนวนเท่าใดที่มาทำงานนี้ โดยสมัครใจ และจำนวนเท่าใด ที่ไม่สมัครใจ

นอกจากนี้ลักษณะของหญิงไทยที่ค้าบริการทางเพศในเยอรมนี ก็คือ อยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิพำนักในฐานะคู่สมรส ส่วนที่อยู่อย่างไม่ถูกต้อง คือไม่มีวีซ่า หรืออยู่เกินระยะเวลาที่กำหนด (overstay) นั้น มีค่อนข้างน้อย

ในปัจจุบัน การเดินทางเข้ามาค้าบริการทางเพศของหญิงไทย จะมาโดยผ่านขบวนการจัดพา ที่เรียกกันว่า มา ผ่านแทกซ์ (tax) คือขบวนการจัดพา ช่วยจัดหาเอกสารต่างๆ เพื่อการขอวีซ่าให้ผู้หญิงเดินทางเข้าประเทศในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อมาถึงขบวนการจัดพาจะหาผู้ชายเยอรมันหรือชายที่มีสิทธิพำนักให้แต่งงาน แต่จะเป็นการแต่งงานเพียงในนาม เพื่อให้ผู้หญิงสามารถได้สิทธิพำนักอยู่ในเยอรมนีเท่านั้น ผู้หญิงต้องทำงานในสถานประกอบการของผู้ที่จัดพาหาให้ จนกว่าจะใช้หนี้แทกซ์หมด จึงสามารถที่จะย้ายไปทำงานตามที่ตนต้องการ สถานประกอบการมักจะเป็นบ้านที่ประกอบกิจการบริการทางเพศ หรืออาจเป็นอพาร์ตเม้นต์ หรือในบางเมืองอาจเป็นห้องเช่า หรือเป็นบาร์

ส่วนราคาค่าแทกซ์ที่จะต้องจ่าย จะตกประมาณตั้งแต่ 150,000-300,000 บาท ทั้งนี้ ผู้หญิงอาจจะต้องจ่ายให้แก่นายหน้าในประเทศไทยด้วย ผู้จัดพามักจะเป็นหญิงไทยที่เคยผ่านการประกอบอาชีพนี้มาก่อน เมื่อรู้ลู่ทางดี จึงเปิดกิจการของตนเอง และทำหน้าที่เป็นผู้จัดหา จัดพาหญิงไทยมาทำงาน โดยจะทำงานประสานกับนายหน้าจัดหาผู้หญิงในประเทศไทย ซึ่งมักจะเป็นเพื่อนหรือญาติพี่น้องของตนเอง

ผู้หญิงส่วนมากจะรู้ล่วงหน้าตั้งแต่ในประเทศไทยแล้วว่า ต้องมาทำอะไร นั่นคือสมัครใจที่จะมาทำงานนี้ แต่บางส่วนก็ไม่รู้แน่ชัด หลายรายถูกชักชวนให้มาทำงานโดยบอกว่า ให้มาทำงานในร้านคาราโอเกะ มาเป็นบริกร มาแล้วกลายเป็นบาร์และต้องขึ้นห้องกับแขก กลุ่มหลังมักตกกระไดพลอยโจน โดยทั่วไปแม้ว่าการใช้กำลังความรุนแรงบังคับจะไม่ค่อยปรากฏให้เห็น แต่ผู้หญิงก็มักจะโดนเอาเปรียบเรื่องค่าแรง

นอกจากหญิงไทยแล้ว ยังมีชายไทยที่เรียกกันว่า 'สาวประเภทสอง' หรือที่ผ่าตัดแปลงเพศแล้วเข้ามาทำการค้าบริการทางเพศด้วย หนทางการเดินทางจะเป็นเช่นเดียวกับของหญิงไทย คือเดินทาง ผ่านแทกซ์

การแต่งงาน ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่จำนวนหญิงฟิลิปปินส์ที่แต่งงานกับชายเยอรมัน ลดลงอย่างมาก และไม่ติดอันดับ 1 ใน 5 อีกต่อไป แต่จากตัวเลขสถิติของสำนักงานสถิติแห่งสหพันธ์ฯ แสดงให้เห็นว่า สถิติการแต่งงานระหว่างหญิงไทยกับชายเยอรมัน ยังคงครองอันดับที่ 3 รองจากหญิงจากประเทศโปแลนด์ และรัสเซีย ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การเดินทางของหญิงไทยเพื่อเข้ามาแต่งงานยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง รูปแบบการแต่งงานที่อาจจัดว่าเข้าข่าย การค้าหญิง คือผ่านบริษัทจัดหาคู่ ซึ่งในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของธุรกิจ internet จะมีเวบไซต์ให้บริการจัดหาคู่ โดยมีลักษณะการทำงานเช่นเดียวกับบริษัทจัดหาคู่ในช่วงที่ผ่านมา ที่มีการลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์ เพียงแต่ในปัจจุบันจะไม่เป็นการสื่อสารกันโดยจดหมายหรือโทรศัพท์อีกต่อไป แต่จะผ่าน internet

อีกประเภทหนึ่งของบริการจัดหาคู่ที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน คือ การจัดบริการในลักษณะส่วนตัวที่ไม่ได้เป็นในรูปบริษัท แต่ก็เป็นไปโดยหวังผลกำไร ผู้ที่จัดบริการประเภทนี้ มักเป็นหญิงไทยที่แต่งงานกับชายเยอรมัน ซึ่งมักจะเป็นผู้ที่เคยเดินทางผ่านหนทางสายเดียวกันนี้มาก่อน หญิงเหล่านี้จะทำงานประสานกับญาติหรือเพื่อนของตนในหมู่บ้านในประเทศไทย เพื่อชักชวนหาหญิงสาวที่สนใจต้องการมาแสวงหาโชค หาคู่ในเยอรมนี ผู้จัดหาจะจัดทำเอกสารเพื่อการขอวีซ่าเข้าประเทศในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อผู้หญิงเดินทางมาถึง ก็จะนำลงในหนังสือพิมพ์ประกาศหาคู่ และช่วยเหลือในการติดต่อเลือกชายหนุ่มเพื่อการแต่งงานต่อไป สนนราคาในการติดต่อในปัจจุบันตกระหว่าง 150,000-300,000 บาท ในบางรายนอกจากค่านายหน้าแล้ว ผู้หญิงต้องจ่ายค่าเดินทางเองด้วย

แรงงาน ในอดีตประเด็นแรงงานไทยในเยอรมนีไม่ค่อยจะมีการกล่าวถึงกันเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่ก็มีการเข้ามาทำงานกัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวในภัตตาคาร ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากตัวเลขของแรงงานที่อาจไม่สูงนัก หรืออาจเป็นไปได้ว่า ผู้ที่ประสบความเดือนร้อนไม่มีโอกาสได้นำปัญหามาหารือกับหน่วยงาน ทำให้ประเด็นปัญหาไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง แต่เชื่อว่ายังมีอยู่ อันได้แก่ เจ้าของร้านไม่ทำตามสัญญาที่ตกลงไว้ เช่น ไม่จ่ายค่าแรงที่เหมาะสม ต้องทำงานเกินเวลา ฯลฯ

การเอาเปรียบด้านแรงงานอีกประเภทหนึ่งที่พบในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา คือการเข้ามาด้วยวีซ่าที่เรียกว่า au pair หรือที่คนไทยเรียกกันว่า วีซ่ามาเลี้ยงเด็ก การเข้ามาเป็น au pair คือการเข้ามาศึกษาภาษาโดยที่มีครอบครัวในเยอรมนี รับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้แก่ครอบครัวที่ทำเรื่องรับรอง และครอบครัวต้องจัดที่พัก จัดหาโรงเรียนภาษา และต้องให้เงินติดกระเป๋าด้วย

ในปัจจุบันมีหญิงไทย ซึ่งส่วนมากมักจะมีอายุน้อย เข้ามาด้วยวีซ่านี้ ผู้ที่ชักชวนมักจะเป็นญาติพี่น้องคนรู้จัก ปัญหาที่พบก็คือ เมื่อมาถึงแล้วไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กอย่างเดียว แต่ต้องทำงานอื่นๆ เช่นงานบ้าน รวมทั้งในบางรายถูกใช้ให้ทำงานในสถานประกอบการของครอบครัวที่มาอยู่ด้วย เช่น ในร้านอาหาร ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษา บ่อยครั้งก็ต้องทำงานเปล่าโดยไม่ได้เงินติดกระเป๋าที่สัญญาไว้ และนี่ก็คือ วีซ่า ลักษณะ au pair ถูกใช้เป็นหนทางเพื่อนำเข้าแรงงานราคาถูก

จากตัวเลขที่หยิบยกมา แม้จะไม่มากนัก แต่ก็คงเป็นตัวชี้ให้เห็นได้ว่า ปัญหาการค้าหญิงไทยไปเยอรมนี ยังคงดำเนินอยู่ เช่นเดียวกับการค้าหญิงและการเดินทางข้ามแดนของหญิงไทยไปทวีปอื่น

(ล้อมกรอบท้ายเรื่อง)

ดร. พัทยา เรือนแก้ว เป็นนักวิจัยอิสระ พำนักและทำงานอยู่ในประเทศเยอรมนี เข้าร่วมขบวนการต่อต้านการค้าหญิง และทำงานให้ความช่วยเหลือหญิงไทยในเยอรมนี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1986 เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมธารา เครือข่ายอาสาสมัครหญิงไทย ทำงานให้ความช่วยเหลือคนไทยในเยอรมนี