: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ตลาดนัดออนไลน์ ยุคทอง 'นักเขียนไซเบอร์'

รายงานพิเศษ/นภาพร แจ่มทับทิม คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ตลาดนัดออนไลน์ ยุคทอง 'นักเขียนไซเบอร์'ดูเหมือนว่าเรื่องราวบนหน้าเวบไซต์ จะคืบคลานเข้าถึงวิถีชีวิตผู้คนในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น ด้วยรูปแบบการสื่อสารที่เป็นไปโดยเสรี ที่สำคัญ คือการนำเสนอข้อมูลที่ส่งตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย
'สื่อสิ่งพิมพ์' เอง ก็ถูกต่อยอดเพิ่มมูลค่าผ่านการเชื่อมโยงกับชุมชนออนไลน์ด้วยเช่นกัน ผสานช่องทางการตลาดแบบเฉพาะกลุ่ม (Niche Market)
ด้วยมูลค่าการตลาดกว่า 2 พันล้านบาทในกลุ่มหนังสือวัยรุ่น และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับเป็นเค้กก้อนโต ที่ทำให้สำนักพิมพ์ต่างๆ ลงมาเป็น 'ผู้เล่น' ช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดกับกลุ่มนี้ที่มีกำลังซื้อสูง
ที่เห็นได้ชัด การคัดสรรเรื่องราวที่ถูกนำมาตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แจ่มใส ที่เริ่มต้นจาก 'การแบ่งกันอ่าน' และ 'แชร์ความเห็น' ในเวบไซต์ กระทั่งกลายเป็นพอคเก็ตบุ๊คยอดนิยมของวัยเรียน เป็น Best Seller หลายต่อหลายเล่ม
สำหรับการก้าวขึ้นสู่ขวบปีที่ 6 ของ www.dek-d.com เวบไซต์ที่โดดเด่นด้วยคอนเทนต์ของนิยาย เรื่องสั้น บทความ ไดอารี่ สาระเรื่องราว ที่เกิดขึ้นเพื่อเอาใจวัยทีนโดยเฉพาะ
วโรรส โรจนะ โปรแกรมเมอร์หนุ่ม หนึ่งในผู้เริ่มก่อตั้งแต่ครั้งเรียนอยู่ชั้นมัธยม เวบมาสเตอร์และผู้ดูแลในเซกชั่น Entertain Story
ที่น่าสนใจคือ การนำเสนอคอนเทนต์ประเภทนี้เริ่มต้นตั้งแต่เปิดเวบไซต์ หากแต่มาเบ่งบานในช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้มีจำนวนบทความให้ช่วยกันอ่านอยู่ที่เกือบครึ่งแสน ซึ่งทางเวบเองเป็นเพียงผู้สนับสนุนเวทีกับนักเขียนหน้าใหม่ ทุกเรื่อง ที่เคารพกฎกติกา และเนื้อหาที่มีความเหมาะสม เพียงแต่การนำมาออนไลน์ต้องเป็นไปตามคิวเท่านั้น
เพราะการมีพอคเก็ตบุ๊คเป็นของตัวเอง ไม่ได้เป็นความใฝ่ฝันสำหรับคนดังเท่านั้น แต่บทความที่ได้ลงนำร่องผ่านเวบไซต์นี้ได้มีผู้เข้ามาอ่านอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อการนำไปตีพิมพ์ สำหรับจำนวนเรื่องที่มีการตีพิมพ์ในปี 2548 มีกว่า 100 เรื่องจากสำนักพิมพ์ต่างๆ อย่างเช่น สยามอินเตอร์บุ๊ค แจ่มใส สีม่วงอ่อน สถาพรบุ๊ค และขณะนี้บทความที่ปรากฏบนหน้าเวบก็กว่าครึ่งแสนไปแล้ว
โดยทุกบทความในคอลัมน์นี้ ถือเป็นสิทธิของเจ้าของบทความแต่เพียงผู้เดียว ตัวเวบไซต์เป็นเพียงตัวกลางที่ช่วยประสานระหว่างสำนักพิมพ์กับผู้เขียนเท่านั้น
สำหรับเรื่องที่ได้นำลงเวบ และได้รับการตีพิมพ์นั้น ส่วนใหญ่เรื่องที่ถือว่าขายดี จะเป็นเรื่องราวแนวแฟนตาซี อย่างเช่น เดอะ ไวท์โรด ของ ดร.ป๊อบ, 'หัวขโมยแห่งบารามอส' ของ แรบบิท, Last Fantasy ของ แสงจันทร์ ที่มีถึงเล่ม 5 แล้ว หรือเรื่องแนวสยองขวัญอย่าง HACKER คอมพิวเตอร์อาถรรพ์ ของ MR.AXE (EDTO LINE)
ด้วยเจตนาที่ต้องการเปิดเวทีสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ให้ได้มีโอกาสในการทดลองฝีมือด้านการเขียน
"สำหรับเด็กที่ใฝ่ฝัน อยากจะเป็นนักเขียนจริงๆ แล้ว ผมเชื่อว่ามีเยอะมากเลย แต่เมื่อก่อนเขาอาจจะไม่มีโอกาสที่จะเขียน จากที่ต้องส่งต้นฉบับที่เป็นก๊อบปี้ หรือเป็นจดหมาย รอสำนักพิมพ์ตรวจก่อนที่จะได้ลงตีพิมพ์ ซึ่งมันค่อนข้างที่จะยุ่งยาก แต่ปัจจุบันเขาสามารถที่จะส่งเรื่องของเขาขึ้นเวบได้เลย
"และเป็นข้อดีอีกอย่าง คือเขาได้ฝึกเขียนก่อน และพอได้ลงเวบก็จะมีคนอ่านหลายคน เข้ามาช่วยกันเขียนแนะนำ ช่วยกันติติง เขาก็มีโอกาสได้ปรับปรุงเรื่องของเขาด้วย แล้วสุดท้ายเมื่อเรื่องมันดีที่สุดแล้วเนี่ย เขาก็สามารถที่จะส่งเรื่องไปให้สำนักพิมพ์ได้ เอาไปตีพิมพ์ นอกจากเรื่องที่จะได้ตีพิมพ์แล้วเขาก็จะมีแฟนคลับของเขาเองด้วย ที่ติดตาม ติชมเรื่องนี้มาแล้วตอนที่อยู่บนเวบ ก็จะตามไปซื้อตอนที่เป็นหนังสือจุดนี้ ก็เท่ากับเป็นการโปรโมทหนังสือไปด้วย"
ส่วนพลวัตที่เกิดขึ้นในวงการสิ่งพิมพ์ของนักเขียนไซเบอร์นั้น แตกต่างจากวรรณกรรมของนักเขียนมืออาชีพ ซึ่งเขาคิดว่านักเขียนสามารถพัฒนาฝีมือได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
"จะเรียกว่านักเขียนมืออาชีพมีข้อด้อยก็ไม่ได้ นักเขียนไซเบอร์มีข้อได้เปรียบก็คือว่าผลงานมันเผยแพร่บนเวบ ที่ใครก็สามารถที่จะเข้ามาอ่านก็ได้ ทำให้มีนักอ่านรู้จักเรื่องของเรามากขึ้น ซึ่งทำให้มีแฟนคลับเพิ่มมากขึ้นด้วย กลับกันคือ นักเขียนที่ไม่ได้อยู่ในเวบก็ต้องการการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางอื่นๆ การโฆษณาอื่นก็อาจจะมีช่องทางที่น้อยกว่า"
ข้อได้เปรียบของการเข้ามาเป็นนักเขียนไซเบอร์ที่อาจจะได้รับโอกาสในการสื่อสารกับผู้อ่านมากกว่านั้น เขากล่าวว่า
"สำหรับคนที่เริ่มเป็นนักเขียน เพิ่งเขียนได้ระดับหนึ่ง และเริ่มมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ก็เริ่มนำมาลงเวบดูฟีดแบ็ค ดูผลตอบรับดูว่ามีแค่ไหน แล้วเอาคำติชมเหล่านั้นมาปรับปรุงได้ หากเริ่มมีความมั่นใจแล้วว่าเรื่องของเรามีคุณภาพดี น่าจะตีพิมพ์ ก็สามารถที่จะเสนอผลงานไปตามสำนักพิมพ์ได้ เพราะว่าในเวบของเราจะมีรายชื่อ การติดต่อของสำนักพิมพ์ ที่สนใจจะรับเรื่องไปพิจารณา ขั้นแรกอยากให้เริ่มลองก่อน ว่าทำได้หรือเปล่า แล้วลองดูคำติชม แล้วก็นำมาปรับปรุงได้ คิดว่ามันอาจยากแค่ตอนเริ่มเท่านั้น"
ในฐานะผู้ดูแลคอนเทนต์นี้โดยตรง เห็นว่าสำหรับสำนักพิมพ์แล้วนั้น การเข้ามาโพสของนักอ่านเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณา แต่ความเป็นไปได้ของการหยิบเรื่องราวเหล่านี้ไปตีพิมพ์ยังต้องคำนึงถึง
"ทางสำนักพิมพ์จะเข้ามาเปิดดูอยู่แล้วว่ามีเรื่องอะไรที่น่าสนใจบ้าง ก็คือเรื่องที่มีคนชมเยอะ ก็จะขึ้นอยู่ในอันดับแรกๆ อยู่แล้ว ทางสำนักพิมพ์ก็จะเห็นก่อน ซึ่งเขาก็จะสามารถที่จะเลือกพิจารณาได้ว่าสมควรที่จะได้รับการตีพิมพ์หรือเปล่า สุดท้ายแล้วสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ก็จะมีเกณฑ์ในการพิจารณาด้วยอยู่แล้วว่าความจริงเรื่องมันเวิร์คด้วยหรือเปล่า ไม่ใช่ดูว่ามันเป็นที่นิยมเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว
"ส่วนในเรื่องของตลาดเท่าที่ได้คุยกับนักอ่านก็ขยายขึ้นมากด้วย จะมีคนอ่านที่เริ่มอ่านจากเวบแล้วสนใจไปอ่านในรูปเล่มเพิ่มมากขึ้นด้วย แต่ก็มีสำนักพิมพ์ที่เกิดขึ้นมาใหม่เยอะเหมือนกัน ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกเล่มจะประสบความสำเร็จ ที่สำคัญขึ้นอยู่กับการนำเสนอของสำนักพิมพ์ด้วยที่ต้องคำนึงถึง รูปเล่ม หน้าปก ตัวอักษรโปร่งๆ ที่อ่านง่าย หรืออะไรก็ตามจะเป็นส่วนที่จะสื่อสารกับเด็กได้ อย่างเช่น เรื่องรักๆ หน้าปกก็ต้องออกจะเป็นแนวๆ ญี่ปุ่นหน่อย" วโรรส กล่าว
นับเป็นมิติใหม่ของการก้าวเป็นนักเขียนที่วันนี้ไม่ได้ถูกจำกัดกับการเดินเข้าหาสำนักพิมพ์ หากแต่เรื่องราวที่ถูกใจคนอ่านก็ยังถูก 'ซื้อซ้ำ' ได้เช่นกัน
(ล้อมกรอบ 1)
ประเด็น
"คนอ่านต้องการอ่านเรื่องเหนือจินตนาการ"
เนื้อเรื่อง
กระแสความนิยมเรื่องราวแฟนตาซี อย่าง 'เดอะ ไวท์โรด' ซึ่งได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกในเวบไซต์ dek-d.com ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มนักอ่านวัยรุ่น กระทั่งได้รับการตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊ค ภาค 1 ถึง 3 เล่ม และภาค 2 ถึง 4 เล่ม
พร้อมกันนั้นเราได้รู้จักนักเขียนไซเบอร์ นามปากกา ดร.ป๊อบ หรือ ฐาวรา สิริพิพัฒน์ หนุ่มน้อยผู้จุดกระแสเรื่องราวแฟนตาซีออนไลน์สู่พอคเก็ตบุ๊ค ที่มีผลงานอย่างต่อเนื่อง ที่เขายังคงรักษาฐานความนิยมจากกลุ่มแฟนคลับไว้อย่างเหนียวแน่น
ที่สำคัญ การเกิดขึ้นของนักเขียนหน้าใหม่ที่เข้ามาประลองฝีมือในเวบไซต์นั้นต้องอาศัยฝีมือล้วนๆ เพราะพวกเขาไม่ใช่คนดัง และแน่นอนว่าเนื้อหาต้อง 'ตรงใจ' นักอ่านอย่างแท้จริง
จากแรงบันดาลใจของเขาที่เริ่มต้นจากการชื่นชอบหนังสือประเภทแนวสืบสวนสอบสวน และการเล่นเกมออนไลน์ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับวรรณกรรมของนักเขียนมืออาชีพที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากเยาวชนในปัจจุบันว่า
"อาจจะเป็นเพราะบางเรื่องไกลตัว ยึดกับหลักความจริงมากเกินไป คือผมคิดว่าเวลาคนอ่านหนังสือ บางทีเขาอาจต้องการอ่านเรื่องที่เหนือจริง ทำไมแฮร์รี่ฯ ถึงโด่งดังได้ เพราะว่าเนื้อหามันหลุดโลกไปเลย ผมคิดว่าคนอ่านต้องการอ่านเรื่องที่มันเหนือจินตนาการ สิ่งที่เขาไม่เคยเห็น แต่เขาได้เห็นในโลกของหนังสือ ผมคิดว่าเรื่องที่ยึดติดกับความเป็นจริง ก็อาจจะไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่
"สำหรับคนเขียนอย่างผม คิดว่าเรื่องที่ใช้จินตนาการมันน่าสนใจกว่า เพราะว่าเป็นเรื่องราวที่ชวนติดตาม"
สวนทางกับกระแสวรรณกรรมแปล หรือเรื่องราวที่เคยได้รับการเผยแพร่ผ่านทางเวบไซต์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มผู้อ่าน ว่า
"มันก็คงจะเป็นการขยายกลุ่มผู้อ่านได้มากกว่า เพราะว่าการลงอินเทอร์เน็ตคนที่สนใจก็ได้อ่าน เราเองก็ได้เห็นฟีดแบ็คของคนอ่าน ความเห็นต่อท้ายเรื่องนั้นเลย และทำให้สำนักพิมพ์มีโอกาสได้เห็นฟีดแบ็คในเรื่องนั้นก่อนตัดสินใจเลือก ซึ่งมันก็ดีกว่าการไปเสนอตัวต่อตัวเลยแบบเก่า คือการที่เดินไปเสนอมันอาจไม่ได้รับความสนใจ แต่ในรูปแบบนี้เขาก็อาจจะเห็นว่าเรื่องนี้ขายได้แน่"
*********************
'วรรณกรรม' ตายแล้วตายอีก?
หลังเทศกาลขายหนังสือครั้งที่ 2 ของทุกปีผ่านไป บังเอิญว่ามีนิตยสาร 2 ฉบับ พร้อมใจกันนำเสนอเรื่องราวในแวดวงธุรกิจหนังสือ
เล่มแรก คือ วารสารหนังสือใต้ดิน ฉบับที่ 5 ประจำเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2548 ที่พาดปกว่า 'สงครามหนังสือ'
ในเล่มก็มีสกู๊ปและบทสัมภาษณ์คนทำหนังสือ คนขายหนังสือ คนเขียนหนังสือ ซึ่งคนอ่านหนังสือไม่ควรพลาดวารสารดีๆ อย่างนี้
เล่มที่สอง คือ POSITIONING ฉบับเดือนตุลาคม 2548 พาดหัวตัวโตว่า 'TIME TO READ' พร้อมคำโปรย 'Big Move วงการ Pocket Books เมืองไทย ในยุค PR Marketing สุดโต่ง'
จะว่าไปแล้ว เนื้อหาของสองเล่มนี้ก็สะท้อนภาพวงการหนังสือเมืองไทยได้ระดับหนึ่ง ระหว่างทางสายอุดมคติ กับทางสายทุนนิยม
อย่างกรณีบทสัมภาษณ์ 'เวียง' วชิระ บัวสนธ์ บก.สำนักพิมพ์สามัญชน ในประเด็นวรรณกรรมหายไปไหน (ในร้านหนังสือ)
ด้วยประสบการณ์การทำหนังสือวรรณกรรมขายเป็นหลัก 'เวียง' มองว่าภายใต้การแข่งขันทางธุรกิจหนังสืออย่างเข้มข้น มันไม่ส่งเสริมให้มีการสร้างงานวรรณกรรมเลย
"ผมกลับรู้สึกว่ามันกลับบิดผันแนวคิดของการสร้างงานวรรณกรรม หมายถึงว่า ถ้าระบบของสำนักพิมพ์หรือร้านพวกนี้เข้ามายุ่มย่ามกับวิธีคิดของนักเขียน ไม่ปล่อยให้ผู้สร้างมีอิสรภาพ เสรีภาพอย่างที่พึงจะเป็น มาชี้นำว่าน่าจะทำอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็ต้องยอมรับว่ามีคนเขียนหนังสือจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะตอบสนองเรื่องราวเหล่านี้"
แล้วคนวรรณกรรมจะอยู่กันอย่างไร 'เวียง' บอกไม่ต้องสิ้นหวัง
"จากสภาพที่เป็นอยู่ วรรณกรรมถ้าจะมีโอกาส เราต้องมาทำยังไงก็ตามให้เกิดการรับรู้ร่วมกันว่า นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แตกต่างจากโลกที่เป็นอยู่ พูดกันแบบเพ้อๆ ฝันๆ มันต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจของผู้คนหลายฝ่ายมาก เริ่มตั้งแต่ตัวนักเขียนเองก็ต้องมีความเข้มแข็ง สำนักพิมพ์เองก็ต้องมีอุดมคติ นักวิจารณ์เองก็ต้องรู้ว่ากำลังทำหน้าที่อะไร กระทั่งองค์กรวรรณกรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ต้องคิดให้ละเอียดลึกซึ้งกว่านี้"
เมื่อลงลึกไปถึงประเภทของงานวรรณกรรม 'เวียง' ฟันธงโชะ..!!
"กวีไปไม่รอด..คนเขียนบทกวีทุกวันนี้ ไปๆ มาๆ ผมว่ามันมากกว่าคนซื้อ ก็ถามคนเขียนบทกวีกันว่า ซื้อบทกวีอ่านหรือเปล่าสิ"
แล้วถ้าอยากพิมพ์กวีขายล่ะ?
"ถ้าเอาเรื่องการตอบรับจากผู้อ่าน หรือเรื่องตลาดก็บอกว่าไม่มีความสมเหตุสมผลที่จะพิมพ์ ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง พิมพ์ยังไงก็เจ๊ง..ถ้าตอบตัวเองว่าพิมพ์เพราะอยากให้ประเทศนี้มีหนังสือเล่มนี้ พอทำเสร็จก็จบ ก็มีความสุข เรื่องการขายก็จะไม่มาแผ้วพานความรู้สึก"
ส่วนนิยาย เรื่องสั้น คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน "..คิดว่าคงอีกไม่นาน สัก 1-2 ปี ก็คงอยู่ในสภาพเดียวกัน"
คนจัดจำหน่ายอย่าง วินัย ชาติอนันต์ แห่งสายส่งเคล็ดไทย ก็บอกย้ำถึงทิศทางวรรณกรรมไทย
"คุณเคยเห็นเล่มไหนขายได้ดีๆ บ้าง อยู่ที่ไม่เกิน 1,000 เท่านั้น..ส่วนบทกวีนั้นมีน้อย มีหลายคนที่เอาต้นฉบับมาให้เราดู แต่เราก็ต้องดูเรื่องตลาดด้วย ปกหนึ่งขายได้ไม่เกิน 300 ที่ขายได้ไม่ถึง 100 ก็ยังมีเลย"
ดูจะสอดรับกับการประเมินสถานการณ์ตลาดหนังสือของ ระริน อุทกะพันธุ์ ทายาทอาณาจักรอมรินทร์พริ้นติ้ง ที่ให้สัมภาษณ์นิตยสารโพสิชั่นนิ่ง
"ทะเล สายลม สองเรา หรือจินตนาการแบบทุ่งหญ้าแห่งความฝัน..วรรณกรรมที่นักอ่านหลายคนเคยรัก เคยหลงใหลกับความงดงามของภาษาและหนังสือ พ.ศ.นี้ ไม่ใช่คำตอบของกระแสความนิยมของนักอ่านยุคนี้อีกแล้ว"
แม้การเสพยุคใหม่เน้นอ่านง่าย เนื้อหาทันสมัย แต่ 'ระริน' ก็บอกว่า อมรินทร์ไม่ทิ้งงานวรรณกรรมชั้นดี
"แต่ใช่ว่าวรรณกรรมชั้นดีของนักเขียนระดับชั้นครูจะขายไม่ได้เลย เพียงแต่มีความสนใจเงียบๆ และซึมๆ ตามความต้องการของนักอ่านกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น"
ด้วยเหตุนี้ 'องค์กรซีไรต์' จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับสำนักงานสลากกินแบ่ง ที่ปีหนึ่งๆ จะมีการล่ารางวัลกันครั้งหนึ่ง เพื่อเพิ่มยอดการขายจากหลักร้อย เป็นหลักหมื่น หรือหลักแสน
เหมือนคำพูดของฝ่ายการตลาดเวิร์คพอยท์ที่ว่า "ทำหนังสือก็เหมือนซื้อหวย"!