จากนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ทักษิโณมิกส์ คือยี่ห้อทางการเมือง
ความดีอย่างหนึ่งของรัฐบาลทักษิณคือ ทำให้เกิดศัพท์ใหม่ๆ ขึ้นมากมาย ศัพท์ยอดฮิตในแวดวงเศรษฐกิจและการเมืองคือ 'ทักษิโณมิกส์' และ 'ประชานิยม' ซึ่งมีการอธิบายความแตกต่างกันออกไป ในฟากผู้นิยม (วิพากษ์) รัฐบาล
กระนั้นก็ดี ในฝั่งรัฐบาลก็มีการให้นิยาม 'ทักษิโณมิกส์' ไว้เช่นกัน
ดังที่ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายเศรษฐกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้บอกเล่าถึงคำๆ นี้ไว้ในหนังสือ 'เผชิญหน้ากับการท้าทาย' ว่า
"นโยบายของเราถูกขนานนามว่าทักษิโณมิกส์ คนขนานนามไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นนักวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์ผู้หนึ่ง นโยบายนี้และชื่อนี้ถูกถากถางจากหลายๆ ส่วน ในสื่อตะวันตกและนักวิชาการ อารมณ์และความเข้มข้นในการโจมตี ทำให้ผมประหลาดใจว่าข้อวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกของเราออกนอกรีตนอกรอยมากจริงๆ หรือ...
"ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้เอาชนะปัญหานานา ที่เป็นมรดกสืบทอดจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 1997 และพลิกฟื้นเศรษฐกิจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง... แต่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ รัฐบาลนี้ได้วางแผนเชิงยุทธศาสตร์เพื่อวางรากฐาน และตระเตรียมเศรษฐกิจของประเทศเท่าที่จำเป็นในการเผชิญหน้ากับการท้าทายของศตวรรษที่ 21"
โดยให้รายละเอียดคร่าวๆ 4 ประการ ดังนี้ 1) กำหนดให้รัฐบาลทำหน้าที่สำคัญในการหล่อหลอมกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคเอกชนให้ปรับตัว และก้าวไปสู่การปรับประสิทธิภาพในการผลิตของตนเอง โดยยุทธศาสตร์ของไทยไม่ควรจะเป็นการลอกแบบเอามาจากไหน แต่จะใช้รูปแบบทางเลือกที่เหมาะสมกับสภาวะของเราเองต่อไป 2) ลงทุนและการเสริมสร้างความได้เปรียบตามธรรมชาติที่มีอยู่ รัฐบาลไทยไม่เพียงมีแผนลงทุนสำหรับท่าอากาศยานใหม่ ระบบขนส่งมวลชนใหม่ และแผนการสร้างเมืองใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังอาจช่วยในการสร้างสาธารณูปโภคที่จะเอื้อต่อการลงทุนใหม่ๆ ของภาคเอกชน
3) การสร้างกันชนอย่างชาญฉลาดให้กับเศรษฐกิจไทย รัฐบาลกำหนดนโยบายที่มีหลากหลายมิติ เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่สามารถทนทานต่อผลกระทบทั้งจากภายในและภายนอกประเทศขึ้น เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและบริการด้านสุขภาพ ว่าจะเป็นกันชนที่ดีสำหรับรองรับผลกระทบจากภายนอก ในขณะที่การส่งเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ก็จะช่วยสร้างกลุ่มผู้มีบทบาทใหม่ในระบบเศรษฐกิจ ช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีความหลากหลายลดผลสะเทือนจากการต้องพึ่งพาบรรษัทธุรกิจขนาดใหญ่ลง 4) ส่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับรากฐานของเศรษฐกิจในระดับมหภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณ เรื่องของการจัดทำงบประมาณสมดุลในปี 2005 รวมถึงการบริหารความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมหภาค (มติชนรายวัน 10 กันยายน 2547)
นิยามของทักษิโณมิกส์ และนโยบายของรัฐบาลทักษิณตามที่พันศักดิ์อธิบายนั้น สอดคล้องกับมุมมองของนักวิชาการมากน้อยแค่ไหน?
ที่ผ่านมามีนักวิชาการ หรือคนที่นายกฯ ทักษิณยกย่องให้เป็น 'ขาประจำ' จำนวนมาก ได้แสดงทัศนะต่อนโยบายดังกล่าว แต่ที่ให้นิยามได้ครอบคลุมและชัดเจนที่สุดคือ ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ซึ่งวิเคราะห์ 'ทักษิโณมิกส์' ไว้ 2 ฐานะ คือ เมนูนโยบายเศรษฐกิจ และยี่ห้อทางการเมือง
ศ.รังสรรค์ กล่าวว่า ทักษิโณมิกส์มีเมนูนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญอยู่ 2 เมนู ได้แก่ นโยบายประชานิยม (People-centered Policy Menu) และยุทธศาสตร์การพัฒนาทวิวิถี (Dual-Track Economic Development Strategy)
ในฐานะยี่ห้อทางการเมือง (Political Brandname) ทักษิโณมิกส์เป็นประดิษฐกรรมเพื่อการตลาดการเมืองระหว่างประเทศของพรรคไทยรักไทย มีเป้าประสงค์ที่จะสร้างบารมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นผู้นำแห่งอุษาคเนย์
การดำเนินนโยบายภายใต้ทักษิโณมิกส์ รัฐบาลทักษิณมีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ การดำเนินนโยบายเพื่อให้ได้คะแนนนิยมทางการเมืองสูงสุด ที่มุ่งเน้นนโยบายประชานิยม และแสวงหาผลประโยชน์ส่วนบุคคลให้มากที่สุด โดยไม่สนใจประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน และการบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ศิลปะของการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ที่การกำหนดและบริหารนโยบาย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทั้งสองอย่างผสมกลมกลืน
ศ.รังสรรค์ มีความเห็นว่า แม้การบริหารจัดการแบบ CEOs จะเป็นหัวใจของทักษิโณมิกส์ แต่รัฐบาลทักษิณปราศจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ วัฒนธรรมการบริหาร และบุคลากรที่มีความสามารถในการบริหารแบบ CEOs
ส่วนยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้ทักษิโณมิกส์คือ ยุทธศาสตร์การพัฒนาทวิวิถี ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบเปิด และการพัฒนาในระดับรากหญ้า ซึ่งมีมาตรการทางนโยบายมากมายเพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ข้างต้น อาทิ นโยบายพักหนี้เกษตรกร กองทุนหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน สินเชื่อสำหรับเอสเอ็มอี สินเชื่อสำหรับพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ นโยบายเอสเอ็มแอล โครงการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การแปลงสินทรัพย์เป็นทุน 30 บาทรักษาทุกโรค การสงเคราะห์คนยากจน การจดทะเบียนคนจน การสงเคราะห์ชนชั้นกลางด้วยโครงการเอื้ออาทร (บ้าน, แท็กซี่, คอมพิวเตอร์) รวมถึงนโยบายเพื่อการพัฒนาการศึกษาและเทคโนโลยี เช่น การปฏิรูปการศึกษา การแจกทุนการศึกษาเอื้ออาทรและทุนนักเรียน-นักศึกษาอัจฉริยะให้ไปศึกษาต่อขั้นสูงทั้งในและต่างประเทศ
นโยบายการคลังภายใต้ทักษิโณมิกส์ ครอบคลุมทั้งด้านรายจ่ายและรายได้ กล่าวคือ นโยบายรายจ่ายของรัฐบาลเป็น 'นโยบายเจ้าบุญทุ่ม' เพราะต้องการคะแนนเสียงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนของนโยบายด้านรายได้ รัฐบาลพยายามแสวงหารายได้ที่มิใช่ภาษีอากรและไม่มีการปฏิรูประบบภาษีอากร เพราะอาจส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยม รัฐบาลทักษิณจึงพึ่งพิงรายได้ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ดำเนินนโยบายต่างๆ ทำให้มีการขยายกิจกรรมโดยการนำหวยใต้ดินขึ้นสู่บนพื้นดิน นอกจากนี้ รัฐบาลทักษิณรุกคืบไปหารายได้จากกาสิโนด้วยการอนุญาตให้จัดตั้งสถานบันเทิง
0 0 0
ในงานสัมมนาทางวิชาการเรื่อง '4 ปีประเทศไทย-ภาพจริงหรือภาพลวง' ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวระหว่างการบรรยายเรื่อง 'นอกกรอบประชานิยม' ว่าพรรคไทยรักไทยทำให้นโยบายประชานิยม กลายเป็นเกมการเมืองที่ทุกพรรคการเมืองต้องเล่น
"แต่ไม่ได้หมายความว่า ประชานิยมเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาประเทศได้ทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือรัฐบาลไทยรักไทยมีความฉลาดในการใช้เงินงบประมาณ โดยปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากนโยบายการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะกองทุนหมู่บ้าน หรือการพักชำระหนี้เกษตรกร จะถูกผลักให้ไปเป็นภาระของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และธนาคารออมสินที่ไม่มีความสามารถในการติดตามเงินคืนมา"
ดร.อัมมาร ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเอสเอ็มอี เพราะสินเชื่อที่ให้คนระดับรากหญ้ากู้เพื่อไปทำธุรกิจใหม่ๆ นั้นมีอัตราเสี่ยงสูง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จค่อนข้างต่ำ จากการประเมินพบว่า อัตราของการชำระหนี้คืนอยู่ในระดับศูนย์เปอร์เซ็นต์ และว่าในอดีตระบบทุนไทยพังทลายลง เพราะนายทุนธนาคารไปกู้เงินจากต่างประเทศเข้ามาปล่อยกู้ให้คนไทย เมื่อระบบดังกล่าวทลายลง รัฐบาลไทยรักไทยก็หันไปพึ่งระบบธนาคารของรัฐ ดังจะเห็นได้จากการเกิดปัญหากับธนาคารกรุงไทยหลายเรื่อง จนธนาคารแห่งนี้เป็นถังขยะหนี้สินทั้งหลายของประเทศ รัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถไปกู้เงินจากธนาคารใดก็สามารถมากู้ธนาคารแห่งนี้
สำหรับเรื่องความยากจน ดร.อัมมาร มีความเห็นว่า ต้องแยกระหว่างปัญหาความยากจน กับปัญหาความอดอยากที่มีน้อยและหายไปเกือบหมด ปัญหาความยากจนเกิดจากความรู้สึกว่าตนเองยากจนแล้วคนอื่นรวยมาก เป็นลักษณะที่เรียกว่าความยากจนสัมพัทธ์ จนตัวเองต้องไปสมัครเป็นคนจนเข้าโครงการต่างๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลก และน่าสนใจศึกษา
"ปัญหาหนี้สินเป็นเรื่องใหญ่โตมาก คนที่เป็นหนี้ส่วนใหญ่มักพร้อมที่จะจ่ายและไปกู้มาเป็นหนี้ใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นหนี้ที่พอกพูนไปเรื่อยๆ แต่อยู่ในระบบที่สามารถเคลียร์ได้ ดังนั้น เปลี่ยนมุมมองเรื่องความยากจน และการแก้ไขปัญหาไม่เงื่อนไขเรื่องเวลา แต่หากรัฐบาลยังมองในนิยามของตัวเองว่าคนจนหมดไปแล้ว ซึ่งท่านจะนิยามอย่างไรก็ได้แต่นั่นไม่ใช่วิสัยในการแก้ไขปัญหา"
มุมมองจากนายแบงก์อย่าง โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ธนาคารกรุงเทพ บอกเพียงสั้นๆ ว่าทักษิโณมิกส์ เป็นการใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาค ดูแลการลงทุน การส่งออกจากต่างประเทศ ใช้นโยบายทางการตลาดและการจัดการทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาจัดการ โดยมีการสื่อสารเข้ามาจัดการริเริ่มใหม่ ที่มองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทุกวัน ทักษิโณมิกส์ จึงไม่สามารถวัดผลในการปฏิบัติในระยะเวลาสั้นๆ ได้ จำเป็นต้องมีข่าวสารข้อมูลที่เพียงพอ
ในทางการเมือง 'นโยบายประชานิยม' กลายเป็นข้อเสนอที่จำเป็น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเลือกพรรคของตน
ศ.ดร.เมธี ครองแก้ว คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) มองว่านี่คือทฤษฎีการเมืองที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนจากผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ โดยยกตัวอย่างโครงการเงินผัน 2,500 ล้านบาท ในรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และโครงการสร้างงานในชนบท (กสช.) ในรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็เป็นประชานิยมเช่นกัน
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มละตินอเมริกา ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล เวเนซุเอลา เปรู เม็กซิโก และโคลัมเบีย ก็เคยทำมาแล้ว ด้วยการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ จัดสวัสดิการสังคมต่างๆ ให้ พร้อมควบคุมเงินเฟ้อ กดราคาสินค้าไว้ไม่ให้แพง ในช่วง 3-4 ปีแรกชาวบ้านต่างฮือฮาชอบใจ ผู้นำจึงถูกเลือกกลับมาใหม่
อย่างไรก็ตาม ในทางเศรษฐศาสตร์หากจะมองว่าเป็นประชานิยมชัดเจน ต้องมีการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน และรักษารายได้จากส่งออกอย่างสม่ำเสมอ หากทำได้อย่างนี้ ความเสี่ยงจะน้อยลง แต่ถ้าส่งออกไม่ได้ เงินลงทุนต่างประเทศไม่มี เงินสำรองประเทศถูกใช้จนหมด ความหายนะจะเกิดขึ้น ซึ่งประเทศละตินอเมริกาก็ประสบปัญหาเช่นนี้ทั้งสิ้น
"ผมพูดเสมอ ถ้าพรรคไทยรักไทยกลับมาอีก จะต้องใช้โอกาสพยายามเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจธรรมชาติให้ได้ โดยลดการใช้จ่ายที่ฝืนกลไกตลาด ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ผมไม่แน่ใจว่าสภาพที่เห็นในละตินอเมริกา ช่วงหลังสงครามโลกที่ 2 ถึงช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จะมาเกิดในเมืองไทยหรือไม่..."
0 0 0
เพราะนโยบายประชานิยมมุ่งหาเสียงกับชนชั้นรากหญ้า และส่วนใหญ่ใช้เงินนอกงบประมาณ (ไม่แสดงในงบประมาณประจำปี) นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นโยบายดังกล่าว ถูกจับจ้องจากผู้คนในสังคม โดยเฉพาะนักวิชาการ
ถามว่าที่ผ่านมาผลงาน 'เข้าตา' นักวิชาการมากน้อยแค่ไหน?
ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า นโยบายรากหญ้าถือเป็นการกระจายความเจริญไปสู่รากหญ้า โดยหลักแล้วถือเป็นนโยบายที่ดี แต่การดำเนินการที่สำคัญต้องไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ ผลประโยชน์ต้องตกไปอยู่ที่ประชาชนโดยตรง แต่จากประสบการณ์ในต่างประเทศที่มีการดำเนินนโยบายนี้ แรกๆ ดูเหมือนผลประโยชน์ก็จะตกไปอยู่ที่ประชาชน แต่เมื่อธุรกิจและเศรษฐกิจพลิกผันไปทั้งหมด มันกลายเป็นบริการเพื่อการก่อหนี้ ไม่มีการดูแลค่าครองชีพที่สูงขึ้น และว่า
ประสบการณ์การดำเนินนโยบายในต่างประเทศ ส่วนมากมีปัญหาทั้งสิ้น มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ ที่ทำสำเร็จมีชิลี เพราะให้ความสำคัญกับแนวทางเศรษฐกิจมากกว่าการเมือง ประชาชนของเขาจึงยืนอยู่ด้วยขาของตัวเอง ไม่ได้ส่งผลทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงเหมือนอาร์เจนตินา และประเทศในแถบละตินอเมริกา
"การดำเนินนโยบายรากหญ้าของรัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังดำเนินไปในแนวของอาร์เจนตินา ที่รัฐบาลไม่เสียดายเงินที่ทุ่มลงไปสู่รากหญ้า แต่ช่องทางการกอบกู้สถานการณ์กลับมาก็พอมี นั่นคือภาระที่ว่าจะทำอย่างไรให้รัฐบาลดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยแยกออกจากการเมือง ให้ทั้งสองอย่างต้องแยกออกจากกัน ทำให้กระแสประชานิยมอ่อนลง เหมือนอย่างเช่นชิลีทำ" ดร.ตีรณกล่าว
ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ จากสถาบันเดียวกัน มีความเห็นว่าโดยภาพรวมแล้วนโยบายประชานิยมเป็นเรื่องดี สมควรใช้เพื่อขับเคลื่อนกำลังซื้อ แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้องมีการปรับปรุง เพราะนโยบายรากหญ้า ถ้าไม่มีการวางพื้นฐานให้ดีจะสร้างนิสัยการใช้เงินที่ไม่ดีให้กับชาวบ้าน ทำให้ไม่มีวินัยในการออม ได้เงินมาก็ใช้ไม่รู้จักเก็บเพราะได้มาง่าย และกลุ่มชาวบ้านที่มีวินัยการออมอยู่แล้วก็จะต้องถูกกระทบกระเทือน วินัยการออมจะถูกทำลาย
นโยบายนี้จะก่อให้เกิดผลเสีย ถ้าไม่มีการสานต่อแนวทางการใช้เงิน หลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติเงินลงไป รัฐบาลไม่มีนโยบายที่ชัดเจนให้กับชาวบ้านในการใช้เงิน ฝนตกไม่ทั่วฟ้า เพราะผลประโยชน์ตกอยู่กับคนบางกลุ่ม ตอนนี้คนที่ได้รับภาระหนักที่สุดคือ คนที่กินเงินเดือนในเมืองเนื่องจากถูกผลักภาระทางภาษี เงินเดือนต้องถูกหักภาษี ในขณะที่คนต่างจังหวัดได้รับผลประโยชน์จากนโยบายประชานิยมมากมาย ทั้งยังไม่แน่ใจว่าที่ได้รับผลประโยชน์นั้นใช่คนจนจริงหรือเปล่า
ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวชมรัฐบาลนี้ที่เลือกดำเนินนโยบายเศรษฐกิจรากหญ้า แต่บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลก่อนๆ ก็ใช้ แต่ใช้ในรูปแบบที่ค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากความไม่พร้อมของไทยหลายด้าน และขึ้นกับทรัพยากรที่มีอยู่ในขณะนั้นว่าสนองต่อการดำเนินนโยบายได้แค่ไหนด้วย
อย่างไรก็ตาม การมองนโยบายรากหญ้าต้องมองแตกออกเป็นหลายส่วน ทั้งส่วนที่เป็นสังคมสวัสดิการ และภาคธุรกิจ ในส่วนการดำเนินงานด้านสังคมสวัสดิการ ที่ควรจะเป็นคือ ต้องไม่มีผลเสียต่อวินัยทางการคลังๆ ต้องมีประสิทธิภาพ ส่วนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ถือเป็นมิติใหม่ของการดำเนินนโยบายสังคมสวัสดิการ ที่แตกต่างไปจากรูปแบบในอดีต แต่ไม่มีการกำหนดทิศทางให้ความสำคัญอย่างจริงจัง เป็นการเร่งสร้างผลงานจนอาจส่งผลเสียตามมาได้
0 0 0
เมื่อนโยบาย 'ประชานิยม' ติดตลาดขนาดนี้ พรรคการเมืองอื่นๆ จึงเพิกเฉยไม่ได้ หลายพรรคจึงต้องเร่งผลิตนโยบายทำนองนี้เช่นกัน ขณะที่ไทยรักไทยก็ต้องหาแคมเปญใหม่ๆ ออกมาขาย
ดังที่ ดร.สมชัย จิตรสุชน ผู้อำนวยการนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงนโยบายของพรรคไทยรักไทยว่ามีความเป็นประชานิยมน้อยลงกว่าช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยพรรคไทยรักไทยชูนโยบาย 4 ปีสร้างชาติให้แข็งแกร่งยั่งยืน ด้วยการทำนโยบาย 14 ด้าน ครอบคลุมทั้งการแก้ไขปัญหาความยากจน สังคม โครงสร้างพื้นฐาน คาดว่าจะใช้งบประมาณในดำเนินการกว่า 1 ล้านล้านบาท
นโยบายดังกล่าวประกอบด้วย 1.คาราวานแก้จนบุกทุกหลังคาเรือน 2.คาราวานเสริมสร้างเด็ก 3.โครงการเอสพีวีเกษตรกรกู้สร้างอาชีพ 4.แปลงกองทุนหมู่บ้านที่มีความพร้อมให้เป็นธนาคารหมู่บ้าน 5.จัดสรรโครงการประปาหมู่บ้านให้ทุกหมู่บ้าน และทุกหลังคาเรือนต้องมีไฟฟ้าใช้ 6.จัดงบเอสเอ็มแอลให้กับหมู่บ้านต่างๆ ตามขนาดของจำนวน ประชากรซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณปีละ 2-3 หมื่นล้านบาท
7.โครงการวัว 2 ล้านตัว โดยรัฐบาลจะจัดหาวัวให้กับเกษตรกรทั่วประเทศผ่านเอสพีวี ใช้งบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติในหลักการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการเรื่องดังกล่าวแล้ว 8.ขุดบ่อเก็บน้ำ 1,260 คิวบิกเมตร ให้กับประชาชน โดยประชาชนจ่ายเงินสมทบบ่อละ 2,500 บาท 9.ลูกหลานไทยเรียนไม่ต้องจ่ายจนถึงมหาวิทยาลัย เมื่อเรียบจบมีงานทำค่อยผ่อนจ่ายรัฐบาล โดยรัฐบาลจะให้ผู้ที่จะเรียนกู้ยืมเรียนระดับอุดมศึกษาผ่านสมาร์ทการ์ด
10.ติดคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ 11.จัดสรรงบประมาณ 1 ล้านล้านบาท สร้างรถไฟฟ้าทั้งใต้ดินและบนดินระยะทาง 291 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมกรุงเทพฯ และปริมณฑล 12. ขยายโรงเรียน โรงพยาบาล และดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมของชาว กทม. เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 6 แสนล้านบาท ในการดำเนินการก่อสร้างรถไฟฟ้า 13.ลดภาษีให้กับลูกที่เลี้ยงพ่อแม่รวมทั้งพ่อตาแม่ยาย และ 14.การทำสงครามกับยาเสพติด
เห็นนโยบายสวยๆ แบบนี้ แล้วอย่างเพิ่งเห็นแต่ความรุ่งเรืองในอีก 4 ปีข้างหน้า ช่วยคิดนิดหนึ่งว่างบประมาณที่ใช้จะมาจากไหน
แถมท้ายด้วยแง่คิดจาก รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่บอกว่านโยบายประชานิยม ซึ่งพรรคการเมืองใช้หาเสียงเพื่อเพิ่มคะแนนความนิยมทางการเมืองนั้น อาจนำไปสู่การบิดเบือนโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคมและด้านต่างๆ ได้
เพราะนโยบายที่ออกมาส่วนใหญ่เป็นนโยบายประชาสงเคราะห์ ทำให้คนทุกระดับเกิดวัฒนธรรมใหม่ รอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐ ขาดความกระตือรือร้นที่จะปรับปรุงตัวเองให้สามารถแข่งกันกับคนอื่น ซึ่งส่งผลกระทบในระยะยาวต่อระบบกลไกเศรษฐกิจ องค์กร และการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ
ต้นทุนของนโยบายประชานิยมจะสูงมาก เพราะเมื่อพรรคการเมืองได้รับเลือกตั้ง ก็ต้องผลักดันนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ ซึ่งแต่ละนโยบายต้องใช้เงินจำนวนมาก หากพิจารณาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว นโยบายเหล่านี้อาจจะสร้างปัญหาด้านการเงินการคลังของประเทศตามมาได้ โดยเฉพาะภาวะที่มีแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนมีความผันผวน สภาพคล่องที่ล้นระบบเริ่มร่อยหรอ การแสกกระดาษให้เป็นเงินจะทำได้ลำบากมากขึ้น ถ้ารัฐบาลยังเดินหน้าใช้นโยบายเหล่านี้ต่อไป ก็จะทำให้เป็นภาระทางการคลังในระยะยาว
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ทักษิโณมิกส์ คือยี่ห้อทางการเมือง
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
05:05

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
- 'พระราชอำนาจ' หนังสือดีที่ 'ใคร' บางคนเมิน
- รู้ทันกังฉิน 2005 รู้ทันแบบ 'คนคาบไปป์'
- 'เบิร์ด' ขาขึ้น! โอ้ละหนอ..ต้องขอ 'ตัวช่วย'
- หักเหลี่ยมมาเฟีย บ่อนข้าใครอย่าแตะ!
- บทเรียนกู้ 5 พันศพ! สู่ศูนย์พิสูจน์ร่างนิรนาม
- น.พ.ประสาน ต่างใจ สรุปเราหนีภัยน้ำท่วมโลกไม่พ้นแน่!
- รื่นรมย์ กับ Pre-Exhibition ของ ธีรยุทธ บุญมี
- ธรรมะของเด็กดื้อ ณัฐริกา ธรรมปรีดานันท์
- BNT ช่วยชาติ!ปลุกตลาดหุ้นคึกคัก
- ทักษิโณมิกส์ คือยี่ห้อทางการเมือง
ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ