: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ประชาธิปัตย์สู่ยุค 'ผลัดใบ' ยุคใหม่ในเงื้อมมือ 'อภิสิทธิ์'

จากนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์

ประชาธิปัตย์สู่ยุค 'ผลัดใบ' ยุคใหม่ในเงื้อมมือ 'อภิสิทธิ์'
ในที่สุดก็เป็นที่ชัดเจน ไม่เพียงแต่ บัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกรรมการบริหารพรรคทั้งชุด ที่ลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น

หากแต่จากแนวโน้มแล้ว ยังชัดเจนด้วยว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรค 'ขั้วผลัดใบ' ก็จะได้ขึ้นรักษาการหัวหน้าพรรค ในฐานะที่เป็นรองหัวหน้าพรรคอาวุโสอันดับ 1 และ นิพนธ์ บุญญามณี รองเลขาธิการพรรค ขั้วทศวรรษใหม่ จะได้เป็นรักษาการเลขาธิการพรรค ขัดตาทัพ จนกว่าจะมีการเลือกตั้งใหญ่เดือนเมษายน

แน่นอน, นี่แค่จุดเริ่มของการเปลี่ยนแปลง และเชื่อว่าจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้

หลังจากผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้ให้กับพรรคไทยรักไทยอย่างยับเยิน คือได้ ส.ส.ในระบบเขตทั้งประเทศ 68 ที่นั่ง ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ คาดว่าจะได้ประมาณ 25 ที่นั่ง รวมประมาณ 93 ที่นั่ง

0 0 0

ความจริง แม้การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ 'บัญญัติ' จะเป็นไปตามคำพูด ที่ว่า "หากนำพรรคพ่ายแพ้ พร้อมสละเก้าอี้ทันที" เมื่อเดือนเมษายน 2546 หลังชนะเลือกตั้งหัวหน้าพรรค

แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจมองข้าม ก็คือ เป็นภาวะกดดันอย่างยิ่ง ที่ต้องรับผิดชอบต่อขั้ว 'ผลัดใบ' เนื่องจากขณะชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับ 'อภิสิทธิ์' แกนนำพรรคฝ่าย 'ผลัดใบ' ต่างเชื่อว่า 'อภิสิทธิ์' เหมาะสมมากกว่าที่จะนำพรรคประชาธิปัตย์ต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคไทยรักไทยเพราะเห็นว่าเป็นตัวแทนของนักการเมืองคนรุ่นใหม่

เพียงแต่การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคครั้งนั้น 'เสธ.หนั่น' พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ สนับสนุน 'บัญญัติ' ทุกรูปแบบ จึงทำให้ชนะเลือกตั้ง

และถ้าจะย้อนเหตุแห่งที่มาของความล้มเหลวกันจริงๆ อาจต้องย้อนนับแต่ประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้งเมื่อ 6 มกราคม 2544 เป็นต้นมา หลังจากที่ ชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคคนก่อน เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่สอง

ครั้งนั้นแกนนำพรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง เริ่มไม่พอใจคณะกรรมการบริหารพรรค ที่มี 'ชวน' เป็นหัวหน้าพรรคและกดดันให้ลาออก เพื่อเลือกตั้งใหม่ ขณะที่ 'ชวน' ก็ไม่ยอม

กระทั่งวาระการดำรงตำแหน่งของ 'ชวน' สิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2546 จึงมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่

ขณะเดียวกัน ระหว่างที่มีการหาเสียงเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคนั้นเอง ก็เกิดขั้วขัดแย้งภายในพรรคขึ้น กล่าวคือ ขั้วผลัดใบ โดยการนำของ 'อภิสิทธิ์' ผู้ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และ 'เทพเทือก' สุเทพ เทือกสุบรรณ มี 'ชวน หลีกภัย' หนุนหลัง ส่วนอีกขั้ว 'ทศวรรษใหม่' นำโดย 'บัญญัติ' ผู้ลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และประดิษฐ์ มี 'เสธ.หนั่น' สนับสนุน

และท่ามกลางการหาเสียง ทั้งสองขั้วสู้กันอย่างดุเดือด ตั้งแต่เริ่มจนถึงวันเลือกตั้ง จึงทำให้ความแตกแยกภายในพรรคที่มีอยู่ก่อนแล้ว ปริร้าวไปกันใหญ่

จนยืดเยื้อยาวนานมาจนถึงวันนี้

นี่คือ ปัญหาใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำมาสู่อีกมากมายหลายปัญหาในเวลาต่อมา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด จากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ปรากฏว่า มีปัญหานับแต่ การจัดสรรผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ทั้งระบบเขต และระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่กุมอำนาจภายในพรรค มักจะเลือกคนของตัวเองเป็นอันดับแรกในการลงสมัครรับเลือกตั้ง

นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวความขัดแย้งในเรื่องจัดทำบัญชีผู้สมัคร ส.ส.ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ เนื่องจากกลุ่มที่กุมอำนาจในพรรคจะเป็นคนจัดทำบัญชี และมีการนำคนของตัวเองมาจัดอยู่ในอันดับที่จะได้รับเลือกตั้ง คือในระดับต้นๆ ก่อน มากกว่าที่จะเป็นการคละกันไปอย่างเป็นธรรม

ยิ่งกว่านั้น ในการหาเสียงเลือกตั้ง ก็ยังมีปัญหาในเรื่องการให้การสนับสนุนเรื่องเงินทุนไม่ยุติธรรมกับผู้สมัครที่ไม่ได้อยู่ในสายขั้วอำนาจ จนกล่าวกันว่า บางสายผู้สมัครแทบจะต้องดิ้นรนหาเงินมาช่วยเหลือตัวเอง และที่เห็นได้ชัดถึงความแตกแยกก็คือ การขึ้นป้ายหาเสียงแบ่งแยก ระหว่างคู่กับ 'บัญญัติ' หรือคู่กับ 'อภิสิทธิ์' นั่นเอง

ที่น่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ เกมการออกมาตั้งพรรคมหาชนของ 'เสธ.หนั่น' เพื่อสู้กับพรรคไทยรักไทย ในลักษณ์ 'แยกกันเดิน-รวมกันตี' ก็ยิ่งทำให้ประชาธิปัตย์ในภาคเหนือและภาคอีสาน มีช่องว่างมากขึ้น

ยิ่งในภาคอีสาน ว่ากันว่า ไม่ต้องย้อนประวัติศาสตร์ไปไกลถึงพรรคประชาธิปัตย์เคยดูถูกคนอีสาน เอาแค่หลังจากที่ ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก และไม่สนใจไยดีแก้ปัญหาให้คนอีสาน นับแต่นั้นคนอีสานก็ไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

ผิดกับพรรคอื่น เช่น ความหวังใหม่ ของ 'บิ๊กจิ๋ว' พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ประกาศตนเป็นนายกฯคนอีสาน ปรากฏว่า คนอีสานเทคะแนนให้อย่างท่วมท้น

ทั้งดูเหมือนยังฝังใจมาตลอด จนแม้แต่การเลือกตั้งสองครั้งที่ผ่านมา

ไม่เว้นแม้แต่ 'บัญญัติ' ที่เป็นหัวหน้าพรรคคนใต้ด้วย

ที่ยกมาถือว่าเป็นเพียงปัญหาหลักเท่านั้น ยังมีรายละเอียดอีกมากมายที่รุมเร้า ทั้งภายในและภายนอกพรรค นับเป็นภาระหนักของหัวหน้าพรรคคนต่อไป กว่าจะฟื้นฟูพรรคให้โดดเด่นขึ้นมาเป็นความหวังของประชาชน และเอาชนะเลือกตั้งได้

0 0 0

แต่ก็นับว่าท้าทายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะกับคนที่มุ่งมั่นมานานแล้วที่ต้องการพิสูจน์ฝีมือตัวเอง อย่าง 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ' ว่าที่รักษาการหัวหน้าพรรค

"ในมุมมองของผม พรรคต้องมาทบทวนกันครั้งใหญ่ ทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะดูว่าเงื่อนไขของการทำงานที่จะต้องปรับให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง จะทำอย่างไรให้เราสามารถเข้าถึงประชาชน และได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่านี้ และคิดว่าการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ ถ้าไม่รุนแรงพอ ก็จะเป็นปัญหาต่อไป"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องผ่าตัดโครงสร้างใหม่ทั้งหมดหรือไม่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะไปบอกว่าทั้งหมดคงไม่ได้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคงไว้ คือ อุดมการณ์ที่เป็นพื้นฐานของพรรค แต่สิ่งที่จะมารับใช้อุดมการณ์ในเชิงวิธีการ โครงสร้าง บุคลากร วัฒนธรรมการทำงาน คงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกันครั้งใหญ่ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ตนต้องไปนำเสนอในพรรค

ด้าน 'ชวน' เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองอนาคตของพรรคนับจากนี้จะเป็นอย่างไร กล่าวว่า "เชื่อว่าพรรคได้บทเรียนมาก ดังนั้น หัวหน้าพรรคคนใหม่และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ คงจะไม่มีปัญหาความขัดแย้ง ที่แล้วมามีปัญหา เพราะว่ากลุ่มที่หนุนนายบัญญัติเขาลาออกไปหมดแล้ว ทิ้งให้ท่านโดดเดี่ยว ปล่อยให้ท่านเคว้งคว้างอยู่ นี่ดีนะว่าได้กลุ่มของนายอภิสิทธิ์ช่วยเอาไว้ ทั้งๆ ที่เป็นคู่แข่งขันกัน ก็มาเป็นตัวหลักช่วยทำงาน ไม่มีความขัดแย้ง ช่วยกัน ซึ่งก็น่าชื่นชม"...

คงจะชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แค่ไหน และคนที่จะเป็นหัวหอกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงนับแต่นี้ จักมิใช่แกนนำแห่งทศวรรษใหม่ที่ประสบความล้มเหลวอีกต่อไปแล้ว

หากแต่จะเป็นโอกาสอันสำคัญของ 'อภิสิทธิ์' ที่เชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปัตย์ 'ผลัดใบ' อย่างน่าติดตามยิ่ง