สัมภาษณ์พิเศษ / ภาวินี อินเทพ
วิถีชาวนาโลกาภิวัตน์ ฤๅเป็นปลาในรองส้วม?
"ถ้าถามว่างานนี้สำเร็จหรือล้มเหลว ผมไม่คิดว่าจะมีคำว่าล้มเหลวหรอก เพราะเราคิดไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า งานนี้เป็นเหมือนงานทำบุญ ที่ทุกคนต่างก็มาทำให้นะ ไม่ใช่มาทำเอา และมันไม่ใช่งานโครงการด้วย แต่มันเป็นงานที่ชาวบ้านมาร่วมไม้ร่วมมือกันจริงๆ"
เสียงของ วิลิต เตชะไพบูลย์ ดังขึ้น ในฐานะ 'ที่ปรึกษา' ของกลุ่มฟื้นฟูเกษตรกรเมืองเพชร เจ้าภาพจัดงาน 'ร้อยเคียวเกี่ยวรวง ชาวนาวิชาการ ครั้งที่ 1' ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ บนพื้นที่ นาหลวง จ.เพชรบุรี
ซึ่งถือว่าเป็นงานใหญ่ของชาวนาที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยกำลังของ 'เพื่อนชาวนา' ด้วยกันเอง ก็ว่าได้
"ความสามัคคีเป็นเรื่องที่เป็นไปได้"
วิลิต กล่าวถึงความร่วมไม้ร่วมมือของพี่น้องเกษตรกรเมืองเพชรที่ได้ช่วยกันมาแต่ต้น
งานนี้แม้มีระยะเวลาเพียง 5 วันเท่านั้น แต่รู้ไหมว่ากว่าจะจัดขึ้นได้ ต้องเตรียมการยาวนานถึง 8 เดือนด้วยกัน นับตั้งแต่หาพื้นที่ที่จะจัดงานขนาดใหญ่ 60 กว่าไร่ ไปจนถึงการพัฒนาพื้นที่จากนาร้างจนกลายเป็นผืนนาโล่งกว้างได้นั้น ไม่ง่ายนัก
เท่านั้นยังไม่พอ มีการปลูกข้าวรอให้พี่น้องชาวนาที่จะมาจากหลายภูมิภาคได้มาเกี่ยวข้าวร่วมกันมากถึง 20 ไร่อีกด้วย โดยมีความพร้อมใจสูงสุด ก็คือ จะนำข้าวใหม่ที่ได้ทั้งหมดทูลเกล้าถวายแด่ในหลวง
เพราะความตั้งใจที่ต้องการฟื้นความรัก ความสามัคคีและศักดิ์ศรีของหมู่พี่น้องชาวไร่ชาวนาและเกษตรกรไทยให้คืนกลับมาอีกครั้งนั่นเอง
ตลอด 5 วันนั้น จึงมีจัดให้มีกิจกรรม 'ภาควัฒนธรรม' มากเป็นพิเศษ เพราะตัววิลิตเองก็เชื่อว่า "วัฒนธรรมคืออาวุธที่จะต่อสู้กับอุปสรรคได้ไม่แพ้คนที่ทำสงครามด้วยเงิน" และบางทีอาจจะแข็งแกร่งและยั่งยืนกว่าด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ได้ยืนยันถึงแก่นแท้ของงานเมื่อคืนก่อนที่จะมีนายกรัฐมนตรีไปเยือนด้วยว่าอะไรเป็นของจริงกันแน่
"พรุ่งนี้คนจะมาเป็นแสน แต่วันนี้คนที่นั่งอยู่ที่นี่เพียงหยิบมือ แต่มีค่ามีความหมายสำหรับผมมากกว่าอะไรทั้งนั้น เพราะเงินและอำนาจไม่ใช่สิ่งที่มันยั่งยืน แต่การรวมตัวของเยาวชนทุกชาตินี่แหละครับที่เป็นของจริง แต่เงินทอง ตลาดหุ้น ลมปากนักการเมือง มันไม่ใช่ของจริง"
และเพื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมชาวนาอย่างใกล้ชิด ในนาสาธิต จึงมี 'กีฬาชาวนา' ให้ร่วมสนุก ทั้ง แข่งเกี่ยวข้าว, แข่งดำนา, แข่งจับปลาตกคลัก-จับปลาใส่กระบอก ฯลฯ
บนเวทีวัฒนธรรม มีการแสดงดนตรีมากมาย ไม่เฉพาะจากเพื่อนชาวนาหลากรุ่นหลายวัยเท่านั้น แต่ยังมีพี่น้องชนเผ่าจากหลายพื้นที่ได้มาแสดงความภาคภูมิใจผ่านการแสดงของพวกเขาด้วย อย่างน้องๆ ในโครงการความรู้กู้บ้านเกิด จ.พระนครศรีอยุธยา ก็ไปร้องเพลงเสียงใสๆ ให้ฟัง
หนึ่งในความประทับใจของผู้ร่วมงานเห็นจะเป็นน้องๆ ในโครงการสืบสานและพัฒนาศิลปะเมืองเพชร ที่มาแสดงละครชาตรีเยาวชนให้ชมกันนั่นเอง แม้เด็กหญิงวัยเล็กสุดสี่ขวบจะร้อง-พูดไม่ชัดถ้อยคำก็ตามแต่ความน่ารักน่าเอ็นดูกินขาด
และงานนี้ยังเป็นเวทีแสดงความสามารถของนักร้องนักดนตรีระดับเยาวชนจากหลายโรงเรียนที่เข้าร่วมประกวดเพลงชาวนาอีกด้วย
"หลานๆ เหล่านี้ ก็คือหน่อเชื้อของสิ่งที่ดีงามต่อไป"
ลุงวิลิตของเด็กๆ กล่าวชม ก่อนหยอดเงินเพื่อตั้งเป็นกองทุนส่งเสริมศิลปะในโครงการดังกล่าวเป็นคนแรก
ส่วนในภาคของความสามัคคีมีให้เห็น ทั้ง การลงแขกเกี่ยวข้าว, การทำขวัญลาน, การทำบุญลาน ไปจนถึง การเข็นข้าวเข้าลาน, นวดข้าว, สีข้าวด้วยเครื่องสีมือ, ฝัดข้าวด้วยกระด้ง ฯลฯ โดยเฉพาะการนวดข้าวโดยใช้วัวลานนั้น มีให้เห็นไม่บ่อยนัก นอกจากนี้ ก็ยังมีการประกวดวัวที่มีเขางามวัว ระหว่างวัวเหนือ-ใต้ กันอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม มิได้หลงลืมเวทีวิชาการแต่อย่างใด ได้จัดให้มีการล้อมวงพูดคุยกันที่ ลานแม่บุญรวม สวท.เพชรบุรี ถึง 3 ประเด็น ได้แก่ ชาวนากับโลกาภิวัตน์, รากเหง้าปัญหาชาวนาไทย และ ทางออกปัญหาชาวนาไทย ซึ่งข้อสรุปต่างๆ จะนำไปสู่การทำวิจัยต่อไป
0 0 0
สำหรับวิลิต นั้น เริ่มเข้าสู่วิถีแบบชาวนาเมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ครานั้นหลายคนคงจำได้ว่าข่าวคราวของเขาดังขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งทีเดียว บางคนชื่นชมในการเลือกวิถีชีวิตของตนเอง แต่บางคนก็มองว่าเขาบ้า เฉกเช่นหลายคนเคยเจอะเจอในยามที่ได้เลือกวิถีชีวิตที่แตกต่าง
แต่เขาก็เข้าใจ และเลือกวิถีทำนาอย่างไม่กดดัน ไม่ได้เหงาใดๆ ทั้งสิ้น
"ผมไม่ได้มีความผิดหวังหรือตีเปอร์เซ็นต์ของความสำเร็จ" เขาบอกอย่างนั้น
จึงไม่น่าแปลกใจที่ในการเทศน์ครั้งหนึ่ง พระพยอมกัลยาโณ ได้ยกวิลิตเป็นตัวอย่างในเรื่องของ 'การมีความสุขโดยต้นทุนต่ำ' ด้วย
ในขณะที่น้ำเสียงของ ท่านพระครูโสภณพัฒนกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ ที่เห็นวิลิตมาตั้งแต่ทำนาไม่เป็นก็แสดงความชื่นชมว่า 'ตอนนี้เขาทำนาเป็นแล้ว'
ส่วนเพื่อนสนิทอย่าง ประทีป ขจัดพาล ก็ดีใจที่วิถีการเลือกของเพื่อนนอกจากแสดงให้เห็นว่า 'ทำได้จริง' แล้ว ยังเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนชาวนาคนอื่นๆ อีกต่างหาก
แต่ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรนั้น เรื่องสำคัญอยู่ที่ว่าเขามองตัวเองอย่างไร หลังจากได้ผ่านประสบการณ์ทั้งทำนา-รวมกลุ่มกับชาวบ้าน และโดยเฉพาะงานร้อยเคียวเกี่ยวรวงฯ ครั้งแรกนี้
บางที-บางเรื่องราวอาจจะเปลี่ยนไป!!
0 พอจะอธิบายถึงแก่นหรือเปลือกที่แท้จริงของงานครั้งแรกนี้ได้ว่าอย่างไร?
เรื่องของแก่นมันเป็นเรื่องระยะยาว เรื่องของเปลือกกระพี้ ก็คือเรื่องระยะสั้น ใช่ไหมครับ เรื่องวัฒนธรรมเป็นเรื่องระยะยาว เรื่องของเงิน อำนาจ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า เป็นเรื่องระยะสั้น แต่ทั้งเรื่องระยะสั้นระยะยาวก็ต้องทำ แต่ว่าถ้าทำเรื่องระยะสั้นแล้วหลงลืมเรื่องระยะยาว มันก็คือผิดพลาด อันนี้ผมก็คือปัญหา ผมคิดว่าเป็นปัญหาของคนทุกคนแหละที่จะต้องคิด
เรื่องระยะสั้น คือ เรื่องของการที่แบมือขอคนอื่นเขา เรื่องระยะยาว ก็คือ เรื่องของการที่เราสามารถพึ่งตัวเอง หายใจด้วยจมูกของตัวเอง แล้วยืนอย่างมีศักดิ์ศรี
เรื่องระยะสั้น คือ การหยอดบัตรกาเบอร์ แต่ว่าเรื่องระยะยาว คือ เรื่องที่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปถึงลูกหลานโดยมีศักดิ์ศรีในโลกอย่างนี้กันไปได้ยังไงนี่คือประเด็น
0 จึงเป็นสาเหตุให้มีการแสดงวัฒนธรรมหลายเวทีเลยในงานนี้
ใช่ครับ เพราะว่าวัฒนธรรมบ่งบอกศักดิ์ศรีไง จะเป็นลาวเป็นกะเหรี่ยง ไทดำ ไทพรวน แต่ทุกวันนี้เด็กกะเหรี่ยงในเพชรบุรี บางคนก็ไปใส่เกาะอกกันแล้ว นี่คือเห็นแก่เรื่องระยะสั้น แล้วสุดท้ายบั้นปลาย มันจะดีได้ยังไง เป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นวันนี้เราไม่ได้ปฏิเสธเรื่องระยะสั้น เราถึงยอมให้เป็นเวทีให้กับชาวบ้านพบกับนายกรัฐมนตรี แล้วเราก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องเลวร้ายไม่ได้มีอคติอะไร เขาก็ต้องมาปฏิบัติหน้าที่ ใช่ไหมครับ ประชาชนก็มาสอบถาม ใช่ไหมครับ แต่อะไรที่เกินเลยกว่านั้น ไม่ใช่งานของเรา
0 แล้วความสำเร็จของงานนี้ วัดกันที่ตรงไหน
ถ้าหากสาธารณชนได้รับรู้ถึงข้อมูลที่เกิดขึ้นในงานนี้ ทั้งคนกรุงเทพฯ คนต่างจังหวัด ชาวไร่ชาวนาถึงแม้จะไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ แต่ได้มีโอกาสรับรู้ ผมก็คิดว่าส่วนนี้ก็คุ้มพอสมควรสำหรับงานเพียง 5 วัน แล้วงานนี้เป็นงานที่รองานพื้นบ้านต่อไป ฉะนั้น งานนี้ระดับความสำเร็จ ถ้าว่าโดยมาตรฐานงานพื้นบ้านแล้ว ผมว่างานนี้ไม่ได้กร่อยเลย
0 ส่วนหนี้สินต้องเป็นเรื่องที่ต้องแก้กันต่อไป
ในงานวิชาการชาวนานี่ ชัดเจนเลยว่าข้อมูลที่ได้จะนำไปสู่การทำวิจัยถึงสาเหตุเรื่องของหนี้สินต่อไป ซึ่งปกติชาวบ้านอาจจะลืมทำต้นทุน แล้วก็ถูกกระแสมันพาไป จนลืมที่จะมาช่วยกันคิดคำนวน เพราะฉะนั้นถ้าดูก็จะเห็นว่าที่มาของหนี้ที่มันไม่หลุด ส่วนหนึ่งใช่มาจากต้นทุน ส่วนหนึ่งมาจากภายนอก คือระบบหลายอย่างที่มันมาดูดกลืนไม่เป็นธรรม ดอกเบี้ย และหลายอย่าง
เรื่องหนี้จึงเป็นแค่ปัญหาเดียวเท่านั้นนะครับ จริงๆ เรื่องหนี้เป็นวาระของปีนี้ แต่ที่จริงมันเป็นปัญหาเบื้องต้นเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราจะทำยังไงเราจะหลุดนี้โดยถาวร จึงนำมาสู่การเริ่มปรับระบบการผลิตที่เราไม่เป็นทาสเขา แล้วจึงนำมาสู่เรื่องที่ว่า เราจะเริ่มสร้างความมั่งคั่งร่วมกันได้อย่างไร อันนี้จึงเป็นภาพรวมของความยั่งยืน ยังมีอีกหลายขั้น แต่ตอนนี้สร้างศักดิ์ศรีและความสามัคคีก่อน
0 แล้วจะสานต่อยังไงอีก เพราะทางเครือข่ายหนี้สินฯ เองก็บอกว่าจะจัดให้ได้ปีละครั้งต่อไปในจังหวัดอื่น
เพชรบุรีเราจะสร้างสรรค์ต่อไปในธรรมชาติของพื้นที่แปลงนี้ถ้าเป็นไปได้ เราก็จะพยายามขอพระบรมราชานุญาต แต่ว่าอันนี้คงต้องลองประสานกันดูก่อน
อย่างปีนี้ เราทำเรื่องทูลเกล้าถวายข้าว ซึ่งข้าวทั้งหมดเป็นความตั้งใจที่ว่าเราอยากจะฟื้นฟูนาหลวงโดยความสมัครใจและสามัคคีกันเพราะนี่คือหัวใจหลัก
ส่วนเป้าหมายงาน คือ ชาวนาชาวไร่จะต้องสามัคคีกัน แล้วก็มาภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมี แล้วงัดในสิ่งที่ตัวเองมีสู้กับยุคโลกาภิวัตน์ ไม่ใช่รอคอย แล้วก็เป็นลูกไล่ของเขามาช้านานแล้ว ก็อย่าให้เป็นอีกเลย
0 ชาวนาจะใช้ความภาคภูมิใจสู้กับกระแสโลกาภิวัตน์ได้จริงแค่ไหน
ผมคิดว่า เหมือนเราเล่นมวยไทยครับ ถ้าเราบ้ามวยสากล เราเอาลูกหลานไปเตะซอคเกอร์เราคงสู้เขายาก แต่ถ้าเราเตะตะกร้อหรือเล่นมวยไทยนี่ มันก็จะอยู่ได้ ก็หมายความว่า เรามีความเก่งของเราต้องค้นหาให้เจอ แล้วพัฒนาความเก่งของเราให้อยู่รอด อย่าไปคิดเห่อเหิมตามกระแสของเขา เพราะอาหารข้าวปลาเรามีนะครับ
ทุกวันนี้เรากำลังจะเริ่ม รัฐบาลเองด้วย กำลังจะเอาข้าวปลาของเราไปแลกกับตลาดหุ้นกับคอมพิวเตอร์ นี่ก็คือการขายซึ่งสิ่งที่เป็นต้นทุนของเราออกไป แล้วแลกกับสิ่งใหม่ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เราไม่สามารถจะดูแลควบคุมได้เลย
เพราะฉะนั้น หมายความว่าสุดท้ายแล้วก็คือ กระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่านเรื่องเกษตรพอเพียงส่วนหนึ่งที่สำคัญที่เป็นพื้นฐาน แล้วไม่ใช่พอเพียงเพราะว่าจะต้องอยู่กันอย่างยากจนข้นแค้นอะไรกัน หรือพอเพียงแบบสันโดษกันต่อไปอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่
แต่หมายถึงว่ามันจะเป็นพื้นฐาน เพราะว่าถ้าเราพึ่งตัวเองได้ เราไม่ต้องง้อใคร เราก็จะมีเวลา มีสติปัญญาที่จะคิดพัฒนา แต่ถ้าตราบใดก็ตาม เราตามกระแสเขา เราก็เป็นทาสเขาอยู่ตลอดไป
0 พอเพียงในที่นี้จะหมายความว่า มนุษย์เงินเดือนทั้งหลายน่าจะหันกลับมามองตัวเองว่าจะต้องคืนถิ่นอะไรหรือไม่
ผมคิดว่าไม่ถึงขนาดนั้นนะครับ คำว่าพอเพียงนี้ ผมคิดว่าไม่บังอาจจะไปตีความได้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องที่ผมพยายามศึกษาจากพระราชดำรัส และหลักความจริงชีวิตของคนเรา
ทีนี้ ถ้าคนเรามีสติปัญญา สิ่งใหม่หรือสิ่งเก่า ไม่มีสิ่งใหม่ที่แท้จริงในโลก แล้วก็ไม่มีสิ่งที่โบร่ำโบราณล้าสมัยอย่างแท้จริงในโลก หมายความว่า สิ่งใดก็ตามที่มันรับใช้ต่อชีวิตวิถีของเราได้ ทุกอย่างใช้ได้หมด เช่นการใช้วัว ทำไมเราพูดถึง ก็เพราะว่าสักวันหนึ่งคุณจะไปมั่นใจได้ยังไง คนรวยจะไปรวมกันตายเพราะเหตุสึนามิ
มันน่าจะสอนอะไรเราบางอย่างอยู่ ว่าคนเราจริงๆ แล้ว ความมั่นคงมันน้อยนิดเหลือเกิน ฉะนั้นความมั่นคงที่เราพอจะมีอยู่ได้ โดยอาศัยความที่เราไม่ไปหลงตามกระแส ถ้าน้ำมันแพงลิบขึ้นมา วัวยังใช้ได้ครับ ใช่ไหมครับ
หรือเราทอดทิ้งงานช่างที่ดี อย่างเกวียนเล่มหนึ่งขึ้นมา ประกอบด้วยชิ้นส่วน การเข้าลิ่ม โดยฝีมือช่างไม้จริงๆ ไม่จำเป็นต้องทำเกวียนอย่างเดียวด้วยซ้ำ แต่เราก็กลับคิดแต่จะเอาเกวียนเก่าไปทำโต๊ะทำเก้าอี้ แต่วิชาช่างซึ่งอยู่ในวิถีชาวนายังมีอยู่ เราก็ไม่เคยไปส่งเสริม มาเอาวิชาปั้นดอกไม้ คือผมอยากจะเรียกว่ามันปัญญาอ่อนน่ะ (หัวเราะ) เอามาส่งเสริม มันไม่ได้โตจากรากของเรานี่ คิดว่ามันจะไปได้หรือ
0 การโหยหาอดีต ไม่ใช่แค่การชื่นชมของเก่า
ของในอดีตไม่ใช่แค่ของอนุรักษ์เอาไว้เฉยๆ หรือสตั๊ฟฟ์ไว้เฉยๆ 'เรื่องของอดีตคือขุมทรัพย์' ที่เราสามารถนำมาใช้ในโลกปัจจุบันมากกว่า
0 การสู้ในยุคโลกาภิวัตน์นี้คุณวิลิตค่อนข้างให้ความสำคัญเรื่องการคัดสรรพันธุ์พืช
ครับ ทุกวันนี้พูดถึงเรื่องปุ๋ยชีวภาพ เรื่องเกษตรปลอดสารพิษ กันเยอะมาก ผมคิดว่าเป็นไปไม่ได้ครับ ถ้าคุณไม่พัฒนาพันธุ์พืชที่มันเหมาะกับการปลูกโดยปลอดสารเคมี เพราะพันธุ์พืชถูกคัดขึ้นมามันจะถูกดัดนิสัยตามสภาพแวดล้อมของมัน
30 ปีที่ผ่านมานี้ พันธุ์พืชเกือบทุกอย่างมันถูกดัดนิสัยให้ติดยา เพราะฉะนั้นเรื่องง่ายนิดเดียว ก็คือว่า เราคัดพันธุ์ของมันออกมาภายใต้สภาพแวดล้อมที่มันไม่ติดยา ถ้ามันติดยามันจะตายไป เหลือบางต้นที่มันจะคงอยู่ แล้วต้นที่เหลือนั้นแหละที่เราจะพัฒนาขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
0 ต้องทำเองหรือให้ผ่านสถาบันอะไรมั้ย
ไม่จำเป็น นี่เป็นเรื่องง่ายๆ เลย อย่างวัวไม่ดี ถ้าขวิดเจ้าของ เขาก็ฆ่า ข้าวไม่ดี ให้รวงไม่ดีเม็ดลีบ เขาก็ไม่เอา แต่ทุกวันนี้เราไม่เคยคัดพันธุ์แล้ว เราเทขายๆ เท่านั้นเอง ส้มลูกไหน ส้มต้นไหนดี เราก็ขยายจากส่วนนั้น ถ้าให้ดีที่สุด ก็คือ ทั้งทนทั้งดี โดยที่เราไม่ต้องไปซื้อยาบริษัท เพราะฉะนั้น การมีพันธุ์ของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
0 ช่วยเล่าประสบการณ์การเลิกอาการติดยาให้เมล็ดพันธุ์
ที่มีก็เรื่องถั่วฝักยาว จริงๆ เมื่อก่อนผมพยายามจะไปหาถั่วฝักยาวพื้นบ้านมา เพราะเนื้อแน่น กินดี ฝักไม่ใหญ่ ซึ่งจริงๆ มันไม่ต้องใหญ่ก็ได้ เพราะยังไงมันก็ต้องหั่นๆ สับๆ ออกมาอยู่แล้ว เราไม่ได้กินถั่วฝักยาวทั้งเส้นอยู่แล้ว ใช่ไหมครับ ฉะนั้นถั่วฝักยาวใหญ่นี่ มันอาจจะดูดีในตลาด แต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็น
แม้กระทั่งถั่วฝักยาวในตลาดนี่ ผมก็นำมาปลูก ซื้อในร้านค้านี่แหละ เพราะว่ามันติดยา เราก็คัด มันไม่ดีสิบต้น ดีต้นเดียว ไม่ดีสิบฝัก ดีฝักเดียว เราก็เอาฝักนั้นแหละมาทำพันธุ์เสีย กินฝักที่ไม่ดีก่อน ปีต่อไป เราก็เอาฝักดีๆ นี่แหละ มาคัดอีก เพียงปีที่สองเท่านั้นเอง เราก็ได้ถั่วฝักยาวที่มีขนาดเท่าๆ กับเจ้าข้างๆ ละ ในขณะที่เจ้าข้างๆ ต้องเสียตังส์ไปเท่าใดฉีดพ่นยา อย่างนี้เป็นต้น
เรื่องข้าวก็เหมือนกัน แม้แต่ปุ๋ยชีวภาพที่ฮิตๆ กันอยู่ ๆ นี่ครับ ผมขี้เกียจ ผมไม่ได้ใส่เลย ผมไถกลบตอซังข้าวลงไป มันก็เป็นปุ๋ยตามธรรมชาติอาจจะหว่านขี้วัวไปบ้าง ถ้าขี้เกียจก็ไม่ต้องทำ ถ้าข้าวตัวไหนไม่ดี เราไม่ได้กินมันก็แห้งตายไป ข้าวไหนที่ดีเราก็คัดพันธุ์เก็บไว้บ้าง ปีแรก ปีที่สอง ปีที่สาม เราจะมีหลักประกัน 50-60 ถังโดยไม่ได้ต้องทำอะไรเลย อย่างนี้เป็นต้น
0 มีอะไรอีกที่ไปช่วยเลิกอาการติดยา
ก็มีไม่มากหรอกครับ หลักๆ ก็ข้าวนี่แหละ กับถั่วตัวนี้ อีกอย่างผมคงไม่เช่านาอีกแล้ว เพราะขี้เกียจ หลายคนอาจจะขี้เกียจได้ไม่เท่าผม ไม่ใช่ว่าเรื่องอะไรหรอก
แต่ว่าเราศึกษาในเรื่องหลักการ แล้วเราก็พยายามเรียนรู้ แล้วผมก็ไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ถ้าผมยังพอทำได้ ทำไมพี่น้องเกษตรกรที่เป็น 'ตัวจริง' ทำไมจะทำไม่ได้ หรือใครที่มาจากกรุงเทพฯ ที่อยากจะมาทำ ทำไมจะทำไม่ได้
0 ขอย้อนกลับไปสักนิดถึงตอนที่คุณวิลิตตัดสินใจไปทำนา ตอนนั้นมีหลักการอะไรอยู่ในใจแล้วหรือ
ถ้าว่ามีแต่หลักการก็ใช่หรอก แต่เราไม่ได้คุ้นเคยกับการปฏิบัติอะไรมากมาย แต่ที่ผมเห็นแน่ๆ ว่า ถ้าเดินตามสภาพที่ถูกชักนำโดยสื่อมวลชน กระแสรัฐบาล กระแสโลกาภิวัตน์ด้วยนี่ ผมไม่เห็นทางรอด แล้วโดยคำที่น่าประทับใจก็คือคำกล่าวของ หม่อมเจ้าสิทธิพร (กฤดากร) ยังเป็นคำอมตะอยู่เสมอเลยว่า 'เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง'
แล้วผมก็รู้สึกว่า ผมปฏิเสธความเท็จน่ะ อันนี้อันที่หนึ่งก่อน แต่ความจริงเราไม่รู้หรอก ใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้น การค้นหาความจริงเป็นเรื่องสำคัญ แต่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมรู้จริงทั้งหมดหรอก แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดผมก็เห็นเค้าของหลักปรัชญาข้อนี้ แล้วในทางปฏิบัติ มันเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อยู่นะ แต่คุณจะพิสูจน์อะไรบนตลาดหุ้น บนกองเงินกองทอง หรือการมอมเมาล่ะ
0 ที่เปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งเพราะเบื่อวิถีเก่าๆ หรือต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
ก็เป็นทั้งสองอย่างครับ แต่ที่แน่ๆ ผมเห็นว่า สิ่งที่เคยคิดว่ามันเข้าท่า มันไม่เข้าท่า ข้อนี้จะเรียกว่าเบื่อหรืออะไรก็ตามแต่ เพราะผมไม่ยอมรับการที่มาเสี้ยมสอนให้คนต้องมาแข่งขัน แล้วคำอธิบายที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ผมเห็นว่า มันไม่เข้าท่า แต่ว่าสังคมกำลังจะพยายามทำให้เป็นสิ่งที่มันเข้าท่า
อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า สิ่งที่ผมทำได้ ก็คือ ผมมีสิทธิ์จะไม่ให้ความร่วมมือ ผมมีสิทธิ์ที่จะไม่เป็นม้าแข่งให้ใครมาจูง
อันที่สอง ผมมีความเชื่อว่า ชีวิตคนเราเมื่อแสวงหาความจริงไป ยังไงมันก็ไปรอด แล้วผมก็ได้เห็นความจริงมากมายในสังคมนี้ รวมทั้งความทุกข์ยากของคนที่โดนบีบคั้นจากการที่บีบบังคับให้เขาต้องมาแข่งขัน มันก็เลยพูดยากว่าเป็นความเบื่อหน่าย
อย่างเมื่อก่อนที่มีข่าวว่า วิลิต เตชะไพบูลย์ เซ็งชีวิตอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) มันก็เลยเป็นเรื่องที่ผมเข้าใจได้ว่า ภาษาที่เขาอธิบายเรา กับ ความเป็นจริง บางทีมันหาคำพูดอะไรมาอธิบายมันก็ไม่ง่ายเหมือนกันนะ
0 มาเริ่มด้วยความมั่นใจแค่ไหน
มันก็พูดยากนะครับ ถ้าโดยอาชีพที่หมายถึงรายได้ จริงๆ แล้วรายได้ผมก็ไม่ใช่ได้จากการเกษตร ผมมีข้อได้เปรียบไง ผมมีต้นทุนส่วนนี้ แต่ผมก็ไม่ได้มันใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย หรือว่าสิ้นเปลืองอะไร ผมใช้มันเพื่อเรียนรู้ ผมโชคดีกว่าคนอื่นที่อาจจะต้องอยู่ในสภาพบีบคั้น ผมก็พยายามที่จะทำให้คนที่เสียเปรียบเขาได้
นี่ก็เรียนรู้กันมาเรื่อย ผมให้แต่ผมได้ ผมอ่อนน้อมแต่ผมก็ฉลาดขึ้น เพราะว่าพี่น้องชาวบ้านได้แสดงให้ผมเห็น เขาอาจจะไม่รู้ตัว ผมจึงพยายามให้เขาตื่นขึ้นมา
0 ระดับความรู้ความชำนาญมากน้อยเพียงใด
มันเริ่มจากไม่เป็นอะไรเลยครับ ทุกวันนี้ก็พอรู้ คือจริงๆ ถือว่าอ่อนหัดแหละ แต่ถามว่าความเข้าใจและก็พอจะทำได้บ้าง พอที่จะร่วมกับเขาได้บ้าง ก็แลกเปลี่ยนกับพวกเขา พูดภาษาเดียวกัน ทำอะไรด้วยกัน อันนี้มันก็พอตัวแหละ
0 ที่ว่าพอทำได้บ้างนี่-กี่ไร่
ของผมเองที่ 8 ไร่ แต่ว่าทำรวมกันกับเพื่อนสมาชิกก็ประมาณ 10-20 ไร่ ก็มานวดแล้วก็แบ่งกันกิน
0 วิถีที่เลือกนั้นเคยเจอภาวะว่าชาวบ้านมองว่าบ้า
มีครับ ก็ธรรมดา แต่ผมก็คิดว่า โลกที่มันสับสนอย่างนี้ มันเป็นเพราะว่าใครตามกระแสก็ไม่บ้า ใครที่ทวนกระแสมักจะถูกมองว่าบ้า
ถ้าเรามองย้อนไปสมัยก่อน อย่างพระพุทธเจ้าก็เริ่มจากสิ่งนี้ซึ่งคิดดูเถอะว่าท่านบ้าไหมล่ะ นับประสาอะไรกับพวกเราล่ะ เรื่องของกินของใช้เรื่องเศรษฐกิจที่มันเป็นจริง เรื่องของความอยู่รอด ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มันเป็นสิ่งพื้นฐาน แล้วใครล่ะที่บ้า
การสร้างการแข่งขัน สร้างว่าโลกจะต้องเป็นโลกาภิวัตน์ สร้างเรื่องอะไรต่างๆ เป็นนิยายปรัมปราทำให้เราจะต้องวิ่งตามอยู่ทุกวันนี้ ใครกันล่ะที่บ้า
0 นอกจากทำนาแล้ว คุณวิลิตสนับสนุนการรวมกลุ่มในท้องถิ่นด้วย
ตอนแรกเป็นกลุ่ม 'คนรักเมืองเพชร' เป็นการเชิญชวนกันกับกลุ่มคนที่สนใจจะพัฒนาท้องถิ่นของเพชรบุรีหลายคน โดยมากจะเป็นกลุ่มอาจารย์ข้าราชการ แต่มีจิตสำนึก ก็มาชวนกันคุยกันเรื่องนี้แล้วก็ตั้งกลุ่ม ทำเรื่องวัฒนธรรมบ้าง อนุรักษ์แม่น้ำบ้าง ก็เป็นเวทีของกลุ่มย่อยต่างๆ ออกไปอีก แต่ก็ไม่ถึงชาวนาชาวไร่ ผมก็คิดฝันตั้งแต่ตอนนั้นน่ะ ประชากรเมืองเพชรบุรียังมีออกไปไกลที่เราไปยังไม่ถึง แต่เราก็ยังเชื่ออยู่ว่า จริงๆ แล้วพวกเขาคือ 'ขุมทรัพย์ของแผ่นดิน'
ทีนี้พอมีโอกาสที่ผมมาทำเอง ก็เลยขยายส่วนนี้ออกมาทำ แล้วยังมีความเชื่อมั่นว่า พวกเรายังร่วมกันพัฒนาหลายๆอย่างได้ ถึงแม้จะมีอุปสรรคขวางหน้าอยู่ มันก็ไม่เป็นปัญหา ก็ยังดีกว่าคนที่อยู่นิ่งก็เหมือนปลาตายลอยตามน้ำไป
0 นั่นคือกลุ่มเพื่อนชาวนา
กลุ่มนี้ก็ถือว่าโตมาจากกลุ่มคนรักเมืองเพชร ทุกวันนี้เราก็ถือว่าเราเป็นเครือข่ายซึ่งกันและกัน และถ้าเป็นแกนประชาชน หมายถึงว่า คนที่มีการศึกษาในระบบ แล้วเป็นครูอาจารย์ที่ไม่ใช่ชาวไร่ชาวนาว่างั้นเถอะ เป็นฝ่ายวิชาการเป็นคนที่รักแผ่นดิน อยากให้แผ่นดินมันดี พวกเขาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมกับผม มาเสริมให้เกิดเป็น กลุ่มเพื่อนชาวนา แล้วกลุ่มเพื่อนชาวนาก็ไปเสริมกลุ่มเกษตรกรอีกทีหนึ่ง
0 สิ่งสำคัญคือต้องมีแนวร่วมไม่อยู่ในภาคส่วนไหนของสังคม
ผมคิดว่าสังคมนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งครับ ทุกวันนี้ ที่อยากจะสื่อก็ไม่แต่เฉพาะกับชาวนาชาวไร่อย่างเดียว แต่หมายถึงทุกคนที่รักแผ่นดินนี้ รักโดยแท้จริง ไม่คิดแต่เฉพาะหน้าของตัวเอง
0 พลังประชาชนจะเข้มแข็งได้ต้องมีสื่อ อย่างที่ สวท.เพชรบุรี ก็เปิดโอกาสให้มีรายการ 'เพื่อนชาวนา' ด้วย ตรงนี้ดีหรือไม่ในการสื่อข้อมูลข่าวสารระหว่างเพื่อนชาวนาด้วยกัน
ช่วยได้มากครับ สมัยก่อนชาวนาชาวไร่ไม่มีปากเสียงหรอกครับที่จะได้แสดงความคิดเห็นอะไร เหตุที่ว่าปากเสียงของชาวนาชาวไร่มันไม่มีเพราะอะไร นั่นเป็นเพราะรายการเกษตรทั้งหมด 99% รับใช้บริษัทเกษตร และรับใช้กระทรวงเกษตรฯ ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มันพิสูจน์แล้วว่าข้าราชการกระทรวงเกษตรฯ ที่ดีมี แต่ระบบมันไม่เป็นไปอย่างนั้น มันกลายเป็นกลไกที่หนึ่ง มันไม่ได้รับใช้เกษตรกร มันเป็นกลไกที่รับใช้ทิศทางของรัฐที่จะนำไปสู่การส่งออกอะไรก็ไม่รู้ไง ฉะนั้น เกษตรกรถึงเจ๊งวันยังค่ำไง
0 สรุปคือ พลังพี่น้องเกษตรกรในยุคนี้จะเข้มแข็งได้ต้องรวมตัวกัน
ครับ ต้องรวมตัวกันแม้จะมีอุปสรรค เพราะการที่แตกกันมานาน เป็นปัจเจกกันมานาน แต่ถ้าเราฟื้นฟูวัฒนธรรม เหมือนคนทำกฐินผ้าป่า วัฒนธรรมที่มันเอื้อเฟื้อ ไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนหรือศาสนาใดก็ตาม เรามีของเราอยู่แล้วฟื้นสิ่งนี้ขึ้นมา บนเหตุบนผลที่ว่ามันเป็นไปเพื่อความอยู่รอดจริงๆ นะ มันไม่ใช่ฟื้นขึ้นมาเพราะจำใจต้องมาฟื้นหรอก ถ้าเราเชื่อมั่นอย่างนี้จริงๆ เราทำได้ครับ อุปสรรคอะไรก็แก้ได ยังดีกว่าที่เราแตกแยกกันอยู่แล้วให้อิทธิพล ผู้มีอิทธิพลต่างๆ มาครอบงำ และเสี้ยมพวกเรา
วันนี้ผมก็ยังคิดเลย ก็คือว่า ที่บ้านผมบางทีจับปลาช่อนมาจะขังไว้ในรองส้วม พวกเราอยากเป็นปลาในรองส้วมหรือเปล่า เพราะปลาช่อนในรองส้วม เวลาบางทีขังนาน น้ำเสีย หิวบ้าง หงุดหงิด เครียดบ้าง มันก็กัดกันเอง แล้วต่างคนก็ต่างไปลงหม้อเหมือนกัน
เราน่าจะไปเป็นปลาในนาข้าว แม้มันไม่ได้รอดตายทั้งหมดหรอก เหมือนสึนามิอะไรต่างๆ ภัยในชีวิตมันมีมากพออยู่แล้ว แต่ภัยที่มากที่สุดคือเราถูกขังตัวเองนี่ หมดอิสรภาพแล้วก็ต้องมาทะเลาะมากัดกันเอง ปลาที่มีอิสรภาพจึงมีความหมายตรงนี้ไง
อย่างน้อยที่สุด ถ้าเราอยู่ในนา แม้น้ำตื้นแค่ไหน เรายังมีแรงโดดออกไป เป็นความหวังสุดท้าย แต่ถ้าเป็นปลาในรองส้วมนะครับ เราไม่มีความหวังอะไรเลย นี่แหละคือภาพสะท้อนชีวิตของทั้งชาวไร่ชาวนา และทั้งคนชั้นกลางด้วยนะครับในยุคโลกาภิวัตน์ เรากำลังจะเป็นปลาในรองส้วมนะ
0 ทำยังไงจะได้ไม่เป็นปลาในรองส้วม
นี่แหละผมถึงบอกว่า การสามัคคี การตระหนักรู้ถึงความเป็นจริง การที่เราไม่แบมือขอใครแม้แต่ความคิด แต่เรารับฟัง ใช่ แต่ไม่เป็นเหมือนอย่างแต่ก่อนที่ถูกเขาครอบ เขาครอบๆๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ใช่ไหมครับ เราจะมีศักดิ์ศรีมากขึ้น มีความเบิกบานในจิตใจ มีเพื่อนมากขึ้น และพัฒนาจากตรงนี้ต่อไปๆๆ
ผิดพลั้งก็ให้อภัยซึ่งกันและกัน แล้วก็พัฒนาต่อไป แยกมิตรแยกศัตรูให้ถูก ว่าพวกเรานี้ไม่ใช่ศัตรูกัน คนในชาติไม่ใช่ศัตรูกัน แต่มันมีศัตรูที่แท้จริง ก็คือ ความหลงผิดที่มันถูกครอบมาจากคนผู้เอาเปรียบ ซึ่งอาจจะข้ามโลกมาหาเรา อันนี้ คือ อิสรภาพ แล้วเราก็จะเป็นปลาที่เป็นอิสระ แล้วสิ่งต่างๆ มันก็จะตามมา ผมเชื่ออย่างนั้น
0 ในเชิงวัฒนธรรมต่อไปจะมีอะไรต่อ
ตอนนี้คิดว่าความตั้งใจของชาวบ้านที่คุยกันไว้ ก็คือ ปีนี้ที่เพชรบุรี เป็นงานใหญ่หน่อยหนึ่ง แต่ปีต่อไปเราจะจัดเฉพาะของที่เพชรบุรี เรียกว่าเป็นงานปีของชาวนาชาวไร่ในเพชรบุรี ประกอบกับว่า ถ้าหลังงานมาสรุปกัน ถ้าเห็นด้วยก็คงทำกันเรื่อยไป
ก็ยังเสนอกันอยู่ว่า ถ้าสามารถใช้ที่นี้ได้ โดยที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร เราก็จะมาขอใช้ทำข้าวแล้วก็ถวายในหลวงทุกปี แต่ว่าในส่วนภาพใหญ่ ร้อยเคียวเกี่ยวรวงฯ ก็คงปรึกษาเครือข่ายหนี้สินฯ ในภาพรวมอีกที ว่าเห็นหรือไม่ว่าจะทำ แต่คงไม่ทำทุกปีเพราะเป็นงานใหญ่ อาจจะเหมือนโอลิมปิกคือผลัดกันทำไป 4 ปีครั้งอะไรอย่างนี้
0 จะเน้นงานด้านปลุกสำนึกเรื่องศักดิ์ศรีเป็นหลัก
ผมคิดว่า ถ้าจะสรุปรวบยอดจริงๆ ผมยังนึกไม่ออกว่า ทุกวันนี้ แม้แต่ตัวชาวนาเองหรือใคร ลองพูดดูสิ ว่ากระดูกสันหลังของชาติ จริงๆ ในใจมันจะห่อเหี่ยวทุกคน คนเราตราบใดก็ตามที่เราไม่มีศักดิ์ศรีนะครับ หรือไม่มีความมั่นใจในศักดิ์ศรีของตัวเอง คุณจะไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้เลย คุณก็จะเป็นฝ่ายถูกเขาพัฒนาแล้วพัฒนาให้อย่างที่เราบอกว่า ฉิบหายน่ะ (หัวเราะ)
0 ในแง่ของลูกหลานจะเริ่มจากจุดนี้ก่อนด้วย
ใช่ครับ ผมอยากจะบอกว่าใครจะอินเทรนด์หรือไม่อินเทรนด์นะ โลกนี้มันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์ ถ้าใครไม่รู้ก็อยากจะบอกว่า ภาพๆ หนึ่งมันเปลี่ยนไปได้เสมอแหละ
สมัยก่อนเจ๊กโดนดูถูกตอนนี้ ใครๆ ก็อยากจะสาวหารากเหง้าความเป็นเจ๊ก แต่ว่าชาวนาชาวไร่ก็เช่นเดียวกันครับ หรือชนชาติก็เช่นเดียวกัน
ผมว่าแนวโน้มผู้นำในโลกที่จะมีศักดิ์ศรีมีค่ามีความหมายและมีแต่คนจะคอยวิ่งหา คือคนที่มีรากเหง้า วัฒนธรรม ครับ ไม่ว่าจะเป็นชาวนา ชนชาติ มันจะกลับมา
แต่คนไม่มีรากเหง้านั่งเฝ้าแต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ สุดท้ายแล้วจะว้าเหว่ที่สุด และไม่สามารถทำอะไรได้หรอก ผมยังเชื่ออย่างนั้นนะครับว่า นี่จะเป็นแนวโน้มในโลกยุคต่อไป
0 วิถีที่จะพลิกความภาคภูมิใจคือชักชวนให้คนหนุ่มสาวกลับท้องไร่ท้องนา
ครับ ทุกคนต้องหลากหลาย คนที่ไม่มาทำแต่ทำอย่างอื่น ก็ไม่ผิดแต่ขอให้เข้าใจก็เพียงพอแล้ว เพราะเราอยู่ในสังคมนี้ตั้งแต่ประวัติศาสตร์มา ไม่ได้มีบอกว่าทุกคนต้องมาไถนา แต่ถ้าเราเข้าใจกัน เราไม่เบียดกันเอง แล้วเราส่งเสริมซึ่งกันและกันทุกคนก็จะมีอาหารที่ดีกินกัน แล้วก็ปลูกของที่ปลอดสารพิษให้อีกคนหนึ่งกิน ถ้าเราเข้าใจความเชื่อมโยงกันตรงนี้ ใช้ประโยชน์ร่วมกันตรงนี้แหละครับ คุณไม่ต้องไปทำอะไรหรอก แค่ให้กำลังใจเขา แล้วก็พิจารณาในสิ่งที่ตนเองทำว่าเป็นสัมมาอาชีวะจริงหรือเปล่า สิ่งที่ทำอยู่ ปรับปรุงของตัวเองให้ดีเพื่อชีวิตที่มันดีอยู่-ตายไม่ว้าเหว่ ผมคิดว่านี่เป็นประโยชน์ร่วมครับ
0 มีความคิดเห็นอย่างไรต่อ 'คนพันธุ์เอ' โครงการที่ประกวดคนหนุ่มสาวไปเป็นประชาสัมพันธ์ของ ธ.ก.ส.
คือผมคิดว่า ตอนนี้ชาวบ้านยังไม่ทัน เพราะว่าภารกิจที่เขายังต้องดูแล้วกระแสภายนอกที่เข้ามา
อย่าว่าแต่ไม่มีโครงการนี้เลย คือเด็กๆ ก็ถูกดูดออก โดยการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยทีวี สื่อต่างๆ แต่คนพันธุ์เอ ผมคิดว่าเป็นลักษณะของการตอกย้ำ ซึ่งผู้ที่มาทำการตอกย้ำนี่ ทำผิดหน้าที่ ผิดฐานะ เพราะจริงๆ แล้วตัวเองก็ยังไม่ได้ยอมรับ หรือทบทวนเลยว่าบทบาทของตัวเอง จริงๆ มันเป็นสาเหตุของความยากจน แต่ว่ายังไม่ทันไรก็ยังมาตอกย้ำอีก
คือผมคิดว่า เหมือนการไม่ละอายใจ ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง แล้วก็ยังมาตอกย้ำให้ลูกหลาน มันหมดศักดิ์ศรีไปอีก
ตัวอย่างคนพันธุ์เอ มีการตอกย้ำมาหลายอย่าง แต่คนพันธุ์เอเป็นการตอกย้ำที่น่าเกลียดที่สุด จากสถาบันที่มันน่าเกลียด ไม่ควรทำ ควรละอาย ผมเห็นใจเด็กๆ พวกนั้นนะครับ เด็กที่ได้รับการคัดเลือกขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นลูกหลานชาวไร่ชาวนาเหมือนกัน เขาไม่มีความผิดอะไร แต่คนที่ทำ สมควรจะละอายซ้ำหลายๆ เท่า ในสังคมสภาพที่มันเป็นอยู่อย่างนี้แล้ว ทำไมคุณไม่ทำให้เด็กรู้สึกว่า ภาคภูมิใจในความสามารถที่มีในท้องถิ่นของเขา คุณกำลังจะทำอะไร คือมันน่าเศร้านะครับ
0 ตอนนี้เหมือนกับว่าเอาความดังนำทาง
ผมคิดว่ามันคงเป็นแผนการแปรรูปล่ะมั้ง แปรรูปเยาวชนของเราให้กลายเป็นวัตถุทางสังคม วัตถุที่จะเอามาซื้อขายกันมากขึ้น แล้วแปรรูปตัวเอง เพื่อหวังจะขายต่างชาติในอนาคตเพราะมีที่อยู่ในนั้นเยอะ
0 จากประสบการณ์ 3-4 ปีที่ผ่านมา ที่ชนบทแห่งนี้มีคำตอบจริงๆ มั้ย และมีคำตอบอะไร
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ผม คำตอบไม่ได้อยู่ที่คุณ คำตอบอยู่ในตัวชนบทเอง
ทุกวันนี้ที่เราพูดถึงก็คือว่า เมื่อเกิดความตื่นขึ้นมา คำตอบหรือแสงสว่างมันก็คือสิ่งนั้นเองที่ตื่นขึ้นมา เหมือนคุณไม่มีใครมาฉายแสงสว่างให้ได้หรอกถ้าเราหลับ แสงสว่างเกิดขึ้นเมื่อเราตื่น ชนบทก็เช่นกัน คือเมื่อชนบทตื่น ชนบทก็จะเกิดแสงสว่างในตัวของตัวเองขึ้นมา ไม่มีใครจะมาให้แสงสว่างให้ได้หรอก
0 เพียงแค่เราหันกลับมา
ใช่ครับ ตื่นขึ้นมาแล้ว มารู้ตัวตนของตัวเอง รู้ความเป็นจริงว่า หนี้ไม่ใช่ความเป็นจริง การกู้เงินไม่ใช่ความเป็นจริง การรอการจำนำราคาข้าว การรอความช่วยเหลือไม่ใช่ความเป็นจริง
แต่การกินข้าวเมื่อหิว ก็ต้องลุกขึ้นมาติดไฟ หุงหม้อ ใช่ไหมครับ เมื่อขาดของก็ต้องปลูก เมื่อตัวสกปรกก็ต้องล้างตัวอาบน้ำ นี่คือความตื่นครับ
แต่ความหลับใหล ก็คือการไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้เลย เนื้อตัวมอมแมม ข้าวก็ไม่หุง ทำอะไรได้ก็ไม่ทำ รอคนอื่นเขามาช่วย นี่คือความหลับ
0 การเริ่มต้นต้องหักดิบ หรือต้องวางแผนก่อนสำหรับการตื่น
อันนี้มันเป็นเรื่องของขบวนการ ทุกอย่างการสร้างบารมีต้องใช้เวลาการสั่งสม ชีวิตเราต้องใช้เวลา ผมก็ยังต้องใช้เวลาของผมที่จะต้องพัฒนาตัวผมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นชีวิต สังคม ชีวิตชุมชน ชนบทก็เหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราไม่ทำ เราก็คือเป็นผู้หลับใหล อยู่ก็อยู่เปล่า ตายก็ตายเปล่า แค่นั้นเอง
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วิถีชาวนาโลกาภิวัตน์ ฤๅเป็นปลาในรองส้วม?
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
05:55

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest