'นู้ดนางเอกรุ่นป้า' ปุ๊-ปิยะมาศ โมนยะกุล และ 'นางแบบตกอ่าง' อุ้ยอ้าย-ชฎาธร แดงใส

รายงานพิเศษ(4) คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
'นู้ดนางเอกรุ่นป้า' ปุ๊-ปิยะมาศ โมนยะกุล และ 'นางแบบตกอ่าง' อุ้ยอ้าย-ชฎาธร แดงใสข่าวบันเทิงที่ทำให้หนุ่มใหญ่หนุ่มเล็ก ต้องร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า 'โอ้..ทำไปได้' ประจำปีนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่อง 'นู้ดนางเอกรุ่นป้า' ปุ๊-ปิยะมาศ โมนยะกุล และ 'นางแบบตกอ่าง' อุ้ยอ้าย-ชฎาธร แดงใส นั่นเองจะว่าไปแล้ว เรื่องของ 'ป้าปุ๊-น้าอุ้ยอ้าย' มี 'ความต่าง' ใน 'ความเหมือน' คืออยาก 'เป็นข่าว' มากกว่าสยบข่าว เพราะทั้งสองสาวรุ่นใหญ่ ต้องการให้ประชาชนได้สนใจ 'พอคเก็ตบุ๊ค' ที่ว่าด้วยเรื่องส่วนตัว และภาพส่วนตัว ที่ออกวางแผงตามร้านหนังสือทั่วไป
ว่ากันว่า ที่อิรักมี 'ระเบิดพลีชีพ' แต่ที่บ้านเรามี 'การตลาดพลีกาย' ด้วยหวังให้มันระเบิดเป็นข่าวใหญ่ในสังคมไทย
เริ่มจากเล่มแรก ดาวตกอ่าง ของ 'อุ้ยอ้าย' นั้น เธอได้เล่าถึงบทชีวิตอันโชกโชนบนถนนสายมายา ว่าชีวิตต้องลำบากอย่างสุดๆ หลังต้องตกอับ ไร้งานจากวงการบันเทิง จนต้องหันเหไปเป็นนวลนางในอ่างน้ำ หารายได้เลี้ยงตัวเอง เพื่อความอยู่รอดของชีวิต
อดีตนักแสดงสาว เล่าปูมหลังให้ว่า ตอนเด็กถูกโจรปล้นบ้าน ฆ่าแม่ตาย แล้วพ่อก็หายสาบสูญไป ต้องมาอาศัยอยู่กับป้า ซึ่งมีฐานะยากจนที่กรุงเทพฯ ทำให้กลายเป็นเด็กที่มีปัญหา ขาดความอบอุ่น หลังเรียนจบ กศน.ตอนอายุประมาณ 17 ปี มีคนมาชักชวนให้ไปเล่นมิวสิควิดีโอเพลงของวง 'สาว สาว สาว' จึงไม่ได้เรียนหนังสือต่อ และทำให้ได้เข้ามาสู่แวดวงบันเทิง ช่วงนี้ชีวิตเริ่มมีเงินใช้
จึงออกจากบ้านป้ามาอาศัยอยู่กับเพื่อน ต่อมามีคนมาติดต่อไปถ่ายโฆษณาชิ้นแรก เป็นโฆษณาน้ำอัดลม 'เซเว่นอัพ' ทำให้เริ่มมีเงินใช้เพิ่มขึ้น และมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นนางแบบถ่ายปฏิทินประเภทหวือหวา หรือถ่ายแบบนิตยสารผู้ชายหลายเล่ม
ในขณะที่งานการน่าจะไปได้ดี แต่ชีวิตคู่เริ่มมีปัญหา เธอได้เลิกรากับสามีคนแรก และไปได้สามีใหม่อีกคนเป็นคนวงการบันเทิงเหมือนกัน ใช้เงินฟุ่มเฟือย แต่งตัว ซื้อของแพงๆ ของแบรนด์เนมใช้ ทำให้เงินทองที่หามาได้เริ่มร่อยหรอลง งานก็หดหาย สามีก็ไม่ได้ช่วยอะไร แถมยังไปมีผู้หญิงใหม่ เลยตัดสินใจเลิกกับสามี
ช่วงที่เที่ยวกลางคืนเคยติดยาและถูกเพื่อนเอายาอี ยาเค มาฝากจนถูกตำรวจจับ คดีรอลงอาญา ทำให้ชีวิตเริ่มถลำเข้าสู่มุมมืด จะหันกลับไปใช้ชีวิตในวงการบันเทิงก็ไม่ได้ เพราะชื่อเสียงเน่าเสียไปแล้ว
จึงกลายมาเป็น 'หมอนวด' เลี้ยงชีพไปวันๆ และท้ายที่สุด อุ้ยอ้ายก็หวังไว้ว่าเงินที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ จะเก็บเป็นทุนรอนไว้ทำอาชีพอื่นแทน
ประเด็น 'ดาวตกอ่าง' นั่นคือจุดขายของบางส่วนในหนังสือของนางแบบรุ่นเดอะรายนี้
ตอนแรกที่หนังสือวางแผง ก็ไม่มีใครสนใจมากนัก แต่พอเธอไปออกรายการ 'ที่นี่หมอชิต' ทางช่อง 7 สี ก็กลายเป็นข่าวใหญ่ในหน้า นสพ.หัวสีหลายฉบับ รวมทั้งหนังสือพิมพ์บันเทิงรายวัน
เนื่องจากว่า 'อุ้ยอ้าย' เป็นนางแบบที่ไม่ได้อยู่ในใจของผู้คนมากนัก ข่าวนางแบบรับจ๊อบไซด์ไลน์ที่อาบอบนวดชื่อดัง จึงจางหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟไหม้ฟาง
จึงทำให้ภาพหวิวที่เธอถ่ายกับนิตยสารดารานางแบบ ซึ่งวางแผงช้าไปนิด กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร
ส่วน My way พอคเก็ตบุ๊คของ 'ปิยะมาศ' วัย 53 ปี ดูจะวางแผนทำการตลาดมาดีพอควร โดยก่อนหนังสือวางแผง ทีมงานได้ส่งภาพและข่าวไปให้ นสพ.หัวสีเล่นข่าวก่อน
ภาพนู้ดของอดีตนางเอกจึงอะร้าอร่ามอยู่บนหน้า 1 นสพ.หัวสีหลายฉบับ!
จากนั้น 'ปุ๊-ปิยะมาศ' ก็อรรถาธิบายถึงความตั้งใจทำหนังสือ ว่าตนเองอยู่วงการบันเทิงมาเกือบ 30 ปี มีผลงานมากมาย มีความรู้สึกดีๆ ต่อแฟนๆ ที่ได้ให้กำลังมาตลอด อยากจะทำอะไรเป็นการตอบแทน และด้วยความที่เป็นคนดูแลสุขภาพมาตั้งแต่เข้าวงการ มีเคล็ดลับในการดูแลตัวเองที่ง่าย จึงคิดว่าจะทำหนังสือที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพทั้งทางกายและใจ
ทว่า การจะให้คนปฏิบัติตามและซื้อมาอ่าน ถ้าจะแค่ถ่ายรูปปกติ ยิ้มหวานๆ ใส่สูท ก็คงไม่มีใครสนใจและปฏิบัติตามมากนัก เพื่อทำให้คนสนใจซื้อมาอ่าน จึงต้องทำหนังสือในลักษณะนี้ โดยได้คุยกับทีมงานและตกลงให้ 'บี๋' ธีรพงษ์ เหลียวรักวงศ์ เป็นช่างภาพ และคิดคอนเซปต์ให้ โดยจะให้ออกมาในรูปแบบเซ็กซ์ใสๆ
"มีภาพเห็นหัวนมด้วยเหรอคะ ตาดีมากๆ เลยค่ะ คิดว่าที่ภาพมันหลุดออกมาเป็นอย่างนั้นมันเป็นธรรมชาติของคน ถ้ามันหลุดออกมาแล้วไม่ชัดเจน ก็ปล่อยไป เราไม่ได้เจตนา ของอย่างนี้บางทีมันอยู่ที่แสงเงาและการพิมพ์ ตอนที่ถ่ายเราก็เช็ครูปตลอด ไม่เห็นมีอะไร แต่พอภาพถูกขยายใหญ่ขึ้นก็อาจจะเป็นได้ ซึ่งบางคนอาจจะมองแล้วไม่ชอบก็ได้ แต่มันเป็นเรื่องของการทำงาน อาจมีผิดพลาดได้เหมือนกัน"
อดีตภรรยาผู้กำกับฯ ภาพยนตร์แนวตลกที่วายชนม์ไปแล้ว ยังเล่าว่า เธอตัดสินใจทุบกระปุกจ้างตัวเองถ่ายภาพนู้ด ก็อยากให้คนที่สนใจได้อ่านเคล็ดลับความงาม ใครจะวิจารณ์อย่างไร ก็วิจารณ์ไป
"เมื่อตัดสินใจทำแล้ว ก็ไม่กลัวกระแสวิพากษ์วิจารณ์ เราไม่ได้รับผิดชอบใคร มีแต่ตัวเองที่จะต้องรับผิดชอบ เราไม่ได้อยากถอดเพื่อที่จะขายของ แต่ถอดเพื่อให้ทุกคนซื้อหนังสือ มาทำตาม จะได้มีสุขภาพดี รายได้ในการขายหนังสือเล่มนี้เราจะบริจาคให้กับมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคม เราผลิตงานชิ้นนี้ไม่ได้ตั้งใจหวังผลกำไร แค่นี้ก็ขาดทุนไป 5 แสนแล้ว"
ถัดจากเป็นข่าวหน้า 1 ก็ถึงคิว 'ป้าปุ๊' เดินสายออกรายการทีวีเพื่อโปรโมตหนังสือ อันเป็นมุกหากินของคนบันเทิงหลายคน ที่ทำการตลาดด้วยการสร้างข่าวให้ฮือฮาในทุกรูปแบบ
ถ้าพูดถึงความตั้งใจที่จะพอคเก็ตบุ๊คเพื่อ 'แชร์' ประสบการณ์ชีวิต อยากให้ผู้ที่อ่านนำไปปรับใช้บริหารชีวิต อันนี้น่าชื่นชมยิ่ง
แต่มีเสียงท้วงติงว่าอย่าใช้ 'เนื้อหนัง' เพื่อชักจูงให้อ่าน 'เนื้อหา' และการบอกเล่า 'เนื้อหา' เพื่อให้รู้วิธีการขาย 'เนื้อหนัง' นั้น อย่าทำออกมาเลย
เพราะแทนที่จะ 'จรรโลงใจ' กลับทำให้มันดูน่า 'สลดใจ' เสียมากกว่า!