: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน อนาคตแรงงานไทยในไต้หวัน

รายงานพิเศษ / ทีมข่าวการเมือง จากนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์

ความเป็นธรรมอยู่ที่ไหน อนาคตแรงงานไทยในไต้หวัน
ตะลึงกันไปทั่ว เมื่อมีข่าวว่าแรงงานไทยร่วม 2 พันคน ที่ทำงานในโครงการรถไฟใต้ดินเมืองเกาสง ของบริษัท เกาสงขนส่งมวลชน ในไต้หวัน ก่อเหตุจลาจล ทำลายทรัพย์สินของบริษัทนายจ้างเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2548 บริเวณบ้านพักแรงงานไทย อาคาร 4 ชั้น 2 ซึ่งมีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณ 300 คน โดยแรงงานไทยกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันเผาอาคารสำนักงาน เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ของบริษัท อีกส่วนก็ร่วมกันประท้วงเรียกร้องให้นายจ้างยกเลิกระบบสวัสดิการเดิม มีการประเมินค่าเสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้คิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท

สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ในวันต่อมาว่า หลังจากที่ได้สั่งเจ้าหน้าที่ทูตแรงงานไทยประจำเมืองเกาสง ไปเจรจากับนายจ้างและทางการของไต้หวัน พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของไต้หวันกำลังตรวจสอบและสอบสวนพร้อมแยกผู้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ที่ก่อเหตุ โดยแรงงานไทยที่มีส่วนร่วมกระทำความผิดประมาณ 100 คน จะต้องมีการสอบสวนเอาผิดและดำเนินการต่อไป หากแรงงานคนใดถูกดำเนินคดีจนกระทั่งถูกส่งกลับประเทศ กระทรวงแรงงานก็พร้อมที่จะประสานให้ความช่วยเหลือในการเดินทาง

"เมื่อผมได้รับรายงานว่าคนไทยในไต้หวันดื่มเหล้าเมาก่อเหตุความรุนแรง แทบไม่น่าเชื่อว่าคนงานจะก่อเหตุรุนแรงขนาดนั้นได้ นอกจากว่ามีเรื่องอื่น เช่น เกิดความกดดันจากการที่นายจ้างกดขี่เอาเปรียบ ละเมิดสิทธิ ไม่ตรงตามสัญญาที่ตกลงกัน และไม่แน่ว่าก่อนหน้านี้แรงงานไทยกับหัวหน้าคนงานเคยมีปัญหากับหัวหน้างานหรือไม่.. แต่ทั้งนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายจ้างเช่นกัน จึงต้องเข้าไปเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้เกิดการประนีประนอมกันระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง ให้กลับเข้าไปทำงานได้ดังเดิม" รมว.แรงงาน กล่าว

ล่าสุด วันที่ 24 สิงหาคม 2548 กระทรวงแรงงาน ได้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาการจ้างแรงงานไทยในไต้หวัน ไปไต้หวัน เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตรวจสอบสัญญาว่าเป็นไปตามที่นายจ้างทำไว้หรือไม่ โดยมี นคร ศิลปอาชา ผู้ตรวจกระทรวงแรงงาน เป็นประธานคณะกรรมการฯ

ประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์ นายกสมาคมการจัดส่งแรงงานไทยไปต่างประเทศ กล่าวว่า เรื่องนี้กระทรวงแรงงานต้องเข้ามาจัดการปัญหาให้ดี เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทั้งชื่อเสียงตลาดแรงงานไทยในต่างประเทศ และความรู้สึกชาตินิยมของคนงานไทย ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากโบรกเกอร์ชาวไต้หวันที่ดูแลสวัสดิการของแรงงานต่างชาติที่ทำงานในไต้หวันทั้งหมด โดยทุกเดือนแรงงานไทยกว่า 1 แสนคนต้องถูกหักเงินเป็นค่าอาหารคนละ 2,500 ดอลลาร์ แต่ได้รับอาหารที่ไม่ได้คุณภาพ ที่พักแออัด รวมทั้งห้ามใช้โทรศัพท์ด้วย (กฎระเบียบเกี่ยวกับเงื่อนไขการจ้างของคณะกรรมการการแรงงานไต้หวัน ตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2544 กำหนดให้นายจ้างมีสิทธิเจรจาตกลงเงื่อนไขการจ้างกับแรงงานต่างชาติ เกี่ยวกับการหักค่าอาหารและที่พักที่จัดให้แก่ลูกจ้างแรงงานต่างชาติไม่เกินเดือนละ 4,000 ดอลลาร์ไต้หวัน แต่แรงงานไทยยินยอมให้หักไม่เกินเดือนละ 2,500 ดอลลาร์ไต้หวัน)

"คนงานบอกว่าเงินเดือนจ่ายเป็นคูปองและเงินสด อย่างละ 50% ซื้อสินค้าประจำวันในแคมป์งานราคาแพง 20% เวลาแลกคูปองคืนเป็นเงิน คูปอง 1,000 แลกได้ 800 เหรียญ...

"ด้วยเหตุนี้คนงานจึงมีความรู้สึกเก็บกด และเคยยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้างแต่ไม่ได้รับการดูแล มิหนำซ้ำยังถูกกลั่นแกล้งตามมา สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 21 สิงหาคม เป็นเสมือนฟางเส้นสุดท้ายของคนงานไทยที่ทำงานกับ บ.เกาสง ขนส่งมวลชน ซึ่งรับก่อสร้างโครงการรถไฟใต้ดินเมืองเกาสง มีคนงานไทยประมาณ 2,025 คน ภายใต้การดูแลของบริษัทจัดส่ง โดยวันเกิดเหตุ คนงานได้ดื่มเหล้าฉลองวันสารทจีนและปรับทุกข์กันเอง บังเอิญว่ามีการส่งเสียงดัง หัวหน้าคนงานชาวไต้หวันจึงเข้ามาดุด่าว่ากล่าว ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน รวมทั้งได้มีการเผาสำนักงานเสียหาย 1 แห่ง รถยนต์เสียหาย 1 คัน และขว้างปาก้อนหินใส่ชาวบ้านที่เดินไปมา"

ต่อมาทางการไต้หวันได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลประมาณ 500 นายเข้าคุมสถานการณ์และปิดกั้นบริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อสอบสวนและคัดแยกผู้กระทำผิดออกจากผู้บริสุทธิ์ ทั้งนี้ ตามกฎหมายของไต้หวันจะเข้มงวดกับเรื่องดังกล่าวอย่างมาก หากพบว่าผู้ใดก่อเหตุ ก็จะมีโทษจำคุกทันที ไม่ต้องรอการปรับ ส่วนผู้ร่วมกระทำผิดก็จะถูกส่งกลับประเทศต้นทาง กระทรวงแรงงานต้องมีศิลปะในการแก้ปัญหา รวมถึงไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้วยวิธีนิ่มนวล โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงเข้าเจรจา ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทูตแรงงานอย่างเดียว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะคนเหล่านี้ส่งเงินกลับไทยปีละนับหมื่นล้านบาท

โดยค่าจ้างสำหรับแรงงานทั่วไป คือ 15,840 ดอลลาร์ไต้หวัน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.8-1.9 หมื่นบาท ถ้ารวมโอทีด้วยจะมีรายได้ 2.5-2.6 หมื่นบาทต่อเดือน สำหรับค่าใช้จ่ายในการไปขายแรงงานที่ไต้หวันตกคนละ 9 หมื่น-1.2 แสนบาท ขึ้นกับจำนวนปีที่ไป ถ้าสัญญาจ้าง 3 ปี คนงานจะชำระหนี้หมดภายใน 9 เดือน (มีเงินใช้ระหว่างเดือนด้วย)

ปัจจุบันมีแรงงานไทยในไต้หวันประมาณ 1 แสนคน มีแรงงานไปทำงานในโครงการรถใต้ดินเมืองเกาสง (ที่เกิดเหตุ) 2,025 คน ซึ่งมาจากบริษัทจัดหางานในประเทศไทย 3 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทจัดหางาน ซินเซียร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 707 คน บริษัทจัดหางาน บี.เอส.บี.โอเวอร์ซีส์ จำกัด จำนวน 707 คน บริษัทจัดหางานพี.ทวี. ยูไนเต็ด จำกัด จำนวน 611 คน

ข้อมูลจากเวบไซต์ของกระทรวงแรงงาน แจ้งว่า ณ เดือนกันยายน 2547 มีการจ้างแรงงานต่างชาติเข้าไปทำงานในไต้หวัน จำนวน 307,477 คน เป็นแรงงานไทย 103,850 คน คิดเป็น 33.77% ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ ประกอบด้วย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มองโกเลีย และมาเลเซีย

แรงงานไทยอยู่ในภาคการผลิตมากที่สุด คือ 90,684 คน รองลงมาเป็นงานก่อสร้าง 9,899 คน งานบริการ 3,252 คน และภาคเกษตร-ประมง จำนวน 15 คน

โดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีสภาพการจ้างและรายได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก และอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความต้องการจ้างแรงงานต่างชาติปีละ 1.5-1.8 หมื่นคน มีแรงงานฟิลิปปินส์ที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดคือ 35,158 คน (คิดเป็น 63.99%) ส่วนแรงงานไทยมาเป็นอันดับที่ 2 คือ 12,816 คน (คิดเป็น 23.32%)

สาเหตุที่แรงงานไทยได้ส่วนแบ่งตลาดในภาคอุตสาหกรรมข้างต้นน้อยกว่าฟิลิปปินส์ เนื่องจากคนที่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษา ปวช. ปวส. มีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสาร มีความต้องการไปทำงานในไต้หวันเป็นจำนวนน้อย และยังมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มและเมาสุรา ที่ก่อปัญหาความยุ่งยากเดือดร้อนให้แก่นายจ้าง