รายงานพิเศษ / อิสรีอินคัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
หนังสือคนดังหากดัชนีชี้วัดระดับการอ่านหนังสือของคนไทยอยู่ที่ปริมาณหนังสือออกใหม่แล้ว ตัวเลขที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนของปี 2547 น่าจะบอกได้ว่า คนไทยไม่น่าจะอ่านแค่ไม่กี่บรรทัดอีกต่อไปแน่
เพราะแค่ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด บริษัทเดียว ก็พบว่าในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา มีพอคเก็ตบุ๊คเข้าสู่ตลาดโดยผ่านร้านหนังสือนายอินทร์ มากถึง 9,396 ปก หรือเฉลี่ยเดือนละ 855 ปกต่อเดือน
แม้จะน่าดีใจที่ว่าภาพรวมตลาดพอคเก็ตบุ๊คโดยรวมมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง 20% ก็ตาม แต่จากตัวเลขนี้ เขต เส็งพานิช กรรมการผู้จัดการบริษัทเอง ก็ถือว่าอยู่ในภาวะที่ล้นแผงเหมือนกัน
โดย อมรินทร์บุ๊คฯ เอง มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 760-770 ล้านบาท เมื่อปี 2546 และคาดว่าจะปิดยอดอยู่ที่ประมาณ 870 ล้านบาท ในปี 2547 ส่วนปี 2548 ตลาดน่าจะโตได้อีก 15-20% และทางอมรินทร์ บุ๊คฯ เอง คาดว่าน่าจะทำยอดได้ทะลุ 1 พันล้านบาทอยู่ที่ประมาณ 1.1 พันล้านบาท
แต่สำหรับคนทำหนังสือ สำนักพิมพ์ ร้านหนังสือ กลับทำท่าจะยิ้มไม่ออกเอาดื้อๆ
"หนังสือเล่มไหนไม่ดังก็จะได้รับการเสียบสันเร็วกว่าปกติ"
เขต กล่าวถึงภาวะการแข่งขันที่โตขึ้นเป็นเงาตามตัว แม้จะเชื่อว่า หนังสือ 'ดี' ยังไง ก็ 'น่าจะขายได้' ก็ตามที
แต่ต่อไปคนทำหนังสือ (โดยเฉพาะที่จะมาฝากขายกับอมรินทร์ บุ๊คฯ) คงต้องปรับตัวกันมากขึ้น ต้องเน้น 'คุณภาพ' หนังสือเป็นหลัก บวกกับการมี 'กลุ่มเป้าหมาย' ชัดเจน แทนที่จะเน้นปริมาณ
ระดับคุณภาพที่วางไว้ ก็คือ 'ต้องไม่เป็นโทษต่อสังคม' บางเล่มอาจจะมีเรื่องราวสองแง่สามง่ามบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ให้สังคมได้เรียนรู้ศึกษาตามสภาพที่เป็นจริง ก็ถือว่าผ่าน หากเป็นเนื้อหาที่ทำให้สังคมโดยรวมเกิดความเสียหาย ก็คงไม่ทำ
อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าหนังสือคนดังจะได้รับการพิจารณา (เร็ว) เป็นพิเศษ
"เป้าหมายของเราคือต้องการทำหนังสือให้ขายได้ เมื่อคิดว่าขายได้แล้ว ก็ทำไมจะไม่ทำล่ะ เพราะคนดังยังไงก็มีข้อได้เปรียบกว่า"
สำหรับหนังสือแนวแฉ แม้ขายดัง-ขายได้จริง แต่ 12 สำนักพิมพ์ในเครืออมรินทร์คงไม่ทำเท่าไหร่ นอกจากจะเป็นสำนักพิมพ์อื่นจ้างให้จัดจำหน่ายเท่านั้น และคงคัดเป็นเล่มๆ ไป
เพราะอย่าลืมว่า อมรินทร์ บุ๊คฯ นั้น นอกจากรับจ้างจัดจำหน่ายให้แล้ว อีกบทบาทหนึ่งก็คือเป็น 'ที่ปรึกษา' ในการผลิตหนังสือด้วย
"ไม่ใช่ปกเท่านั้น แม้แต่เนื้อหา เราก็มีทีมงานช่วยปรับให้ได้ ไม่ใช่แค่รับๆ มาจัดจำหน่ายให้อย่างเดียว"
ขณะที่ทางอมรินทร์ บุ๊คฯ เอง ก็กำลังพัฒนาระบบข้อมูลให้เชื่อมโยงกันมากขึ้น เพื่อจะได้รู้ลึกถึงขั้นที่ว่าควรจะสั่งเพิ่มยอดมากน้อยเพียงใด หรือไม่ หนังสือจะได้ไม่ออกมาล้นตลาดกลายเป็นสต็อกบวม เจ็บตัวกันไปเป็นแถวอย่างที่เคยเป็นมา
"ในอนาคตการเชื่อมโยงข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญมาก ใครรู้เร็วกว่า สดกว่า จะได้เปรียบ"
พร้อมกันนี้ ภายใต้โครงการอมรินทร์เน็ตเวิร์ก นอกจากขยายสาขาร้านนายอินทร์จาก 65 สาขา เป็น 250 สาขาในอีก 3 ปี ข้างหน้าแล้ว
ยังเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรกับร้านหนังสืออิสระ หรือร้านดั้งเดิมในท้องถิ่นต่างๆ อีก 100 แห่ง เพราะมองเห็นปัญหาที่ว่า นับวันจะมีร้านหนังสือเหล่านี้จะถูกแบรนด์ใหญ่กลืนไปอย่างน่าเสียดาย จึงอยากจะยกระดับร้านหนังสือเหล่านั้นให้สู้กับภาวะการแข่งขันได้
"เพราะไม่อยากให้ร้านในท้องถิ่นอยู่ดีๆ ก็ต้องปิดตัวไป ถ้าเป็นร้านโชวห่วย หรือร้านอะไรต่อมิอะไรปิดไป ผมไม่ว่า แต่ถ้าร้านหนังสือถูกปิด มันรู้สึกเศร้าใจ และไม่ควรเกิดขึ้นด้วย"
สิ่งที่อมรินทร์ บุ๊คฯ จะเน้นความรู้เป็นหลัก เช่น เรื่องจัดหน้าร้าน, แนะการบริหารสินค้าว่าทำอย่างไรจะให้หนังสือขายได้-เจ้าของร้านก็อยู่ได้ ตลอดจนเสริมกิจกรรมโปรโมชั่นให้ด้วย
"เราจะเป็นพันธมิตรต่อกัน เงื่อนไขต่างๆ มีไม่มาก เพียงแต่ถ้าร้านหนังสือพร้อมให้เราเข้าไป เราก็จะช่วยดูแลให้ ไม่มีการเซ็นสัญญาอะไรทั้งสิ้น จะเป็นแบบสัญญาใจกันมากกว่า เรามาร่วมกันในแง่สื่อ โปรโมชั่น และมีกิจกรรมเสริมให้ แล้วพื้นที่ต่างๆ ที่มีอยู่ในร้านเราก็จะช่วยเข้าไปดูแลให้ ซึ่งก็ดีทั้งสองฝ่าย"
0 0 0
ทีนี้มาดูว่าทั้งปี-มีอะไรบ้างที่ผ่านตาคนไทย โดยเฉพาะเป็นปีที่ดูเหมือนว่าแวดวงหนังสือพอคเก็ตบุ๊คจะให้ค่า 'คนดัง' ในสังคมมากที่สุดอีกปีหนึ่งก็ว่าได้ จากเดิมจะเป็นดารา นักร้อง เป็นส่วนใหญ่
ประเดิมด้วยแนว 'หนังสือสรยุทธ' ที่จะปฏิเสธถึงความดังของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะยอดหนังสือกรรมกรข่าวทั้ง 2 เล่มของเขาขายดิบขายดี ที่ ค่ายอมรินทร์พริ้นติ้งฯ จะต้องมอบรางวัล Best Seller ให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งกว่าเมื่อครั้งหนังสือ (แนวศพ) ของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ หรือ (แนวสุขภาพ) ของ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ที่เคยครองแชมป์เมื่อปีก่อนอย่างไม่เห็นฝุ่น
เพราะ กรรมกรข่าวเล่ม 1 นั้น ขายได้เกือบ 2 แสนเล่มแล้ว ส่วน กรรมกรข่าว 2 งานรับเหมา ตามมาติดๆ อยู่ที่ 1.5 แสนเล่ม
กลยุทธ์ของพอคเก็ตบุ๊คนั้นจะสำเร็จหรือไม่นั้น อยู่ที่ 'ความดัง' ของคนเขียน หรือไม่ก็เจ้าของเรื่องเป็นหลัก
เพราะใครๆ ก็อยากรู้เรื่องของคนดังกันทั้งนั้น!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิธีกร-คนคุยข่าวหน้าจอ ที่มีรายการโทรทัศน์ให้คนไทยได้ดู ทั้งก่อนนอน และตอนลืมตาขึ้นมา อย่างไม่เคยปรากฏในแวดวงข่าวคนนี้
ยิ่งตอนหลังมี 'โครงการนายอินทร์สัญจร' ด้วยแล้ว ยิ่งสนุกกันใหญ่ เพราะจะประกาศผ่านให้แฟนรายการทราบด้วยว่าบ่ายนั้นบ่ายนี้จะไปร้านสาขาไหนให้รู้กันไปเลยว่า ถ้าระดับซูเปอร์สตาร์อย่างนี้ไปแล้ว หนังสือจะขายไม่ได้
บวกกับกลยุทธ์ 'ปั้นดารา' ของอมรินทร์พริ้นติ้งฯ ที่อาศัยความ 'ครบวงจร' ด้วยการขึ้นปกนิตยสารแพรว โดยมีคนสวยระดับนางสาวไทยและสาวฮอตสุดๆ อย่าง พอลล่าร์ เทเลอร์ ประกบทั้งสองข้าง
เรียกว่างานนี้ ใครชอบไม่ชอบ หมั่นไส้หรือชื่นชม ก็ย่อมหันมามองทั้งนั้น ซึ่งก็คล้ายๆ กับรายการคุยข่าวที่มีสรยุทธเป็นพิธีกร ที่ว่า ชอบ-ไม่ชอบ ก็ต้องดู นั่นเอง
ซึ่งกรณีนี้ เขต เส็งพานิช กรรมการผู้จัดการบริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด เรียกว่า กลยุทธ์ 'ปั้นนักเขียนให้เป็นดารา' บ้าง หลังจาก ให้ดารามาเป็นนักเขียนมานาน (แต่บางเล่มขายไม่ได้)
และอมรินทร์ฯ เอง ก็เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในกรณีของ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ และ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง นอกจากให้เป็นคอลัมนิสต์ในนิตยสารหลายเล่ม แต่ตอนนี้ 2 ซูเปอร์สตาร์ขึ้นหิ้งไปแล้ว ถือเป็นปีทองของรุ่นน้องอย่าง สรยุทธ ไปก็แล้วกัน!!
พิธีกรหนุ่มที่เคียงคู่มาพร้อมๆ กับสรยุทธ อย่าง กนก รัตน์วงศ์สกุล แม้จะมีหนังสือตามมาทีหลัง แต่ก็ถือว่า 'ชีวิตรื่นรมย์' ก็ดัง และเป็นที่คอยรอของแฟนรายการได้ไม่แพ้กันเลยทีเดียว
เพราะก่อนหน้านั้น ถูกถามกันมากมายว่าทั้งคู่จะกลับมาทำรายการร่วมกันอีกหรือไม่ กระทั่งช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ได้เปิดตัวรายการ 'คุยคุ้ยข่าว' ขึ้นมา ก็ได้จังหวะกับการมาของชีวิตรื่นรมย์พอดี ซึ่งทั้งคู่ก็มี 'กิจกรรมสัญจร' พบปะแฟนหนังสือเหมือนกันอีกต่างหาก ผิดแต่เพียงร้านและสาขาที่ไปเท่านั้นเอง
0 0 0
มาถึงหนังสือแนวทักษิณกันบ้าง
เพราะไม่เคยมีครั้งไหน ที่คนระดับผู้นำประเทศจะได้รับการเขียนถึงมากมาย และเปี่ยมด้วยสีสันขนาดนี้ (ยกเว้นยุคเผด็จการ)
ที่สำคัญไปกว่านั้น เป็นแนวที่ทำมากี่เล่มกี่มุมก็ขายได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะ 'ขาขึ้น' หรือ 'ขาลง' สำหรับ 'ทักษิณฟีเวอร์' และกลายเป็นหนังสือที่แย่งพื้นที่แผงมากที่สุดอีกแนวหนึ่ง
จากแรกๆ จะเป็นการเรียบเรียงประวัติ หรือวิสัยทัศน์ในการบริหารงานต่างๆ แต่ปี 2547 ที่เกจิการเมืองทั้งหลายเริ่มใช้คำว่า 'ขาลง' แต่หนังสือทักษิณก็ยังคงยึดพื้นที่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย มีทั้งนักเขียนหน้าใหม่-หน้าเก่า และมีทั้งใช้ชื่อจริงและนามปากกาในการเขียน
บทพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นภายหลัง 'รู้ทันทักษิณ' จากสำนักพิม์ฃอคิดด้วยคน ที่มี เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นบรรณาธิการ นั่นเอง ซึ่งพอออกมาก็ขายได้เกลี้ยง จากจุดนั้นเองทำให้หลายค่าย-หลายนักเขียนรู้ว่า 'ขายได้แน่' จึงแห่เขียนตามๆ กันมาไม่ยั้ง โดยเฉพาะแนวแฉ ชำแหละ และวิเคราะห์แนวนโยบายต่างๆ
อย่าง อธิวัฒน์ ทรัพย์ไพฑูรย์ ที่มีผลงานหลายเล่ม ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร คิดใหญ่ ทำใหม่, ตระกูลชินวัตร หรือผลงานในชื่อจริง สุภวรรณ รจนาปกรณ์ อาทิเช่น คมความคิดทักษิณ ชินวัตร เล่ม 1-2-3, จากใจทักษิณ ชินวัตร ฯลฯ สามารถทำยอดให้สำนักพิมพ์วรรณสาส์น ได้หลายสิบล้านบาททีเดียว
อีกนักเขียนร่วมแนวและสำนักพิมพ์เดียวกันนี้ ก็คือ ปราณ พิสิฐเศรษฐการ เป็นเจ้าของผลงานชุดทักษิโณมิกส์ นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณกับนโยบายสังคม, ทักษิณบนเวทีเอเชียและโลก, ทักษิโณมิกส์และซีอีโอประเทศไทย ฯลฯ
โดยสำนักพิมพ์ที่ครองแชมป์การพิมพ์หนังสือแนวนี้ น่าจะเป็น วรรณสาส์น นั่นเอง แต่ที่ดังแต่ (อาจจะ) ไม่หวังรวย น่าจะเป็น ฃอคิดด้วยคน เพราะ อ.เจิมศักดิ์ ให้ส่วนลดมากถึง 35% จากราคาปก แต่อย่าลืมว่าแค่ 'รู้ทันทักษิณ' ก็ขายได้มากกว่า 6 หมื่นเล่ม
ที่ไม่ควรลืมอีกเล่มก็คือ 'ยุทธการล้มทักษิณ' ที่ 3 คนข่าว ไพศาล มังกรไชยา, อัญชลี ไพรีรัก และ เถกิง สมทรัพย์ ได้ร่วมกันเขียนถึง เอกยุทธ อัญชัญบุตร
ทั้งมวลนี้เนื่องจากถือว่า 'ทักษิณ' ชื่อนี้ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ดังที่มีสีสันดันให้หนังสือขายได้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นช่วงขาขึ้นหรือขาลง อีกทั้งวาทะต่างๆ นั้น ไม่มีลิขสิทธิ์
ถือเป็นแนวพิเศษ ที่ใคร (ประกาศว่า) ทำก่อน (อาจจะคิดทีหลังก็ได้) ย่อมรวยก่อน!!
0 0 0
นี่ก็ดังจนเป็นที่กล่าวขานเหมือนกันสำหรับหนังสือแนว 'กิ๊กๆ' จาก สำนักพิมพ์อนิศอติกานต์ ของ 2 หนุ่มกิ๊กกะจิ๊บ หรือ อนิศ โอสถานุเคราะห์ และ อติกานต์ หนุนภักดี ที่กลายเป็นต้นตอยี่ห้อ 'กิ๊ก' ไปโดยปริยาย
หลังจากที่ฮือฮาด้วย 'หักหลังผู้ชาย' ผลงานเล่มแรกขายดิบขายดีทำยอด 5 พันเล่มใน 1 สัปดาห์แรก และกลายเป็นเหตุจูงใจให้ 2 หนุ่มกิ๊กกะจิ๊บ วางมือจากนิตยสารที่กำลังปลุกปั้น หันมาเปิดสำนักพิมพ์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวทันที พร้อมเข็นหนังสือแนว (รู้ทัน) สัมพันธภาพหญิงชายแทน โดยการจับสาวเปรี้ยวๆ มาเขียนหนังสือไม่ว่าจะเป็น น้องกิ๊ฟ ใน 'รักบัดซบค่ะ' หรือ สาวเปรี้ยวหลายยุคอย่าง กมลชนก ปานใจ ใน 'เซ็กส์สาวเม้าท์หนุ่ม' รวมถึง นต-กนกรส พงศทัต สาวไฮโซคนดังก็จับปากการ่ายประสบการณ์ และความในไว้ฝากไว้ใน 'ก็แค่อกหัก' ด้วย
แต่สำหรับผลงานของ 2 หนุ่มเอง ก็น่าทึ่งที่ทำสถิติขายดีกันแบบข้ามปีกันเลยทีเดียว จนถึงปลายปี 2547 นี้ 'หักหลังผู้ชาย' ก็ปาเข้าไป แสนกว่าเล่ม
เหตุที่ยอดทะลุเป้าขนาดนั้น น่าจะเป็นเพราะเล่นกับแนวอารมณ์คน โดยเฉพาะเรื่อง 'อกหัก' ที่ ไร้กาลเวลา แถมยังไม่มีการแบ่งแยกอายุ, ระดับการศึกษา หรือแม้แต่สถานภาพโสด-ไม่โสด มาขีดคั่นทางการตลาดอีกต่างหาก ส่วนของเนื้อหาก็ไม่ตกยุค นั่นอาจจะเป็นเพราะว่า กิ๊กกะจิ๊บ เปิดรับข้อมูลจากคนอ่านผ่านอีเมลด้วย ทำให้รู้เรื่องราวใดที่หลั่งไหลเข้ามาแบบเป็นน้ำเป็นเนื้อมากพอจะเขียนเป็นเล่มนั่นเอง
จึงไม่น่าแปลกใจที่ 2 หนุ่มจะโอ่ว่า มาตรฐานของเขาเฉลี่ยมักจะอยู่ที่หมื่นเล่มขึ้นไป และนอกจากนี้ หนังสือของเขายังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นหันมาอ่านหนังสือให้มากขึ้นอีกต่างหาก
0 0 0
ส่งท้ายปีวอกด้วยแนวแฉ ที่หลายสำนักพิมพ์หันมาลองลิ้มชิมรสว่าจะทำตลาดได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งมีทั้งเขียนเอง และมีผู้ (รับจ้าง) เรียบเรียงให้
ที่สุดของการแฉจนสั่นสะเทือนแวดวง น่าจะเป็น หนังสือ (แฉอดีตแฟนสีม่วง) ของ อิ๋งอิ๋ง-สิทธิณี กิตติสิทโธ และหนังสือชุด (ดอก) ของ ปนัดดา วงศ์ผู้ดี นั่นเอง
อันที่จริงหนังสือของอิ๋งอิ๋งนั้นวางขายกันมากันมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เพิ่งจะเป็นเรื่อง (ดังกระหึ่ม) ตอนสัมภาษณ์ออกทีวีใกล้ช่วงงานมหกรรมหนังสือในเดือนตุลาคมพอดี และในจุดที่วางขายนั้น แทนที่จะวางในร้านหนังสือทั่วไป ก็วางในร้านสะดวกซื้อแทน และให้คนอ่านส่งชิ้นส่วนกลับเพื่อรับรางวัลชิ้นพิเศษอีกต่างหาก
ทางด้านการโปรโมต เธอรับเชิญออกสื่อทุกรูปแบบ และพร้อมตอบทุกคำถาม แม้กระทั่งในขบวนรถพาเหรดของเกย์ในงานบางกอกไพรด์ 2004 เธอก็รับเชิญจากกลุ่มบางกอกเรนโบว์มาแล้ว ในฐานะที่ได้รางวัล 'เปิดโลกเกย์สดใส' จากกลุ่มเกย์การเมืองอีกด้วย
แน่นอนว่า รัก-ไม่รัก ก็ต้องหันมาปรายตามอง (และซื้อ) แทบทั้งสิ้น หรือไม่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงในการเม้าท์กันสนั่นเมืองโดยปริยาย จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากหนังสือเธอจะขายดีระดับหลายหมื่น
อีกเล่มที่สะเทือนคนในแวดวงวรรณกรรม จนต้องสั่นสะท้านรับลมหนาวไปเลยทีเดียว เห็นจะเป็น 'ยินดีเจ้า' ของ สุนทรี เวชานนท์ คุณแม่คนงามของ ลานนา คัมมินส์ นั่นเอง
แม้บรรณาธิการคนเก่งอย่าง เพชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ จะตั้งใจถ่ายทอดความแกร่งเด็ดเดี่ยวของซิงเกิลมัมของคนนี้ก็ตามที แต่แล้วเรื่องราวของ 'รักลับๆ' ในอดีต (เมื่อไม่นานมานี้) กลับเป็นที่โจษขานแทน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสดังกล่าวกระตุ้นให้มี 'ยินดีเจ้า' พิมพ์ซ้ำทันที ถึงปลายปีนี้ก็เหยียบๆ ครั้งที่ 10 แล้ว ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน
ขณะเดียวกัน แนวแฉนี้ก็กลายเป็นแนวใหม่ของบางค่าย-บางสำนักพิมพ์ได้ลองตลาดอีกด้วย แต่จะ แฉคนอื่น หรือ แฉตัวเอง ก็ค่อยว่ากันไปตามความฉาว เอ้ย...เรื่องราวของคนๆ นั้น
ต่อกรณีนี้ อ.เสรี วงษ์มณฑา ได้ให้ข้อคิดแก่คน (ดัง) ที่คิดจะหยิบจับแนวนี้เป็นหลักเป็นฐานด้วยว่า ต้องคำนึงถึง 'สังคม' เป็นสำคัญ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ถ้าคนอ่าน-คนเขียน และสำนักพิมพ์ได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้มาก่อน และกระทั่งได้ 'สะใจ' เพียงแค่นั้น 'ประเทศชาติ' จะเป็นอย่างไรต่อไปเล่า?
กรณีที่จะต้องเอ่ยถึงผู้อื่น ก็มีหลักคิดง่ายๆ ก็คือ
"คนทำดีกับเราจงเอ่ยถึงเขาด้วยความกตัญญู แต่คนทำไม่ดีกับเรานั้น จงเอ่ยถึงเขาเพียงแค่เป็น สะพาน เพื่อที่จะทำให้เราเชื่อมต่อเรื่องราวได้ โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวบุคคลว่าเขาเป็นใคร ควรให้คนเขามีศักดิ์ศรีต่อไป และไม่ควรจะพูดข้างเดียวด้วย"
0 0 0
แต่สำหรับแนววรรณกรรม หลายคนสงสัยว่าหายหน้าไปไหนเสีย? ต่อเรื่องนี้ กรรมการผู้จัดการอมรินทร์ บุ๊คฯ ถึงกับยอมรับเลยว่า 'ลดลง' จริง
"อย่าเพิ่งไปตกใจ ผมว่าเป็นเรื่องของการเรียนรู้ของคนไทย วรรณกรรมบางเล่มก็ต้องยอมรับกันว่า อ่านแล้วต้องตีความ อ่านยากด้วย แล้วช่วงเศรษฐกิจอย่างนี้แล้ว ต้องไปอ่านอะไรที่ยากๆ เครียดๆ ก็ไม่ค่อยไหวเหมือนกัน ผมว่า สัก 1-2 ปี ข้างหน้านี่แหละ อย่างนายอินทร์อวอร์ดเอง ก็เปิดอีกช่องทางหนึ่ง ให้คนส่งผลงานเข้ามาประกวดเกี่ยวกับบทกวีและวรรณกรรมเพิ่มแล้ว คิดว่าอีก 1-2 ปี แนวนี้จะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง"
ฟังอย่างนี้ แวดวงวรรณกรรมบ้านเราคงจะค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย
ส่วนแนวที่ค่ายอมรินทร์จะปลุกปั้นต่อไป นอกจาก ธรรมะแนวใหม่ เพื่อขัดเกลาความรู้สึกของคนทุกวัยในยุคปัจจุบันแล้ว ก็ยังจะเน้น 'ฮาวทู' ประเภทเสริมพลังใจ หรือเสริมอาชีพงานฝีมือให้มากขึ้น เพราะถ้าเทียบอายุกับหนังสือกระแส แม้จะขายดีจริง แต่ให้หลัง 1- 2 ปีแล้ว ก็อาจจะกลายเป็นหนังสือหมดอายุได้ง่ายๆ เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ตลาดหนังสือเล่มปี 2548 ก็ยังคงเป็นปีที่คนทำหนังสือต้องตีโจทย์หนักๆ กันอีกครั้ง!!
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หนังสือคนดัง
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
22:42

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
ป้ายกำกับ:
แวดวงหนังสือ