: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตามรอย 'วิษณุฉัตร' คนถอดความ 'เด็กเก็บว่าว'

สัมภาษณ์พิเศษ /อิสรีอิน คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ตามรอย 'วิษณุฉัตร' คนถอดความ 'เด็กเก็บว่าว'กว่าจะกลับมาเป็น 'ลูกไม้ใกล้ต้น' ของ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ หรือ 'พนมเทียน' อีกครั้ง เวลาก็ผ่านไปนานเกือบยี่สิบปี แต่ดูเหมือนว่าเวลาไม่ใช่ปัญหาใหญ่นัก สำหรับนักเขียนหนุ่มรุ่นใหม่อย่าง วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ เจ้าของนามปากกา ผาด พาสิกรณ์ ที่หลายคนเริ่มติดใจในฝีไม้ลายมือการเขียนและคำศัพท์ใหม่ๆ ที่เขาบัญญัติขึ้นไว้ใช้เองเพราะทันทีที่เขาลงมือจับปากกาเขียนหนังสือเป็นจริงเป็นจัง เพียง 2 ปีที่กลับจากอเมริกามาอยู่เมืองไทย เขามีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องถึง 4 เล่มแล้ว เป็นนวนิยาย 2 เล่ม คือ 'ณ กาลครั้งหนึ่ง' และ 'ฝันที่แยกราชประสงค์' รวมเรื่องสั้น 1 เล่ม คือ 'สำเนียงของเวลา' และงานแปลอีก 1 เล่มในชื่อ 'เด็กเก็บว่าว' เป็นผลงานล่าสุด ซึ่งใช้ชื่อจริง-เป็นครั้งแรก
ในส่วนของเรื่องสั้นนั้น เข้าตานักเขียนรุ่นพี่คนหนึ่ง อย่าง ชาติ กอบจิตติ เข้าอย่างจัง ชื่นชอบมากถึงกับชักชวนมาร่วมวงพูดคุยเมื่อครั้งเปิดตัวหนังสือของตัวเองในชื่อ 'บริการรับนวดหน้า' อีกต่างหาก ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน พร้อมลั่นวาจาการันตีให้ด้วยว่า
"เขาเขียนหนังสือดี ไม่ใช่ว่าเป็นลูกพนมเทียนแล้วเขียนหนังสือดี-ไม่ใช่ กูยืนยัน!!" สามพยางค์สุดท้ายคงชัดเจนเป็นอย่างดี
สำหรับงานแปลเรื่องแรกในชีวิตของเขา ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แม้ว่าบรรยากาศในวันเปิดตัวหนังสือจะแย่สุดๆ ไม่น่าประทับใจนักก็ตาม แต่ 'หนังสือดีก็ย่อมจะมีคุณค่าในตัวของมันเอง'
ที่สุด 'เด็กเก็บว่าว' ที่เขาถอดความจาก The Kite Runner ของ ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ก็เข้าตากระแทกใจคนอ่านอย่างฉันเข้าอย่างจังทีเดียว ถึงขั้น 'วางไม่ลง' และขอตามล่าหาตัว 'คนถอดความ' มาคุยถึงผลงานที่ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ของ New York Time's Paperback BestSeller List มาอย่างน้อย 50 สัปดาห์ว่าเป็นเช่นใด โดยมีเรื่องย่อเล็กๆ ที่เขาทิ้งท้ายไว้นำทาง
"เป็นเรื่องของเด็กคนหนึ่งที่ทำ 'บางสิ่ง' ไว้กับเด็กคนหนึ่ง และอยากจะกลับไปแก้ไข โดยมีสงครามในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เป็นฉากหลัง"
อีกทั้งยังมีเรื่องค้างคาใจอีกมาก ไม่ว่าจะเป็น ตัวละครของเรื่องที่เป็น 'นักเขียน' ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชายในเรื่อง ตลอดจนสงครามอันน่าปวดร้าว โลกมุสลิมที่น่าศึกษา ฯลฯ ด้วยประเด็นที่มิอาจคุยกับใครได้นอกจาก 'คนถอดความ'
หลังจากนัดพบกันที่บ้านหลังใหม่ย่านรามอินทราที่เขาเพิ่งย้ายเข้าไปนั่นเอง จึงได้คำตอบว่า การทำงานกว่าจะเสร็จสิ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
พอเสร็จสิ้นถึงกับออกอาการ 'เข็ด' เล็กน้อย เพราะนึกไม่ถึงว่าจะต้องทิ้งงานเขียนของตัวเองไปเลย แล้วทุ่มกับงานแปลอย่างเดียว เสียงหัวเราะดังเป็นชุดๆ ที่ได้ยินจากคนที่เพิ่งหายไข้ในบ่ายนั้น ยืนยันชัดเจนว่าโล่งใจจริงๆ
ในบ่ายนั้น-จึงไม่แค่คุยกันแต่หนังสือเท่านั้น แต่ยังดิ่งลึกเข้าไปถึงความเป็นตัวตนของเขาอีกด้วย ครั้งนี้ได้รู้จักอีกชื่อหนึ่งที่ครอบครัวเรียกกันก็คือ 'Natty' นั่นเอง ซึ่งเขาก็แทนตัวระหว่างคุยกันอย่างเป็นกันเองว่า 'นัท' ด้วย ขณะที่คนสัมภาษณ์คุ้นกับชื่อนามปากกามากกว่า-เช่นเดียวกับแฟนหนังสือของเขา
และถ้าจะให้นิยามงานแปลเล่มนี้กันสักเล็กน้อย โดยยึดปฏิกิริยาอารมณ์และอาการตอนอ่านของคนถอดความแล้วล่ะก็ น่าจะบอกได้ว่า
"อ่านแล้วไม่เขวี้ยงทิ้ง (แล้วไปเก็บมาอ่านใหม่ด้วยความตั้งใจ) ไม่ใช่-เด็กเก็บว่าว"
เพราะอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ 'วางไม่ลง' จริงๆ และตอนนี้ ที่ห้องทำงานใหม่ในบ้านหลังใหม่ริมคลองหลังนั้น อาจจะมีชั้นหนังสือที่จัดไว้เฉพาะหนังสือแนวนี้ไว้แล้ว-ก็เป็นได้!!
ถึงตรงนี้แล้ว ไม่ว่าจะรู้จักเขาในชื่อใด หรือติดใจผลงานเล่มไหน-ได้เวลารู้จักเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว!!
0 จากอ่าน 2 วัน กะว่าแปล 7 วันก็เสร็จแล้ว แต่ทำไมไปๆ มาๆ กลายเป็นสามเดือน จนหนวดเคราออกเลย
(หัวเราะ) โอโห...มันยากนะ จากตอนแรกเราอ่าน เราเข้าใจนะ แต่พอจะไปแปลสิ่งที่เราเข้าใจ ปรากฏว่าเราเข้าใจเผินๆ พอต้องมาแปลแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย ไม่ได้นะ มันต้องให้ชัดกว่านี้นะ อีกอย่างหนึ่งคือพระเอกในเรื่องคือ อาเมียร์นี่ เขาเป็นนักเขียน แล้วเขาชอบใช้อุปมาอุปไมยด้วย ก็ถามคุณแม่ปรึกษาคุณพ่อบ้าง ติดต่อผู้เขียน ใช้ทุกทางเลย
0 ประเมินว่า The Kite Runner ดังจากอะไร
มันเป็นเรื่องของปากต่อปากซะมากว่า เหตุผลที่คนบอกต่อ นัทคิดว่ามันอยู่ที่ช่วงวินาทีๆ นั้น คือจริงๆ แล้วอย่างแรก เรื่องนี้สำหรับคนอเมริกันนี่ ถือว่ามันเป็นเรื่องของคนต่างชาติ ซึ่งอเมริกันเขาจะใจแคบ จะไม่ชอบเรื่องอะไรที่เป็นของต่างชาติมากนัก อีกอย่างเรื่องนี้นักเขียนหยิบยกสิ่งที่ค่อนข้างจะใกล้ตัวมา คือมันเหมือนกับวินาทีนั้น ซึ่งทำให้เรามาเป็นคนๆ นี้ แล้วบางทีเราตัดสินใจผิดอะไรลงไปนี่ เหมือนกับว่าเราก็ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต คล้ายๆ อย่างนั้น แล้วเขาหยิบอันนั้นมาเล่น ก็เหมือนกับที่พอเปิดมาหน้าแรกเขาถามคนอ่านเลยว่า เหมือนกับจะมีโอกาสได้กลับไปนี่ จะทำมั้ย?
0 นอกจากคำถามโดนแล้ว แนวเรื่องที่มีสงครามเป็นฉากหลังล่ะ มีส่วนกระตุ้นความสนใจให้ดังมั้ย
อย่างในเรื่องเขาก็บอกเหมือนกันว่าแต่ก่อนประเทศของเขาไม่มีใครรู้จักเลย แต่ทีนี้อยู่ๆ พอเวิลด์เทรดล้มลงมา เขาจะไปบอมบ์อัฟกานิสถาน ได้ยินทุกคนพูดถึงอัฟกานิสถานขึ้นมา ก็กลายเป็นถิ่นที่คนอเมริกันรู้จักขึ้นมา มีลูกมีหลานไปรบอยู่นั่น
ซึ่งตั้งแต่เราเติบโตมานี่ ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่นั่นเขามีชีวิตยังไง มีการเล่นว่าว ไม่เคยเห็น นึกหน้าตาเด็กๆ ที่นั่นก็ไม่ออกว่าเป็นยังไง ตอนแรกนัทยังนึกว่าเป็นแขก แบบอินเดียน่ะ แต่พอไปดูรูปแล้วไม่ใช่นะ ออกแขกขาว แล้วตาเป็นสีเขียวจริงๆ คือถ้าเป็นผู้หญิงก็สวยเลยนะ แล้วพวกฮาซาราก็เพิ่งไปเห็นในอินเทอร์เน็ต ก็อย่างที่เขาอธิบายไว้เลย กลมๆ แล้วมีคางเป็นก้อนออกมา ตาเล็กๆ เป็นพวกมองโกล แล้วมันไม่ผสมด้วย ไปๆ มาๆ มันอยู่ในไลน์ของมันเลย เขาก็ไม่ได้มามิกซ์กัน
0 มีการแข่งชนชั้นและเชื้อชาติที่โหดร้ายมาก
นัทคิดว่าสิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้น คือ 'การสิ้นชาติ' พออ่านแล้วจะรู้สึกมากกว่าการแบ่งชนชั้นหลายเท่าเลย เพราะว่าอย่างอาเมียร์กับบั๊บบา เราเห็นชีวิตเขามา เขาก็เล่ามา 7-8 บท เรารู้ว่าการเป็นอยู่เขาเป็นยังไง แต่อยู่ๆ ก็ต้องไปอยู่อเมริกา บั๊บบาก็ต้องไปทำปั๊มน้ำมัน เรานึกภาพว่า เอาภาพเรากับพ่อเราไปเสียบตรงนั้น อยู่ๆ พ่อเราต้องไปซ่อมรถ ต้องไปเติมน้ำมันให้คน ซึ่งถามว่ามันเกิดขึ้นได้มั้ย ถ้าเกิดชาติมันล่มสลาย มันก็เกิดขึ้นได้ แล้วมันเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่พอสมควร
0 มีสิ่งหนึ่งที่ฮาเหล็ดพูดถึงอเมริกา อังกฤษ อิสราเอลแล้ว เขาก็หันกลับมาอัดประเทศของเขาเองด้วยว่า ถ้าคนอัฟกันพูดอะไรให้หารสอง
ใช่ๆ ว่าค่อนข้างขี้โม้ เรื่องนี้นัทว่าในที่สุดแล้ว มันเป็นทริกที่ดีนะ ถ้ามองในแง่นักเขียน คือจะเห็นได้ชัดเลยว่า ฮาเหล็ดเขาเขียนให้ฝรั่งอ่าน เพราะฉะนั้นแล้ว การอธิบายต่างๆ เขาจะค่อนข้างอธิบายละเอียด เขาจะอธิบายว่า กลิ่นของอากาศมันเป็นยังไง อาหารมันคืออะไร คือเขาอธิบายให้ฝรั่งที่ไม่เคยเห็นอัฟกานิสถานอ่านแล้วเข้าใจ
เพราะฉะนั้น มันก็เหมือนอีกมุมมองหนึ่งว่า ถ้าเกิดคนไทยอยากจะเขียนให้เรื่องมันเป็นอินเตอร์ อาจจะต้องทำอย่างนั้น เพราะว่าบางทีถ้าเราพูดถึงสวนจตุจักร แต่ถ้าเราพูดให้แค่คนไทยอ่านไม่ได้ ต้องอธิบายให้ละเอียดเลย ซึ่งฮาเหล็ดจะใช้วิธีเขียนอย่างนี้เยอะ มันจะออกไปในรูปเปิดฉากปั้งออกมา แล้วอธิบายว่านี่คืออะไรๆ ออกมาก่อน แล้วก่อนที่จะอินเตอร์แอ็คชั่นของตัวละครมันคืออะไร
0 คำพูดที่ว่า 'ยังมีหนทางคืนกลับมาดีได้อีกครั้งนะ' คนแปลเองมองเรื่องที่ว่า 'ดี' ยังไงบ้าง
คำกล่าวนั้นก็น่ากลัวนะ เพราะว่ามันไม่ได้บอกว่า กลับมาเป็น 'คนดี' ได้อีกครั้งนะ แต่มันบอกว่ามัน 'กลับมาดี' ได้อีกครั้งในภาษาอังกฤษ คือมันระบุถึง 'เหตุการณ์' ไม่ได้ระบุถึง 'คน'
คือในที่สุดเขาก็ได้ไถ่บาปในสิ่งที่เขาพร่องไป สิ่งที่ทำให้มันหลอกหลอนเขาตลอดมา ตอนราฮีมถามรู้ตลอดเวลามันไปไหนไม่รอดหรอก ไปไหนก็คิดตลอดกับประเด็นตรงนี้ ในที่สุดก็กลับมาตรงนี้สิ ทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
0 มีความเห็นยังไงกับวิธีการเขียนของฮาเหล็ดที่ดูเหมือนชอบแกล้งตัวละคร-คนดูที่ไม่ยอมให้จบเรื่องสักที
เหมือนกับว่ามันไม่มีคำตอบให้กับทุกสิ่งทุกอย่างว่าเขาก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่ว่าในที่สุดเขาพยายามจะให้เหมือนชีวิตจริงที่สุด คือบางทีเราทำดีที่สุดแล้วนี่ มันก็ไม่ใช่ว่าออกมาแล้ว โอ้..ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนดีใจกันหมด บางทีมันก็ออกมาครึ่งๆ กลางๆ แต่เขาก็ยังได้ทำ
0 จากตอนอ่านมาถึงตอนแปลนี่เป็นยังไงบ้าง
ตอนอ่านนี่ นัทจำได้ว่าขว้างหนังสือทิ้งไปสองสามครั้งได้มั้ง ตะโกนลั่นบ้านเลย "แม่งอะไรวะ" (เสียงดัง) แล้วอ่านต่อไม่ได้นะ คือเราถูกเลี้ยงมา คือต้องรักเพื่อนนะ คือเราไปลุยกับเพื่อนมาแต่นี่ มันยังไงก็ไม่รู้ ผู้ชายแปลก ตอนแรกอ่านนึกว่ามันเป็นเกย์มาตั้งนาน (หัวเราะ) อ่านแล้วก็เห็นภาพชัด แล้วปีหน้าเขาทำหนังแล้วนะ
เรื่องเขวี้ยงหนังสือทิ้งนี่เป็นอย่างนี้ คือใจหนึ่งที่คิดว่ามันแปลกก็คือว่า มันเหมือนเรื่องปกติเวลาถ้าใช้ 'ผม' เล่า ส่วนใหญ่จะเป็น 'ผม-ผู้ดู' อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ แล้วมีพระเอกมีผู้ร้ายแล้วผมก็เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คือตัว 'ผม' -จะไม่ค่อยรีแอ็คเท่าไหร่ แต่นี่มันเหมือนกับ 'ผม' -เป็นตัวอิจฉาเลย แล้วก็เล่าผ่านตัวอิจฉาออกไป คราวนี้ด้วยความที่เราถูกเลี้ยงถูกสอนมาให้รักเพื่อน ถ้าเพื่อนช่วยเรา เราช่วยเพื่อน พอเห็นอย่างนี้แล้ว เหมือนกับ 'อะไรวะ' มันทนไม่ได้แล้วก็ขว้างหนังสือน่ะ (หัวเราะ)
0 เมื่อก่อนเคยเป็นมั้ย การเขวี้ยงหนังสือแบบนี้
ไม่มี ถ้าไม่ชอบก็วาง จะเฉยๆ ไอ้นี่เขาเรียกอะไรนะ รู้สึกเหมือนกันว่าพอขว้างไปแล้ว นัทก็รู้สึกเหมือนกันว่า เออ...มันคงต้องมีอะไรสักอย่าง ซึ่งมันเรียกความรู้สึกได้ขนาดนี้
0 ในฐานะที่เป็นนักเขียนเหมือนกัน ดูกลวิธีการเขียนเขา ทึ่งมั้ย
สำหรับเรื่องแรกของเขาถือว่าทึ่งทีเดียวสำหรับนักเขียนคนนี้ เพราะเวลาเขาเล่าอะไรไปจบไปฉากหนึ่งแล้ว เขาก็ปล่อยอะไรให้เราต้องตามออกไปอีก แล้วบางทีบทต่อไปนี่ไม่ได้ต่อจากบทนี้เลย มันข้ามไปไหนก็ไม่รู้ มันเหมือนกับมีอิสระในการหยิบยกอะไรก็ได้มาเล่า
0 แปลเรื่อง 'เด็กเก็บว่าว' แล้วนี่ ตัวคนถอดความนี่มีอะไรเกี่ยวกับว่าวๆ มั้ย
(หัวเราะ) จริงๆ นัทสาบานได้ว่า ตั้งแต่เกิดมา ชักว่าวยังไม่เคยขึ้นฟ้าเลยนะ นัทไม่เคยเอาว่าวขึ้นไปลอยได้เลย เรื่องว่าวๆ ไปๆ มาๆ ต้องไปถามคุณพ่อทั้งหมด เพราะนัทไม่รู้เลยว่าเขาเรียกว่าป่านคม แล้วเขาจะมีทริกของเขาว่าเหินแล้วดิ่ง อันนั้นมาจากพ่อทั้งหมด เพราะว่านัทไม่เคยเล่น จนถึงตอนนี้ก็ยังชักไม่เป็น เพราะไม่เคยมีที่ที่จะออกไปวิ่งอะไรกับเขาได้
0 ระหว่างที่แปลไปนี่ นึกเปรียบเทียบบ้างมั้ยในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกชาย
มีครับ พ่อค่อนข้างน่ากลัว อาเมียร์กับบั๊บบาก็ประมาณนั้น นัทว่า มันเป็นคล้ายๆ เหมือนกับลูกชายทุกคน คือเขาจะมีความรู้สึกอย่างนี้กับพ่อ อย่างเวลาดูเพื่อน ๆ ก็เหมือนกันเขากับพ่อจะมีปัญหากัน คือความคาดหวังเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องใหญ่ ๆ น่าจะเป็นเรื่องความเป็นพ่อมากกว่า คือ พ่อของทางเอเชียนี่ จะเป็นพ่อที่เราต้องเทิดทูน เวลาเราโตแล้วไปอยู่ที่โน่นนานๆ เราเห็นพ่อฝรั่งเขาตบหัวตบไหล่เล่นกันเหมือนเป็นเพื่อนกัน แต่พ่อทางเอเชียจะเป็นปูชนียบุคคล พอวัยลูกโตขึ้นมา พ่อก็เปิดนิดหน่อย
0 ตัวละคร-คนแปลเป็นนักเขียนเหมือนกัน น่าจะทำให้ทำงานง่ายขึ้น
ไม่เลย (ตอนทันที) การที่ตัวละครเป็นนักเขียนจะทำให้งานหนักไปนิดหนึ่ง เพราะตัวละครมันจะชอบเล่นคำ แล้วชอบใช้สำนวนสำเร็จ ซึ่งจริงๆ แล้ว ถ้าเกิดเป็นนักเขียนเกี่ยวกับวรรณศิลป์ที่โน่นนี่ ครูเขาจะด่านักด่าหนาว่าอย่าใช้สำนวนสำเร็จอะไรพวกนี้ แต่เรื่องนี้มันเจาะจงใช้เลย พอมีโอกาสปุ๊บมันก็หยิบสำนวนสำเร็จมาเสียบปั้งๆ ๆ ลงไป แล้วเวลาเสียบลงไปทีไร มันก็จะเล่าให้ฟังด้วยว่า มันตั้งใจเสียบลงไปนะ เพราะเหตุผลอย่างนี้ๆ
แต่สำนวนสำเร็จ มันก็เหมือนอุปมาอุปไมยอย่างหนึ่งคือ บางทีเราแปลออกมาตรงๆ ไม่ได้ เราต้องมาชั่งเอา ยกตัวอย่างสำนวนสำเร็จอะไรดี อือ...'เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส' นี่คือคำอะไรก็ตามที่มันมาตามยุค แล้วก็เป็นประโยคสำเร็จ ซึ่งใครคนหนึ่งพูดมาแล้วมันก็ติดปาก แล้วพอคนพูดแล้ว ความหมายมันเลือน มันกร่อนไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดว่าเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส แต่ว่าความหมายจริงๆ ของมันเหมือนกับว่า คนแทบจะไม่คิดถึงความหมายของมันเลย แต่ก็พูดออกมาลอยๆ ซึ่งโดยตามหลักแล้ว นักเขียนเขาจะไม่ใช้ เขาห้ามใช้กัน แต่คนนี้ใช้ตลอดเวลา
0 หลังจากอ่านเรื่องเด็กเก็บว่าว ซึ่งมีสงครามเป็นฉากหลังนี่ มีไอเดียหยิบจับฉากอย่างนั้นมาสร้างสรรค์งานเขียนตัวเองบ้างมั้ย
ไม่มีครับ (ตอบเสียงเข้มแล้วก็หัวเราะตาม) รู้สึกว่าของพวกนี้เรียกว่ามันต้องสัมผัสนะ มันถึงจะเขียนได้อย่างนั้น เพราะว่ามากกว่าความที่เป็นสงครามเฉยๆ แต่มันมีความสะเทือนใจของสงครามที่มันเขียนยากมาก อย่างของฮาเหล็ดนี่เขาฝังใจเลย เพราะฉะนั้น ตรงนั้นที่เขามี เราไม่มี แนวเรื่องของนัทก็เป็นเรื่องเล็กๆ รอบตัวมาเล่ามากกว่า เพราะมันถนัดอย่างนั้น
0 ถามถึงชีวิตนักเขียนบ้าง เป็นนักเดินทางหรือเปล่า
เป็น เดินอยู่ที่ซ้ำๆ กันนี่แหละ (หัวเราะ)
0 ได้ยินมาว่าเป็นนักเดินทางที่มักจะหลงทาง
หลงทาง คือนัทจะไปถ้าเกิดออกไปต่างจังหวัด ไปได้ แต่ถ้าให้นัทเข้าไปในเมืองนี่ จะเข้าไม่ค่อยได้ บางทีมันเลี้ยวซ้ายขวาผิดเวลามันหายไปสองชั่วโมงเลยนะ คือไปไหนก็ได้อย่าให้มันเป็นถนนรถติด ขับรถไปไหนไม่ได้เลย
คือเรื่องหลงนี่มันเรื่องหนึ่ง แต่ทนไม่ได้ที่ไปนั่งติดในรถ นัทเคยเห็นนะฮะ แม่ค้าที่เดินหาบถั่วต้มเดินแข่งกับรถ ภาพนี้จริงๆ เคยเห็นสูสีกันอยางนี้ ตั้งแต่พัฒนาการจนถึงเดอะมอลล์สามสี่ ไปถึงราม จากแยกพัฒนาการ อยู่อย่างนี้ นัททนไม่ได้ แล้วนัทจะเป็นคนที่ค่อนข้างเกรงใจคน สมมติว่าเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกไปไหน นัทจะหลบเลี่ยงเวลาที่ออกไปทำให้รถติดมากที่สุด
0 ชอบอยู่บ้านมากกว่า
ไม่นะ ตีสองตีสามจะไปไหนบอก คืออย่างนี้ ถ้าให้ขึ้นบนรถสตาร์ท แล้วฉิวเลยอย่างนี้ไปได้ นัทเป็นคนที่จำกลางคืนได้ง่ายกว่า เพราะว่ากลางคืนนี่ เราจะเห็นว่าป้ายร้านนี้สีเขียวสีแดงอะไรอย่างนี้เราจะเห็นชัดๆ เลย แต่ว่ากลางวันทุกอย่างมันสีเทาหมด แล้วมันไม่มีอะไรที่จำได้
0 อย่างนี้ไม่บ่งบอกถึงความเป็นหนุ่มท่องราตรีเลยนะ
ไม่มี นัทเป็นคนไม่ค่อยชอบเที่ยวกลางคืน ตั้งแต่คาราโอเกะมันมีชีวิตขึ้นมา นัทไม่เที่ยวเลย นัทโคตรเกลียดคาราโอเกะเลย
0 เหตุผลคือ
คือสมัยก่อนจะมีร้านเหล้า ซึ่งทุกคนพอเข้าไปกินเหล้ากัน มันจะมีดนตรีสามสี่ชิ้น พอดนตรีเริ่มเมาๆ กันแล้ว ก็จะไปออกันหน้าเปียโนอย่างนี้ แล้วแย่งไมค์กันร้อง คือร้องทั้งร้าน สมัย 'ก็เคยสัญญา' กำลังดังอะไรอย่างนี้ มันจะมีร้านเหล้าเล็กๆ มันเป็นเหมือนกับในที่สุดแล้ว สปิริติมันมารวมกันอยู่ในกลุ่มๆ เดียว แล้วมันเมามันเฮกันทั้งหมด แต่พอคาราโอเกะนี่ นึกภาพออกมั้ยว่า ไอ้คนนี้ขึ้นไปร้อง อีกคนนั่งเลือกเพลงว่ากูจะร้องเพลงอะไรดี แล้วก็รำคาญเมื่อไหร่จะลงมาสักที กูจะได้ขึ้นไปร้องมั่ง มันเหมือนกับทุกคนแก่งแย่งกัน วนเวียนกันอย่างนี้ ในที่สุดมันก็เหมือนกับอะไรก็ไม่รู้ เหมือนกับก็อย่าไปเที่ยวดีกว่า อยู่บ้านเปิดเพลงฟังดีกว่า
0 ไม่ใช่เพราะแย่งไมค์ไม่ทันใช่ไหม
ไม่ใช่ (หัวเราะ) นัทนะ ถ้าเข้าไปที่ไหนแล้วเขาร้องเพลงดีๆ นัทนั่งฟังนะ แล้วนัทไม่กินเหล้าด้วย นั่งฟังอย่างเดียวได้สบายๆ เบียร์ก็ไม่กินนะ แต่ชอบกลิ่น แล้วชอบคนเมา คือนั่งได้ เพราะมีกับข้าวอร่อยๆ ให้กิน (หัวเราะ) ชอบเวลาคนกินเหล้าคนคุยกันมีเสียงเพลง อะไรมันเฮฮาดี
0 ถ้าอย่างนั้นเวลาการทำงานเป็นยังไง
ปกติเลยนัทจะตื่นเวลาสักประมาณนี้ (4 โมงเย็น) ถ้าตื่นเวลาขนาดนี้ทำงานได้สบายเลย แล้วนอนสัก 7-8 โมงเช้า
0 ตอนย้ายบ้านมาที้นี่เริ่มมีพล็อตอะไรหรือยัง
ยังไม่มีฮะ แต่นัทเห็นยอจากห้องทำงาน เขามียกยอ แต่ว่าทุกวันนั่งส่องกล้องดูอยู่ เขาไม่ได้ปลาเลยมีแต่ขวดเอ็มร้อยวางอยู่ (หัวเราะ) เราก็นั่งลุ้นอยู่ทุกวันๆ นึกว่ามาอยู่แถวนี้เห็นบ้านมียอเราก็กะจะเห็นปลาตัวใหญ่ๆ ขึ้นมา
0 พ่อให้คาถาอะไรมั้ยเกี่ยวกับการเขียน
เป็นคำสอนมากกว่าตั้งแต่เด็กๆ ละ แต่เพียงไม่ได้มาสอนเรื่องเกี่ยวกับการเขียนโดยตรง เขาเพียงแต่บอกว่าให้เราอยู่เป็น 'ผู้ดู' มากกว่าเป็น 'ผู้แสดง' ตั้งแต่เด็กๆ เลยเวลาไปทานข้าวที่ไหนนี่ แกก็จะนั่งที่มุมใดมุมหนึ่งแล้วบอกว่านี่ดูสิ ดูรอบๆ ตัว คนไหนเขาทำอะไรยังไง เขาจะสอนอย่างนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก็เป็นวิธีการสังเกตุให้ดูให้อะไรตรงนี้แหละ
เพราะฉะนั้นเราก็จะเห็นอะไรอย่างนี้ แล้วบางทีเราก็เก็บภาพเหล่านั้นมาใช้ เหมือนบางทีนัทเข้าไปบาร์นัทจะไม่ค่อยกินเหล้า คือไม่ชอบเลย บางทีเราไปนั่งอยู่ตรงนั้น อยากให้ตัวเองหายกลืนไปกับกำแพงด้วยซ้ำไป บางที ได้เห็นภาพอะไรแปลกๆ
0 แล้วเรื่องภาษาล่ะ
คืออย่างนี้ กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตอนที่อยู่อเมริกา สมัยโลกยังไม่แคบเหมือนสมัยนี้ คือยังไม่มีอีเมล์อะไร เขียนอะไรถึงบ้านก็ต้องเขียนจดหมายอย่างเดียว แล้วพออยู่สักพัก ไอ้ที่ไปก่อนเลยที่จำได้คือ สระ 'ไ' กับ 'ใ' อันนี้ไปก่อนเลย เวลาเขียนจดหมายกลับบ้านก็เลยใช้วิธีลากเป็นสระเอยาวๆ ขึ้นไป แล้วหัวไปคิดเอาเอง อันนั้นเป็นครั้งแรกที่นัทโดนด่าอย่างแรงเลย แล้วตอนนั้นไปแค่ไม่กี่เดือนเอง นัทก็โดนด่าเรื่องนั้น แล้วนั่นเป็นครั้งเดียวที่จำได้ว่าโดนเรื่องภาษา แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ใช่ว่าพัฒนานะ (หัวเราะ) ก็ยังเขียนผิดๆ ถูกๆ
0 เขียนเพราะบังคับหรือ
ไม่ใช่พ่อบังคับ เขียนมาขอเงิน (หัวเราะ) เขียนแบบว่า เขียนมาถึงบ้าน เขียนขอเงินบ้านอะไรบ้างเขาไม่ได้บังคับ
0 ตอนครั้งเดียวที่หนักสุด
ประมาณด่าเลย คือเขียนกลับมาเป็นเรื่องเป็นราว แล้วเวลาพ่อเขียนมาเขาจะเป็นพิมพ์ดีดมา ดูเป็นการเป็นงานมากในขณะที่แม่เขียนเป็นลายมือ
0 จริงๆ ก็มีแววการเขียนตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ
คือตอนเด็กๆ นัทชอบแข่งรถ แล้วไม่ค่อยมีตังค์เติมน้ำมัน ก็อยู่โรงเรียนวชิราวุธ เวลาออกมาจากโรงเรียนที สมัยที่เขาซิ่งๆ รถกัน เผอิญพ่อแม่เขาเปิดหนังสืออยู่ แต่งกลอนส่งไปก็ได้ทีละ 300 บาท ก็เลยเขียนใหญ่เลย เขียนกลอนโอ้ย...สบายมากแลกกับน้ำมันรถ 300 บาทแต่ก่อนก็ได้เกือบเต็มถัง ตอนนั้นลงหนังสือของพ่อแม่บ้าง สตรีสารบ้าง ไม่รู้เขาใช้ชื่ออะไรหรือเปล่า แต่ได้ค่าเรื่องทีละ 300 บาท ไม่รู้ว่ามันกระตุ้นการเขียนหรือเปล่า แล้วนัทก็เคยแต่งเพลง ก็ชอบอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก
0 อารมณ์เขียนเพราะได้ตังค์นี่มันหายไปช่วงไหน
อยู่อเมริกาแหละ พอไปทางโน้นปุ๊บมันก็เริ่มรู้สึกอยากเขียน สักประมาณปี 1994-1995 (กลับมาปี 1999) เริ่มทำจริงๆ จังๆ แล้วก็อยากเป็นนักเขียน คือพยายามส่งจริงๆ มันก็ช่วงปีสองปีนี้
0 คุณพ่อบอกว่าเขียนนิยายดีกว่า เพราะเรื่องสั้นทำงานหนักแต่ได้เงินน้อย ซึ่งตรงข้ามกับลูกชาย
นัทว่าเรื่องสั้นมันมันส์ดีนะ จบง่ายแล้วมันกระชั้นดี แล้วส่วนใหญ่เรื่องสั้น เราจะเอาตัวตนของเราออกมาเล่นได้เยอะ มุมมองต่างๆ ความคิด นี่เพิ่งได้รับคำวิจารณ์จากคนอ่านเลยว่า นัทเป็นพวกซาดิสท์ชอบแกล้งคนอ่านซึ่งบางทีเราไม่ได้ตั้งใจนะ มันเป็นอย่างนั้นของมันเองบางทีมันมาทางนั้นเอง
0 อย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือมีการสร้างคำใหม่ด้วย
จริงๆ มันไม่ได้ตั้งใจนะ คือว่าอย่างนี้ อย่างบางคำที่จำได้เร็วๆ นี้ คือคำว่า 'ปรีดาอุทาน' อันนั้นใช่เลย คือเราไม่ได้ตั้งใจว่าเฮี้ยนมาบัญญัติศัพท์ใหม่ แต่ว่ามันไม่มีจริงๆ คือคำอุทานของคนไทยมี แต่เวลาคนคิดถึงคำอุทาน คิดว่าตกใจ แต่มันมีปรีดาอุทาน ได้เหมือนกัน บังเอิญมันไม่มีระบุไว้ นัทก็เลยมาใส่ว่าเป็นปรีดาอุทาน แล้วก็รู้สึกว่า เออ ตรงความรู้สึกดี
0 แน่นอนว่าย่อมถูกนำไปเปรียบเทียบกับคุณพ่อบ่อยครั้ง
ตรงนั้นมันมีแน่นอน แต่ถามว่ามันเป็นจุดที่ทำให้เราเปลี่ยนความตั้งใจมั้ย ไม่เป็น แต่ความกังวลน่ะมี แล้วรู้ด้วยว่า คนจะต้องเปรียบเทียบกันแน่นอน แต่จริงๆ ทุกวันนี้ ก็มีกลุ่มเพชรพระอุมากลุ่มหนึ่งซึ่งอ่านงานของนัทอยู่ แล้วก็อยู่แล้วว่า งานของเราไม่ใช่คอเพชรพระอุมาเลย แต่เขาก็ยังอ่านแล้วเขาก็ติ แล้วเราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงติ แต่ว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลย เหมือนกับพ่อเขาเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ ต้นหนึ่งที่เราโตขึ้นมาแล้วยังไงก็ออกจากเงาตรงนั้นไม่ได้ ก็อยู่ตรงนั้น แต่ว่ามันก็เป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง อย่างจอห์นเลนนอนมีลูกคนหนึ่ง เป็นจูเนียร์เลนนอน ยังไงๆ ลูกก็ไม่เหมือนพ่อ คือคนจะไปจำภาพพ่อตลอดเวลา ยังไงๆ ลูกก็ไปยืนตรงนั้นไม่ได้ แล้วนัทก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปยืนด้วย
0 ความกดดันนี้มีผลต่อความละเอียดในงานเพิ่มขึ้นมั้ย
มันมีส่วนมั้ย มี แต่ก็ไม่แน่ใจว่า การที่เราไม่อยากปล่อยอะไรออกไปง่ายๆ เป็นความจู้จี้จุกจิกส่วนตัวหรือเปล่าเพราะเวลาทำงานโฆษณาก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คือให้มันสุดความสามารถของเรา แล้วก็ปล่อยออกไป
0 ดึงงานโฆษณามาใช้กับงานเขียนยังไงบ้าง
ในแง่การขมวดปมเรื่องคิดว่า น่าจะ 'มี' อยู่เหมือนกัน ซึ่งบางอันเราอาจจะไม่ได้ตั้งใจคือมันออกมาเอง เพราะว่างานโฆษณาจริงๆ แล้วอย่างเดียวก็คือมันจะคุยอะไรต้องคุยให้ชัดภายใน 15-20 วินาที จนบางทีก็ถูกถามเหมือนกันว่าเร็วไปหรือกระชากไปหรือเปล่าก็มี
แต่ในแง่โปรโมท 'ไม่มี' เลย แม้กระทั่งปกก็มีคนมาบอกว่า น่าจะให้ปกมันเหมือนกัน นัทบอกว่านี่มันคืองานเขียน คือมันต้องให้แนวหนังสือมันเป็นตัวนำ และนัทเองก็คิดว่า พอมาจากสายโฆษณาที่ทุกอย่างจะต้องเป็นแบรนด์ เป็นอิมเมจทุกอย่างมาแล้ว ก็วางให้หมดเลย ให้งานนำดีกว่า
0 ความสุขอย่างหนึ่งที่มากกว่าค่าต้นฉบับตอนนี้คืออะไร?
นอกจากเวลาเขียนงานออกแล้ว ก็เป็นตอนเวลามีแฟนหนังสือเข้ามาคุยกับเราหรือว่าส่งอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ตอนนี้ก็มีขนม มีโมบาย (จะนำไปตกแต่งบ้านหลังใหม่ด้วย) ก็มีความสุขดีนะ เราก็โทรไปขอบคุณเขา แต่มันมากกว่าโมบาย พวกนี้มันคือว่าเขาคิดถึงเรา ส่งมาให้เรา มันน่ารักดี ซึ่งภาพอย่างนี้ไม่ใช่ภาพที่ค่อยใหม่เท่าไหร่นะ เพราะว่าคุณพ่อเองบางทีได้ขาเก้งมา น้ำผึ้งจากป่า มันเป็นภาพที่เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มันเป็นภาพที่อบอุ่นดี