: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

โตมากับลลนา ก็อยากให้วอลลุ่ม เป็นหนังสือในใจของเด็กๆ

สัมภาษณ์พิเศษ / อิสรีอิน คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
โตมากับลลนา ก็อยากให้วอลลุ่ม เป็นหนังสือในใจของเด็กๆ
ความฝันของ 'ลูกน้ำ' และเพื่อนๆ
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์อวดโฉมให้เห็นกันโดยถ้วนทั่วกันมาตั้งแต่ 5 พฤษภาคมเป็นต้นมาแล้ว ด้วยปก คุณใหม่-สิริกิติยา เจนเซน และ ใหม่ เจริญปุระ
สำหรับ VOLUME นิตยสารหัวไทย (แท้) สไตล์อินเตอร์ ฝีมือการสร้างสรรค์ร่วมของ ลูกน้ำ-สุคนธ์ สีมารัตนกุล, อ๊อด-อนณ พวงทับทิม และ ตุ๊-วีระพจน์ อัศวาจารย์ 3 บรรณาธิการอำนวยการ แห่ง 'วอลลุ่ม พับลิชชิ่ง จำกัด' หลังจากเปิดแถลงข่าวถึงการมาครั้งนี้ล่วงหน้ากว่าหนึ่งเดือน
ท่ามกลางการรอคอยเช่นนี้ งานเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่โรงแรมปาร์คนายเลิศ ราฟเฟิลส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จึงยิ่งใหญ่อลังการสมศักดิ์ศรีของ 3 ผู้บริหารยิ่งนัก
นอกจากเปิดตัวหนังสือแล้ว 3 ผู้บริหารวอลลุ่มฯ ยังถือโอกาสนี้เปิดตัว 'มูลนิธิวอลลุ่ม' อีกด้วย โดยประเดิมมอบให้กับมูลนิธิบ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อนเป็นแห่งแรกจำนวนเงิน 2 แสนบาท
"นี่คือความตั้งใจมอบคืนกลับให้กับสังคมตั้งแต่วันแรกที่เราเริ่มมูลนิธิ เพื่อเป็นมงคลแก่หนังสือวอลลุ่ม วอลลุ่ม พับลิชชิ่ง และมูลนิธิวอลลุ่มเอง"
อนณบอกถึงแรงบันดาลใจ พร้อมเน้นย้ำว่านี่เป็น 'ความตั้งใจ' ไม่ใช่การ 'สร้างภาพ' เพราะปกติก็ทำกิจกรรมการกุศลกันอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการทำอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
จึงไม่น่าแปลกใจที่หน้าตาของ 3 ผู้บริหารจะยิ้มปลื้มเป็นที่สุดกับการทำบุญอย่างเป็นทางการครั้งนี้
เพราะบอกแล้วว่าการมาของวอลลุ่ม-ไม่ธรรมดา!!
ยิ่งพลิกดูรูปแบบและเนื้อหาที่วอลลุ่มต้องการนำเสนอด้วยแล้ว นิตยสารผู้หญิงเล่มนี้-ยิ่งน่าสนใจ
เพราะภายใต้ 3 แนวคิดหลักที่ว่า Fashion, Emotion, Transformation วอลลุ่มในหนึ่งปักษ์จึงมีให้อ่านถึง 3 เล่ม 3 อารมณ์ คือ Volume เรื่องความงาม, Volume+ เรื่องครอบครัว และVolumeX เรื่องหวือหวาและฮาวทูของสาวโสด โดยให้สังเกตุ O+X เป็นสัญลักษณ์ก่อนเปิดอ่าน
และมั่นใจว่าเนื้อหาสาระครบถ้วนทุกอารมณ์แน่ เพราะมี ต่อ-เอกชยา สุขศิริ ที่เคยร่วมงานกันมาดูแลส่วนนี้ทั้งหมดในฐานะ บรรณาธิการบริหาร นั่นเอง
ด้วยความแรงบันดาลใจที่ได้จากนิตยสารในดวงใจหลายคนอย่าง 'ลลนา' บวกกับ ความเชื่อที่ว่า "นิตยสารมีไว้อ่าน ส่วนรูปเล่มสวยเทคนิคตระการตา ถือเป็นกำไร" นั้นเอง ทำให้เอกชยาต้องไปควานหาคอลัมนิสต์ทั้งรุ่นเก่า-รุ่นใหม่มาบรรณาการอย่างเต็มที่ หวังให้คนอ่านนิตยสารที่ต้องการสาระและบันเทิงไม่ผิดหวังในวอลลุ่ม
อย่างใน Volume เล่มใหญ่มี ไพโรจน์ สารีรัตน์ มือเรื่องสั้นชั้นยอดที่เคยเขียนให้กับลลนาก็คืนเวทีเขียนให้กับวอลลุ่ม, นิกกี้-สุระ ธีระกล นายแบบในภาพต้นปัญหาก็มาเป็น 'Prof.X' ศาสตราจารย์ด้านความรักและเซ็กซ์ ร่วมด้วย วรรณะ กวี, ปราณประมูล, จักรภพ เพ็ญแข ฯลฯ
ส่วนที่แนะนำให้ติดตามกันทุกตอน คือ Volumemotion ที่ให้คนดังมาผลัดกันเขียนชุดละ 5 คน 5 เล่ม พร้อมรูปพอร์ทเทรตสวยแปลกตา
อย่างเล่มแรกนี้ก็มี มังคุด-วงศ์ชนก ชีวะศิริ, ปูเป้, อริศรา ศิริชุมแสง, เจนนิเฟอร์คิ้ม และ คำผกา โดยเฉพาะคนหลังนี้ เป็นซีรีส์ที่เขียนให้กับนิตยสารชุดสุดท้ายก่อนจะบินไปเกียวโต
ส่วน Volume X ที่เน้นให้เป็นคัมภีร์สาวโสดล้วน นอกจากจะมีสาวๆ มาตั้งวงคุยเรื่องลับๆ แบบ XX กันแล้ว ยังมี X'read ที่เปิดรับผลงานเรื่องสั้นของนักเขียนด้วย แต่ขอรับเฉพาะแนว 'อิโรติก' เท่านั้น ที่เข้าแฟ้มรอแล้วตอนนี้ อาทิเช่น นิวัต พุทธประสาท, ฮ.นิกฮูกี้ (เจ้าเก่า) ฯลฯ
ทางด้าน Volume+ มี 'พี่ยีราฟ' เปิดคอลัมน์ 'หนูเขียน' และ 'หนูวาด' รอรับผลงานอยู่ นอกจากนี้ก็เอาใจเด็กๆ ด้วย 'ตุ๊กตากระดาษ' เป็นแผ่นแทรกให้ได้ตัดเล่นกัน ซึ่งออกแบบโดยดีไซเนอร์จากห้องเสื้อดังๆ ทั้งนั้น
"ผมเชื่อว่าคนเราจะมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เขารู้สึกว่าเขาเติบโตไปกับมัน เหมือนผมที่โตมากับลลนา ผมก็อยากให้วอลลุ่มเป็นหนังสือในใจของเด็กๆ ให้เขารู้สึกได้เติบโตไปกับวอลลุ่มเช่นกัน"
ได้ฟังเอกชยายอมรับเช่นนี้แล้ว หลายคนคงไม่แปลกใจหากจะได้กลิ่นอายแบบลลนาในสไตล์วอลลุ่ม
"นี่เป็นสิ่งที่เรารัก และเป็นรูปแบบที่เราคิดขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นคนที่เคยติดตามงานของพวกเรามา ก็อยากจะให้ติดตามดูและเป็นแฟนหนังสืออุดหนุนหนังสือของเราต่อ เพราะหนังสือวอลลุ่มก็จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งสำหรับคนอ่านจริงๆ"
ลูกน้ำ-สุคนธ์ ย้ำถึงงานชิ้นสำคัญครั้งนี้ ที่มีความหมายไม่ใช่แค่นิตยสาร แต่น่าจะหมายถึงศักดิ์ศรีแห่งชีวิตและหัวใจของเขาและเพื่อนๆ ด้วย
กว่า 5 เดือนแห่งการเตรียมตัวเป็นเช่นใด ต้องถามเมกอัพอาร์ติสมือหนึ่งที่ผันตัวเองมาเป็นผู้บริหารคนนี้ ให้รู้เรื่องกันไปเลย!!
0 ถามถึงความตั้งใจก่อนว่ามีมาเนิ่นนานแค่ไหน
จริงๆ แล้วตอนที่เรามีปัญหากับ 'ที่เก่า' ที่ออกกันมา เราเองก็ไม่คิดจะทำหนังสือหรอก ไม่ได้คิด ไม่ได้เตรียมอะไรเล...ย (เน้นเสียง) จนกระทั่งหลังจากออกมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2547 แล้วก็ประมาณเดือนธันวาคมช่วงคริสมาสต์เราก็จะเจอกับเพื่อน ก็คุยกัน
แต่สิ่งที่เป็นแรงจูงใจให้ลุกขึ้นมาทำหนังสือเล่มนี้ ก็คือ เวลาที่เดินไปเจอกับคนที่เราไม่รู้จักหลายๆ คนแล้วทุกคนก็จะเดินมาให้กำลังใจเรา บอกว่าเป็นแฟนหนังสือ 'ที่เคยอยู่' มา แล้วชอบ บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต้องเสียใจ ให้กำลังใจแล้วก็อยากให้ทำหนังสือ แล้วก็เป็นคนที่มีความสามารถทำอีกเถอะนิตยสารน่ะ ถ้าทำเขาก็จะตามมาเป็นลูกค้า คือเจออย่างนี้หลายคนมาก แล้วแต่ละคนเป็นคนที่เราไม่รู้จักเลย แต่เขารู้จักเรา ติดตามงานของเราอยู่ แล้วก็แม้กระทั่งคุณอ๊อด (อนณ พวงทับทิม) เขาเองก็จะเจอแบบนี้เหมือนกัน พอเรามาคุยกัน ก็พบว่าเป็นสิ่งที่เราไปเจอมาเหมือนกัน ก็เลยกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เรามาทำหนังสืออีกครั้ง
0 การทำนิตยสารเล่มหนึ่ง ไม่ใช่ง่ายเลย ยิ่งในยุคเศรษฐกิจนี้ด้วย หนักใจหรือไม่?
หนักใจมาก เพราะว่าพอเราตัดสินใจตอนนั้นปุ๊ป เรามีเวลาน้อยมาก พอศักราชใหม่วันที่ 4 มกราคม 2548 พี่ก็จัดการรับสมัครหาคนเลย มองหาที่ แล้วใช้เวลาในเดือนมกราคมทั้งหมดเตรียมงาน พนักงานและหาออฟฟิศก็มาได้ที่นี่ (64 สุขุมวิท ซอย 2) ก็แต่งออฟฟิศ 1 กุมภาพันธ์ เปิดเลย ซึ่งทุกอย่างรวดเร็วมาก โดยที่ตัวพี่เองก็ไม่ได้ตั้งตัวว่าจะทำเร็วขนาดนี้ แต่ทุกอย่างมันเป็นไปตามอัตโนมัติว่า พอคิดทำปุ๊ป ได้ชื่อหนังสือปุ๊ป ไอเดียต่างๆ มันก็จะออกกันมา จนถึงตอนนี้ มันก็เหมือนกับว่าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แล้วทุกคนก็ตั้งใจหมดเลย คือทุ่มเททั้ง กายทั้งใจที่มีอยู่ทั้งหมด
แต่จากการที่เราทุกคนมีประสบการณ์ในวงการนี้มายี่สิบกว่าปี มันก็ทำให้เรากดดันด้วย เพราะว่า หนังสือที่เราทำออกมานี่ ทุกคนกำลังจับตามอง เนื่องจากอยู่ในกระแสข่าวตลอดเวลา ฉะนั้นมันก็จะเป็นแรงกดดันให้เรารู้สึกว่า สิ่งที่เราทำนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกใจกับสิ่งที่คนเขาคาดหวังเอาไว้มั้ย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่ก็คือสิ่งที่ทีมงานทุกคนทำงานด้วยความตั้งใจทุ่มเทอย่างดีที่สุด แต่คิดว่าเล่มแรกนี้ มันก็ยังอาจจะไม่ได้ 100% เพราะว่าอย่างน้อยเราก็ต้องการคำติชมมากกว่า คำติมีอะไรบ้างเราจะได้แก้ไขปรับปรุงหนังสือให้มันดีขึ้น
แล้วเราคิดว่าการจะทำหนังสือสวยสักเล่มหนึ่ง ใครๆ ก็ทำได้ แต่ทำยังไง 'สวย' ด้วย แล้วก็มี 'สาระ' ที่ให้คนอ่านได้ด้วย แล้วทุกอย่างในหนังสือนี้ 'สัมผัสได้-ใช้ได้จริง' ตรงนี้เป็นสิ่งที่เรานึกถึงเป็นจุดใหญ่ของการทำหนังสือของวอลลุ่ม
0 ถ้าจะบอกว่าที่สุดของความมั่นใจก่อนตัดสินใจคืออะไร?
คือการได้ไปเจอคน มันก็เป็นแรงบันดาลใจอยู่แล้วที่ทำให้เราลุกขึ้นมาทำหนังสือ พอเราลุกขึ้นมาทำหนังสือ คือพวกพี่ไม่กลัวอยู่แล้วไงครับ ตัวพี่เอง ตัวคุณอ๊อด คุณตุ๊ (วีระพจน์) แล้วก็ต่อ-เอกชยา ทุกคนล้วนอยู่ในวงการหนังสือหมด ทุกคนเต็มที่ ฉะนั้นการทำหนังสือตรงนี้ไม่มีอุปสรรค
0 สำรวจตลาดก่อนมั้ย?
ไม่สำรวจเลย เพียงแต่สิ่งที่เราคิดเอาไว้ เราอยากทำ 'หนังสือที่แตกต่าง' จากหนังสือที่มีอยู่แล้วบนแผง เนื่องจากเราเป็นหนังสือน้องใหม่ ฉะนั้นพอเราทำเราก็อยากทำหนังสือที่แตกต่างไม่ว่าจะเป็นไซส์หนังสือ การนำเสนอ แล้วเนื้อหาสาระต่างๆ เราพยายามทำออกมานำเสนอให้แตกต่างจากเล่มอื่น
0 มองตลาดนิตยสารเมืองไทยว่ายังมีที่ให้สนุกอีกเยอะหรือ?
จริงๆ ถ้าพูดตรงๆ ตลาดของการทำนิตยสารตอนนี้มันเยอะมาก ตอนนี้ใครที่มีเงินก็ลุกขึ้นมาทำหนังสือหรือว่าบริษัทที่เขาทำธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ก็ลุกขึ้นมาทำหนังสือ มีหนังสือหัวนอกมาเยอะมาก
ฉะนั้นตลาดตรงนี้ ถ้าถามว่า-มันยังทำได้มั้ย พี่คิดว่า ถ้าเกิดคนที่อยากจะทำก็ 'ยังทำได้' อยู่ แต่ถามว่าหนังสือตอนนี้มันเยอะมั้ย มันล้นตลาดมาก หนังสือเก่าก็ยังอยู่ หนังสือใหม่ก็เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ตอนนี้มันต้องวัดกันด้วยคุณภาพของหนังสือ เล่มไหนที่ดีก็อยู่ได้ แต่เล่มไหนที่ไม่มีอะไรให้อ่าน แล้วไม่มีโฆษณา หนังสือก็ต้องปิดตัวลง พี่คิดว่า เก่าๆ บางเล่มก็อาจจะมีบางเล่มที่ต้องปิดตัวไป แล้วมีหนังสือใหม่ขึ้นมาชดเชย
0 ทำไมต้อง 'วอลลุ่ม'?
สิ่งแรกที่เราคิดชื่อหนังสือ เราคิดว่าทำยังไงจะให้ชื่อเป็นสากล คือไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลกชื่อนี้คนฟังก็รู้เลยว่าคืออะไร ฉะนั้น วอลลุ่มเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของคนทั่วโลก
ไม่ว่าคุณจะเปิดวิทยุคุณก็ต้องเปิดวอลลุ่มเสียง เปิดทีวีต้องการเพิ่มเสียงให้มันดังขึ้น คุณก็ต้องกดวอลลุ่ม ไม่ว่าคุณจะไปร้านทำผม ให้ช่างผมทำผมให้มีน้ำหนัก ก็คือ วอลลุ่มผมก็ต้องมีผมที่มีมากขึ้นหรือใช้แชมพูที่สระผมที่ทำให้ปริมาณของผมมีวอลลุ่มหนาขึ้น หรือเล่นหุ้นหรือทำธุรกิจก็ต้องการให้มูลค่าของหุ้นนั้นเพิ่มขึ้น หรือเสื้อผ้าการแต่งตัว การที่คุณดีไซน์ออกแบบให้มีวอลลุ่ม ก็คือการเพิ่มชั้นเพิ่มชิ้นให้ชุดมากขึ้น
ความหมายมันคือ โพสิทีฟ (positive = บวก, เพิ่ม) ตลอดเวลา มันคือการเพิ่มขึ้นตลอดเวลาของทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ฉะนั้นมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่เราเอามาใช้ แล้วไปประเทศไหนๆ ทุกคนรู้หมด มันเป็นความสากล คุ้นเคย และอยู่ใกล้ตัวทุกคน เพียงแต่บางทีเราลืมนึกไป พอมาตั้งเป็นชื่อหนังสือปุ๊ป มันก็กลายป็นคำฮิตเป็นคำที่คนนึกออก
0 ในแง่ต้นแบบ 'วอลลุ่ม' กับ 'ลลนา' เกี่ยวข้องกันมากน้อยเพียงใด
จริงๆ ถ้าถามว่า เกี่ยวมั้ย เกี่ยว แต่ไม่ใช่เราไปลอกเขามา แต่ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้จบไปแล้ว เขาก็เป็นตำนานที่มีแต่คนกล่าวถึง ซึ่งทุกครั้งที่พูดถึงก็จะมีแต่ความสุขกับสิ่งที่เราได้สัมผัสในอรรถรสของหนังสือ แต่ทุกอย่างมันหายไปแล้ว วันนี้เรานำกลับมาแล้วมันก็เป็นสิ่งที่พี่เคยเสพหนังสือนี้ แล้วก็รักหนังสือมาก ไม่ว่าจะเป็นหนังสือลลนา หนังสือยี่สิบเอ็ด ที่คุณศิเรมอร อุณหธูป เป็นบรรณาธิการ แล้วพี่ก็ประทับในงานของทุกคนที่ทำ มันเป็นอินสไพเรชั่น (inspiration = แรงบันดาลใจ) ฝังใจพี่มาตลอดตั้งเป็นเด็กเลย พี่อ่านหนังสือเหล่านี้มาตลอดเวลา แต่มันไม่มี วันนี้เป็นวันที่เราคิด มันก็เป็นสิ่งที่เรานำเอากลับมา ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ดี
0 โมเดิร์นไทยสไตล์ลูกน้ำเป็นอย่างไร?
คือการทำหนังสือที่ผ่านมา พี่เป็นคนที่ทำแฟชั่นในตำแหน่งบรรณาธิการแฟชั่นมาตลอดเพราะฉะนั้นพี่เป็นคนที่จับแนวทาง ตอนที่พี่ทำหนังสือเล่มเก่านี่พี่ก็พยายามสร้างสรรค์ให้ดูมีความสากลก็เลยเอานางแบบฝรั่งเข้ามาถ่ายแบบใช้ในคอลัมน์บิวตี้ (beauty) ต่างๆ แล้วจะมีนางแบบฝรั่งเยอะมาก จนแฟชั่นนี้ดูเหมือนทำมาจากเมืองนอกเป็นของเมืองนอก ดังนั้นหนังสือที่ทำแฟชั่นในเมืองไทยก็นำนางแบบนายแบบฝรั่งไปใช้ในหนังสือเขา กลายเป็นว่าหนังสือทุกเล่มทำเหมือนกันหมด อย่างหนังสือบางเล่มไม่เคยใช้นางแบบฝรั่งเลย ก็หันมาใช้ มันเลยเกิดความเหมือนกันไปเลย
พอเรามาทำหนังสือเอง เราก็อยากให้หนังสือเรา เป็นหนังสือหัวไทย ซึ่งทำออกมาแล้วลุคส์อินเตอร์เนชั่นแนล มีความเป็นไทยที่มีลักษณะออกมาคือ โมเดิร์นไทย ที่ว่าถ้าแฟชั่น เราจะใช้นางแบบนายแบบไทยหมดเลย หรือถ้าเป็นลูกครึ่งก็ต้องลูกครึ่งไทย หรือเป็นเอเชี่ยนลุคส์
นี่คือสิ่งที่เราต้องการนำเสนอให้แตกต่างจากหนังสือที่มีอยู่แล้ว เราต้องการตอกย้ำให้มันชัดเจนว่า เมื่อคุณเปิดหนังสือวอลลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนที่ใหสัมภาษณ์ หรือในคอลัมน์อะไรก็แล้ว เปิดมาแล้วคุณจะพบจะ คนหน้าตาไทยๆๆๆๆๆ (เสียงเหมือนไทๆๆๆ...ทานิก) หมดเลย
เมื่อวันหนึ่งเราเป็นหนังสือเราเด่นชัดแบบนี้ การนำเสนอแฟชั่น เราก็บรรยายแฟชั่นทุกเซ็ท หันมาใช้กลอนลักษณะต่างๆ สี่สุภาพ กลอนเปล่า เราจะนำมาใช้บรรยายในแต่ละภาพของแฟชั่น ให้อ่านแล้วมีเรื่องราวเหมือนเราสนับสนุนให้คนหันมาอ่านกลอน ซึ่งกลอนก็เป็นเอกลักษณ์ของไทย ไม่มีใครสนับสนุนหรือหยิบจับขึ้นมา เราก็ต้องการเน้นตรงนี้
เหมือนเป็นแรงผลักดันให้เด็กๆ หรือคนที่ได้อ่านนี่เกิดการรักบทกลอนขึ้นมา นี่ก็เหมือนกับการทำให้คนหันมาสัมผัสกับสิ่งที่เป็นไทย ฉะนั้นเมื่อเรานำเสนอรูปแบบอย่างนี้แล้ว วันหนึ่งเราถือหนังสือเล่มนี้เมืองนอก ฝรั่งเห็น-นี่หนังสือมาจากไหน ประเทศไทย ฉะนั้นสิ่งที่เขาเปิดมานี่ เขาคงไม่อยากเห็นฝรั่งน่ะนะ เพราะเขาเห็นอยู่แล้ว แต่นี่จะบอกได้ว่า ยูมาจากไทยแลนด์แบงคอก (bangkok) คนไทยหน้าตาแบบนี้เหรอ? ฉะนั้น พอเขาเปิดไปดู เขาก็จะได้รับสัมผัสว่านี่คือวิถีชีวิตคนไทย ผู้คน เซเรบริตี้ (cerebrity=คนดัง) คนไทยเป็นอย่างนี้ นางแบบดารานักร้องเป็นอย่างนี้
ทุกอย่างมันคือความเป็นไทย ซึ่งเราภูมิใจมากกว่าที่ฝรั่งได้เห็นเขาก็จะเข้าใจประเทศไทย ว่าประเทศไทยของยูไม่ใช่ขี่ช้าง ซึ่งเข้าใจผิดว่าประเทศไทยนี่ ยังขี่ช้างเดินป่าอยู่ ถูกมั้ย
สิ่งที่เรานำเสนอจึงเป็นความไทย มีเอกลักษณ์ความเป็นไทย แต่เป็นในลักษณะที่เป็นโมเดิร์น
0 เตรียมต้อนรับกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่นด้วยหรือเปล่า?
ไม่ได้เกี่ยวกันเลย สิ่งที่เราคิดคือ เราคิดอยากจะทำเอง เราไม่ได้สนใจกรุงเทพฯ เมืองแฟช่งเมืองแฟชั่นอะไร แต่เราต้องการนำเสนออย่างนี้
อย่างกลอน เราก็ให้เด็กๆ ในกองบรรณาธิการจากที่เรียนมาก็ได้ฝึกความสามารถอีก ในอนาคตเราก็จะมีการเชิญนักศึกษาที่เรียนอยู่คณะอักษรศาสตร์ หรือคณะต่างๆ วิชาเอกภาษาไทยให้เขาได้มีที่มาฝึก เป็นอีกสนามหนึ่งเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้มาฝึกไม่ว่าจะเรื่องการขีดเขียน การทำแฟชั่น สไตลิสต์การถ่ายภาพ
อย่างแฟชั่นทั้งหมด เราทำเอง 'อินเฮาส์' หมด ช่างภาพเราเป็นอินเฮาส์หมด ไม่ใช้ช่างภาพนอก แฟชั่นใช้ทีมของคนภายในหมด ไม่มีการใช้ช่างภาพ สไตลิสต์นอก เพราะเราต้องการให้หนังสือเรามีเอกลักษณ์ แม้ว่างานออกมาอาจจะยังไม่ดีเทียบเท่ากับสไตลิสต์มืออาชีพ แต่เราก็ต้องการสร้างให้เด็กทุกคนมีโอกาส
0 มองว่าทุกวันนี้มีมืออาชีพ แต่ไม่มีการสร้างคนรุ่นใหม่หรือเปล่า
ถามว่าตอนนี้สไตลิลส์มีมากมั้ย ก็ไม่มาก ที่มีอยู่แล้วก็เก่ง แต่ก็ไม่มีเด็กรุ่นใหม่ที่ได้มีสนามที่เขาจะฝึกจะทำ ช่างภาพที่มีอยู่ต่างก็มีลูกค้าของตัวเอง มีหนังสือของกลุ่มตัวเองทำงานกันอยู่แล้ว ฉะนั้นสไตลิสต์ใหม่ๆ ช่างภาพใหม่ๆ ช่างแต่งหน้า หรือช่างทำผม หรือนางแบบมันมีเยอะ ตรงนี้เราจะเปิดกว้าง แล้วเราก็จะเปิดกว้างให้เด็กรุ่นใหม่มาทำงานกันทุกคน นี่เป็นนโยบายซึ่งแตกต่าง
0 ระดับความเซ็กซี่ในสไตล์ลูกน้ำจะได้เห็นในเล่มนี้มั้ย
ต้องเห็นแน่นอน คือพี่ยังต้องทำอยู่เพราะพี่ถือว่าตรงนี้ ความเซ็กซี่เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง สิ่งที่เราจะนำเสนอความเซ็กซี่ นี่ เราก็มีลิมิตมีขีดจำกัดความเซ็กซี่เหมือนกัน
เพราะอะไรเราอยากทำวอลลุ่ม X เพราะเราต้องการจัดเรทติ้งให้กับคนอ่าน ว่าเราทำหนังสือเรทเซ็กซี่อย่างนี้ แต่หนังสือเล่มนี้มันเหมาะสำหรับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่สามารถอ่านแล้วเก็บไว้ที่ออฟฟิศ ห้องนอน ก็ได้โดยไม่ให้ลูกเห็นหรือวางในห้องรับแขกก็ได้
ตรงนี้เราจัดเรทติ้งให้กับหนังสือเราเรียบร้อย ฉะนั้น หากคุณระเบียบรัตน์จะลุกขึ้นมาบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ขัดต่อศีลธรรม ไม่ส่งเสริมไม่ให้ความร่วมมือ เราก็ทำเสียเลย ด้วยการแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งเล่มไง ซึ่งคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราคิดถูกตรงนี้ ซึ่งยังไม่มีหนังสือเล่มไหนทำ
0 นี่เหมือนกับรอตอบคำถามคุณระเบียบรัตน์ไว้เรียบร้อย
ไม่ใช่รอเพื่อจะตอบคำถาม แต่การที่คุณระเบียบรัตน์ลุกขึ้นมาจัดระเบียบสังคมหรือทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้มันก็เป็นส่วนดี ในความคิดเห็นของพี่ อย่างน้อยก็ทำให้มันมีกฏหรือมีคนที่คอยควบคุมดูแลอยู่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องแยกแยะว่าอันไหนคือศิลปะหรืออนาจาร
เพราะฉะนั้นภาพที่เรานำเสนอ ถ้าเราไม่นำเสนอเกินสิ่งที่เขามีกฏเอาไว้ว่าภาพเซ็กซี่ ก็คือศิลปะอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคนคิดมองเป็นอย่างอื่นมันก็เป็นอย่างอื่น มันอยู่ที่การมองและการคิดว่าตรงนี้คืออะไร
0 วอลลุ่มนอกจากทำหนังสือ มีมูลนิธิแล้วยังมีอะไรอีก
จริงๆ งานออแกไนเซอร์ (organizer = จัดงาน) เราเพิ่งจะมาคิด แต่จริงๆ แล้วตอนที่เราจดบริษัททำหนังสือ เราก็จดทุกๆ อย่างที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องไปด้วย การที่ทำงานนี้ เราไม่ได้ลุกขึ้นเพื่อจะมาทำงานนี้เป็นงานหลัก แต่เราทำเป็นงานรองซึ่งเราคิดว่าเรามีพาวเวอร์มีคอนเนกชั่นที่เราสามารถจะทำได้ ซึ่งเรามีกลุ่มลูกค้าซึ่งแฮปปี้ที่จะให้เราทำ
อย่างพี่อยู่ในวงการ พี่ก็จะรู้จักนางแบบ ช่างแต่งหน้าทำผมร้านเสื้อ มันก็เป็นคอนเนกชั่นเรา อย่างคุณอ๊อดก็จะมีกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นลูกค้าบริษัทต่างๆ เยอะแยะ ซึ่งเขาก็เชื่อมั่นในความสามารถ เพราะฉะนั้น พอมีงานขึ้นมา เขาก็อยากให้เราทำ เราก็สามารถทำได้ เพราะเราคลุกคลีงานกับพวกนี้อยู่แล้ว รู้จักทีมออแกไนเซอร์จัดแสงเสียงคนทำเวที สไตลิสต์ เรารู้จักหมด เราก็สามารถฟอร์มทีมขึ้นมารับงานแล้วจัดคอนเสปต์ขึ้นมาได้แล้วเรียกกลุ่มย่อยมารับงานอีกทีหนึ่ง ซึ่งเราก็ทำ ถ้ามีงานมาเราก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นงานใหญ่เล็กเราก็รับหมด
0 งานด้านการแต่งหน้าล่ะยังรับอยู่มั้ย
พี่พูดตรงๆ ว่าบทบาทนี้จะลดน้อยลง คือถามว่างานแต่งหน้าของพี่นี่ มีมั้ยก็ยังมีอยู่ ลูกค้าที่ยังอยากให้พี่แต่งหน้าให้อยู่ก็ยังมี เจ้าสาวก็ยังมี แฟชั่นโชว์ก็ยังมี แต่มันจะน้อยลง เพราะบทบาทพี่มาอยู่ตรงนี้ พี่ก็ต้องทำธุรกิจตรงนี้มากขึ้น บทบาทก็ต้องลดน้อยลง เพราะในหนังสือพี่ก็ต้องมีงานที่พี่จะต้องทำเองด้วยอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพี่ก็จะมีงานให้แฟนๆ ของพี่ได้เห็นผลงานของพี่เห็นในวอลลุ่มอยู่ แล้วเราก็ยังเรียกใช้ช่างแต่งหน้าทำผมฟรีแลนซ์ทุกคนอยู่ มาร่วมงานกับเราอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นงานของพี่ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ ก็ยังไม่ได้ห่างหายไปไหนแน่นอน
0 ตกลงว่างานนี้มีกี่หุ้นและควักกระเป๋าคนละกี่ล้าน
จริงๆ มีทั้งหมด 7 คนแต่เรา 3 คน (สุคนธ์-อนณ-วีระพจน์) หุ้นใหญ่ ส่วนตัวเลขอย่าพูดเลยดีกว่า แต่ขอบอกนิดหนึ่งนะว่า หนังสือวอลลุ่มเล่มนี้ ลงทุนด้วยเงินของตัวเอง ล้วนๆ ไม่มีใครเป็นนายทุน ไม่ว่าจะเป็นไฮโซ คนใด หรือที่เคยมีข่าวออกไปว่ามีนายทุนเป็นไฮโซคนนั้นคนนี้ ขอบอกตรงนี้เลยว่า-ไม่จริง ไม่มีใครเป็นนายทุนเลย เราทำงานด้วยเงินของพวกเราเองทั้งหมด
0 กับ 'ที่เดิม' ตอนนี้..
(ตอบอย่างรวดเร็ว) จบฮ่ะ ทุกอย่างจบแล้ว เราพูดเฉพาะสิ่งใหม่ เรื่องนั้นไม่พูดแล้ว จบ พูดถึงสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นดีกว่าใช่มั้ยฮะ เราไปพูดเรื่องนั้นก็ไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าพูดเรื่องมันก็จะไม่จบ แล้วก็ไม่อยากพูดถึงแล้วด้วย ตอนนี้เราทำงานเรามีธุรกิจของเราแล้ว เราพูดในเรื่องธุรกิจของเราดีกว่า
0 ในแง่มูลนิธิเองก็เข้าใจตรงกันหมด
ทุกคนทำบุญหมดมีใจทำบุญแรงกล้า คือพอพูดถึงเรื่องการทำมูลนิธิไม่มีใครขัด ทุกคนอยากทำอยู่แล้ว มูลนิธิก็ควักเงินเองเลยสามคนลงเลยเป็นมูลนิธิ เราตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะไปช่วยเหลือสังคม ฉะนั้นจะเห็นว่า การเปิดตัวหนังสือของเราจึงเปิดตัวด้วยการทำบุญ เพราะเราคิดว่าการที่เราจะไปจัดงานแล้วหมดเงินไปกับความฟุ่มเฟือยมันก็ไม่ได้อะไร เรามอบส่วนตรงนี้ให้กับสังคมซึ่งต้องการความช่วยเหลือดีกว่า แล้วมูลนิธิเราจะช่วยเหลือไปตลอด กี่เปอร์เซ็นตอนนี้ยังไม่ได้กำหนด
0 การทำงานหนังสือของพี่ลูกน้ำแต่ละเล่มคือเริ่มจากเพื่อนทั้งสิ้น เล่มนี้มีความพิเศษกว่าที่ผ่านมายังไงบ้าง
พี่ถือว่าครั้งนี้อาจจะเป็นการทำหนังสือที่พี่มีส่วนการเป็นเจ้าของมากที่สุดจากการทำหนังสือที่ผ่านๆ มา จากที่ผ่านๆ มาคือการเป็นลูกจ้างเขากินแค่เงินเดือน แล้วจากนั้น เราก็มาเป็นหุ้นส่วน ซึ่งอาจจะเป็นหุ้นส่วนที่ไม่มาก แต่ ณ วันนี้เราก็มาทำเป็นเจ้าของหนังสือ ถึงเราไม่ได้เป็นเจ้าของคนเดียว แต่เราก็เป็นเจ้าของที่มีมูลค่าหุ้นวอลลุ่มของเราเยอะ ตรงนี้มันก็คือธุรกิจของเราอย่างเต็มที่แล้ว
และเรากับเพื่อนๆ ที่มาทำ ก็ถือว่า ทุกคนก็เท่ากัน เพราะฉะนั้น ตรงนี้ถือว่าเป็นการทำหนังสือที่น่าจะเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดที่เราได้ทำตรงนี้แล้วเพราะว่าตรงนี้เราสามารถที่จะคิดตัดสินใจหรือในการจะทำอะไรด้วยตัวเราเองได้
0 แล้วตอนนี้คติในการทำงานของลูกน้ำเป็นอย่างไร
คติในการทำงาน ตายแล้ว...ช่วยหน่อยอ๊อด ถามว่าคติของลูกน้ำในการทำงานคืออะไร? (คิดพักหนึ่ง) ก็คือ 'ทันสมัย ใหม่เสมอ' (ก่อนสรุปพร้อมๆ กับอนณจนจบว่า) 'ไม่หยุดอยู่กับที่ ไม่ซ้ำซากจำเจอยู่กับอดีต'
ทุกอย่างมุ่งไปข้างหน้า!!