: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บันทึกลับฉบับ 'จิ๋ว' ก้าวแรกในสงครามครั้งสุดท้าย

จากนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์

บันทึกลับฉบับ 'จิ๋ว' ก้าวแรกในสงครามครั้งสุดท้าย
หนังสือ 'บันทึกลับ 2540 : ความจริงที่ถูกปกปิดมาเป็นเวลานาน' เรียบเรียงโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เกี่ยวพันกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยที่เจ้าตัวมิได้เป็นผู้เขียน

เมื่อปีก่อน ก็มีหนังสือชื่อ 'โลกสีขาว' ที่ว่าด้วยโลกส่วนตัวและโลกการทำงานของ 'บิ๊กจิ๋ว' ซึ่งเขียนโดยทีมงานผู้ใกล้ชิดกลุ่มหนึ่ง และหนังสือ 2 เล่มที่ว่านี้ ก็ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนจาก 'เสธ.นิด' พล.ต.ศรชัย มนตริวัต และนักธุรกิจที่ผูกพันกับ พล.อ.ชวลิต มายาวนานกลุ่มหนึ่ง

เป็นที่น่าสังเกตประการหนึ่ง คือ ทีมงานผู้จัดทำหนังสือทั้งสองเล่ม รู้จักใช้ 'สื่อ' ทำแผนการตลาดประชาสัมพันธ์อย่างได้ผล

อย่างหนังสือบันทึกลับฯ เล่มใหม่ 'ปานเทพ' เลือกเปิดประเด็น 'คนรู้ไส้' ในวันลดค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ ในช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง ก็ทำเอาอุณหภูมิการเมืองในพรรคไทยรักไทย พุ่งสูงขึ้นมาโดยฉับพลันทันใด

แถมกลุ่มคนรู้ทันทักษิณ ต่างออกมาขานรับและเรียกร้องให้มีการสืบหาคนที่ได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น ครป., ประชัย เลี่ยวไพรัตน์, เอกยุทธ อัญชันบุตร และ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ

ขนาด เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ส.ว.กรุงเทพฯ พักผ่อนอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ ยังให้สัมภาษณ์ข้ามฟ้าถึงข้อเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนอิสระ ตรวจสอบการลอยตัวค่าเงินบาท พร้อมสำทับว่านักการเมืองที่ล่วงรู้ข้อมูลเรื่องลดค่าเงินบาท และเป็นผู้นำความไปบอก ก็ควรจะได้ถูกตรวจสอบ รวมถึง พล.อ.ชวลิต ซึ่งในขณะนั้นเป็นนายกฯ จะปัดความรับผิดชอบในข่าวลดค่าเงินที่รั่วไหลไม่ได้

อันที่จริง เนื้อหาหลักหนังสือเล่มนี้เป็นการเรียบเรียงข้อมูลประวัติศาสตร์การเงินการคลัง ปี 2540 โดยข้อมูลดังกล่าวมาจากปากคำของบุคคลที่เกี่ยวข้อง, เอกสารทางราชการ และหนังสือพิมพ์รายวันในยุคนั้น

จึงมีผู้วิจารณ์ว่า ไม่มีอะไรใหม่ เป็นเรื่องที่เคยมีการขุดคุ้ยกันมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยเหตุนี้ ทีมงานผู้จัดทำหนังสือจึงต้อง 'ชง' ประเด็นที่คนอยากรู้คือ ใครได้-ใครเสีย ซึ่งก็ได้ผลตามเป้าหมาย

จะว่าไปแล้ว กลยุทธ์การเปิดประเด็น 'คนรู้ไส้' ผ่านสื่อของ 'ปานเทพ' และทีมงาน พล.อ.ชวลิต ถือว่าเป็นกลยุทธ์เซียนเหนือเซียน ที่ไม่มีใครคาดคิด

เพราะหนังสือหนา 396 หน้า กองบรรณาธิการแบ่งเนื้อหาออกเป็น 20 บท แต่ทีมงานมีเจตนาที่จะให้สื่อหนังสือพิมพ์นำมาฉายเป็นหนังตัวอย่างเพียงแค่ 4 บท คือ

บทที่ 9 ใครหนุน? ใครต้าน? ลดค่าเงิน, บทที่ 10 ความลับของทูตลับไปเมืองจีน, บทที่ 13 'ลับ (ไม่) ที่สุด' วันลอยค่าเงินบาท (1)

และ บทที่ 14 'ลับ (ไม่) ที่สุด' วันลอยค่าเงินบาท (2)

กล่าวสำหรับบทที่ 9 'ใครหนุน? ใครต้าน? ลดค่าเงิน' ผู้เขียนได้เปิดเผยถึงกลุ่มบุคคลที่เห็นด้วยกับการลดค่าเงินบาท อาทิ ชาตรี โสภณพนิช, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ขณะนั้นเป็นรองนายกฯ), ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล และ ศุภชัย พานิชภักดิ์

ขณะที่ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการลดค่าเงินบาท คือ อำนวย วีรวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขณะนั้น, โอฬาร ไชยประวัติ และ 'เจ้าสัวซีพี' ธนินท์ เจียรวนนท์

ในบทที่ 13 'ลับ (ไม่) ที่สุด วันลอยค่าเงิน (ตอน 1)' ผู้เขียนได้สรุปตอนหนึ่งว่า "..การที่ประเทศไทยได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมานั้น เป็นการประกาศโดยฉับพลันจากการตัดสินใจว่าจะลอยค่าเงินเพียงไม่กี่ชั่วโมง โดยไม่มีใครแม้แต่คนเดียวได้รับรู้ข่าวสารมาก่อนเลย ใช่หรือไม่?"

คำตอบคือ ไม่ใช่ เพราะมันมีห้วงเวลาของการต่อสู้กันทางแนวคิดกันอยู่พอสมควร ระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของแบงก์ชาติกับฝ่ายการเมือง

เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2540 เมื่อ อำนวย วีรวรรณ ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้เกิดความสับสนในตลาดเงินตลาดทุน จนกระทั่ง เริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เข้าพบ พล.อ.ชวลิต เพื่อขอให้ประกาศว่าจะไม่ลดค่าเงินบาท

ต่อมาในวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ ทนง พิทยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ในวันนั้นเองมีการประชุมเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย 6 คน โดยไม่มีผู้ว่าฯ ธปท. แต่มีนายชัยวัฒน์อยู่ด้วย และที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเป็นระบบลอยค่าเงิน ซึ่งชัยวัฒน์ได้แจ้งให้เริงชัยรับทราบแล้ว

ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า "ในวันนั้น ผู้บริหาร ธปท. รู้มตินี้ 7 คน!! โดยที่ฝ่ายการเมืองยังไม่มีใครรู้ ทั้ง 7 คนรู้ว่าระบบอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องเป็นแบบลอยตัวค่าเงินบาทอย่างไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นแล้ว เพราะเป็นมติเอกฉันท์ไปแล้ว ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540"

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2540 ธปท. โดย เริงชัยและชัยวัฒน์ ได้มีโอกาสประชุมร่วมกับรัฐมนตรีคลัง และนายทนง ได้ขอให้ฝ่าย ธปท. รายงานสถานะของเงินสุทธิ เมื่อทราบสถานะแล้ว ทนงก็ตัดสินใจในการประชุมครั้งนั้นเลยว่า "จะต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน"

แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เริงชัย กลับตอบทนง ว่าจะขอไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ ธปท.ก่อน จึงนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ที่ปล่อยเวลาออกไปอีก!!

หลังจากวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน เงินสำรองลดลงไปมาก และผ่านมาอีก 2 วัน ทนง พิทยะ ได้ตกลงกับเริงชัยและชัยวัฒน์ ว่าจะไปเรียนนายกรัฐมนตรีในเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2540 ซึ่งเมื่อถึงวันดังกล่าวปรากฏว่ามี โภคิน พลกุล ร่วมประชุมอยู่ด้วย

เมื่อผู้ว่าฯ ธปท.เอาเอกสารลดค่าเงินบาทมาให้ พล.อ.ชวลิตเซ็น จึงได้ตำหนิว่า "คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร? ผมถามคุณแล้วนะไม่ลด เสร็จแล้วคุณก็มาลด นั่นแสดงว่าคุณมีเจตนาจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียงผม"

จุดนี้เองที่ พล.อ.ชวลิต ประกาศลาออกจากตำแหน่ง และจากนั้นจึงมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540

ผู้เขียนพยายามชี้ให้เห็นว่า นับแต่วันที่ พล.อ.ชวลิต ลงนามให้ลอยตัวค่าเงินบาท จนถึงวันประกาศจริง ใช้เวลาประมาณ 2 วัน หรือ 48 ชั่วโมง

แต่หากนับเวลาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ประชุมกับผู้ว่าการ ธปท. และเห็นว่าต้องเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 26 มิถุนายน จนถึงวันลอยตัวค่าเงินบาท รวม 6 วัน หรือประมาณ 144 ชั่วโมง

'ปานเทพ' ไม่ได้ระบุในหนังสือว่าคนที่รู้ข้อมูลภายในเป็นใคร แต่ขอฟันธงว่า มีคน 3 กลุ่มที่พอมีโอกาสรู้ว่าจะมีการลอยตัวค่าเงินบาท คือ

1.คนที่รู้ไส้ หรืออินไซเดอร์ คืออยู่ในวงการและรู้ว่าจะมีการตัดสินใจ ซึ่งผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นกลุ่มแรกที่รู้ ส่วนนักการเมืองจะรู้ช้ากว่าคนอื่น

2.กลุ่มคนที่วิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจได้เอง รู้จำนวนหนี้ของประเทศและคำนวณเงินทุนระหว่างประเทศได้ จึงรู้ว่าควรจะทำอย่างไร และ 3.คนที่ตื่นตระหนกตามข่าวลือ

กล่าวสำหรับนักการเมืองที่รู้โดยหน้าที่ตำแหน่งตามที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ คือ ทนง พิทยะ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานบอร์ดการบินไทย และเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนได้สมญานาม 'ยาสามัญประจำบ้านชินวัตร'

อีกคนหนึ่งคือ โภคิน พลกุล ที่ขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของ 'บ้านจันทร์ส่องหล้า' และห่างเหินจาก 'บ้านซอยปิ่นประภาคม' ไปนานมากแล้ว

และคนสุดท้าย ก็ต้องเป็นคนเซ็นประกาศลดค่าเงินบาท ที่มีความพยายามชำระประวัติศาสตร์เพื่อมิให้ตัวเองตกเป็น 'จำเลยของสังคม' ไปชั่วชีวิต

กล่าวสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ อดีตนายทหารที่มีฉายาว่า 'ขงเบ้ง' ยังเดินหน้าหาเสียงช่วยลูกพรรคเก่าในแถบอีสานเหนือ โดยมี 'สหายเก่า' ที่มีความผูกพันกันมาแต่ครั้งนโยบาย 66/2523 ก็ถูกระดมเข้ามาทำงานการเมืองเชิงลึก

ขณะที่คนใกล้ชิดได้ใช้เวทีสื่อหนังสือพิมพ์สร้างกระแสการกลับมากู้วิกฤติไทยรักไทยในสนามเลือกตั้งอีสานของ 'พ่อใหญ่จิ๋ว' ดั่งปรากฏในข่าวพาดหัวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง

หรือบทสัมภาษณ์พิเศษในหนังสือพิมพ์รายวันแท็บลอยด์ ที่บอกว่า 'หลังเลือกตั้งไม่ใช่การพักผ่อน แต่คือก้าวแรกต้องก้าวให้ไกล ก้าวอย่างรุนแรง และก้าวอย่างมั่นคง'

นัยว่าการจัดพิมพ์หนังสือ 'บันทึกลับ 2540' หนนี้ นอกจากต้องการฟอกตัวเองแล้ว ก็เป็นตอกย้ำว่ายังจะก้าวเดินต่อไปบนถนนการเมือง และทำให้สิ่งที่เรียกว่า My Last War!