: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

"นายผมคือประชาชน" คำสัญญา 'อัศวินม้าขาว' รอบ 3?

จากนิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์

"นายผมคือประชาชน" คำสัญญา 'อัศวินม้าขาว' รอบ 3?
"จะเป็นบุญหรือกรรมไม่รู้ หลัง 13 ปีผ่านไป ผมต้องกลับมานั่งทำงานที่ตึกนารีสโมรสรอีกครั้ง"

เพราะเจ้าของคำพูดคือ อานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ประโยคดังกล่าวจึงไม่อาจฟังเพียงผ่านหู หากลองสแกนดู ถ้อยคำธรรมดา '13 ปีผ่านไป' กลับถอดรหัสออกมาได้อย่างน่ากลัว ชนิดขนหัวลุก

คนไทยร่วมสมัยไม่มีใครลืมเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.2535!!

กรณีพฤษภาทมิฬ นับเป็นครั้งที่ 2 ที่อานันท์รับใช้ประเทศชาติในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความแตกแยกระหว่างฝ่ายประชาชนกับฝ่ายทหาร จังหวะการเดินสู่บทบาทผู้นำประเทศของเขาทั้งสองครั้ง จึงไม่ต่างไปจาก 'อัศวินม้าขาว' เช่นเดียวกับครั้งแรก ที่เขารับช่วงบริหารประเทศต่อจากรัฐบาล รสช.

คงไม่ต้องสงสัยว่า ระหว่างขี่ม้าขาวครั้งแรกกับขี่ม้าขาวครั้งสอง อันไหนที่ทำให้อานันท์ได้รับการยอมรับจากสังคมมากกว่า

ต้องไม่ลืมว่า กรณี 'พฤษภาทมิฬ' มีคุณูปการต่อสังคมไทยในแง่ที่ทำให้พวกเราได้มาซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด นั่นคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 และมิอาจลืมเช่นกันว่า อดีตนายกรัฐมนตรีคนนี้จะนั่งอยู่หัวโต๊ะทุกครั้งที่มีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญ

จังหวะนี้เองที่ทำให้อานันท์มีโอกาสพบปะและใกล้ชิดกับ 'คนดี' หรือ 'ผู้ทรงคุณวุฒิ' จากกลุ่มทางสังคมกลุ่มต่างๆ ผู้ผ่านการเลือกสรรเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจากทั่วทุกสารทิศ

ภาพลักษณ์การเป็น 'แทคโนแครตติดดิน' เริ่มเข้ามาแทนที่ 'ผู้ดีรัตนโกสินทร์' นับแต่นั้น พร้อมกับทำให้กลุ่ม Friends of Anand กลายเป็นกลุ่มทางสังคมชั่วคราวในบัดดล

จึงไม่แปลกที่ในกาลต่อมา เราจะเห็นอานันท์เปิดประตูสร้างความสัมพันธ์กับนักเคลื่อนไหวคนสำคัญๆ ระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ธีรยุทธ บุญมี, สุลักษณ์ ศิวรักษ์, พิภพ ธงไชย, วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ฯลฯ แม้ในช่วงนั้น อานันท์จะคืนสู่ภาคนักธุรกิจอีกคำรบ แต่เขายังมีบทบาททางสังคมผ่านตำแหน่งทางสังคมในองค์กรต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ

ที่สำคัญ ๆ เช่น ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, ประธานสภาสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย, ประธานกรรมการสภาสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย, ประธานคณะกรรมการนักธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมแห่งประเทศไทย, ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อติดตามผู้สูญหายและช่วยเหลือผู้สูญหายจากเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535

ประธานกรรมการสถาบันคีนันแห่งเอเชีย, ทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย, ที่ปรึกษาปัญหาต่อต้านคอร์รัปชันภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารโลก, กรรมการที่ปรึกษา องค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ, ประธานคณะกรรมการอำนวยการ เอเชีย แปซิฟิก ลีดเดอร์ชิพ ฟอรัม ออน เอชไอวี/เอดส์ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์

สำหรับอดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัยผู้นี้ แม้ยังไม่เคยลงพื้นที่ศึกษาปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่การไพล่ถ้อยความไปถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ย่อมแสดงให้เห็นว่า นายกฯ อานันท์มี 'ภูมิรู้' ในระดับที่ 'เข้าถึง' ระดับ 'ความรุนแรง' นั่นเอง

ไม่เช่นนั้นคงไม่ยืนยันความเชื่อให้นายกฯ ทักษิณ และสื่อมวลชน ได้ยินดังๆ ว่า

"เราไม่อาจแก้ไขปัญหาความรุนแรงได้ด้วยความรุนแรง"

ก่อนย้ำว่า "นายของผมไม่ใช่รัฐบาล นายของผมคือประชาชน"

อันที่จริงสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรีเรียนรู้ ไม่ใช่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันไม่รู้ อ้างตามนโยบายหาเสียงรณรงค์เลือกตั้งครั้งล่าสุด 'ไทยรักไทย หัวใจคือประชาชน'

ยิ่งได้ยินนายกฯ อานันท์ ให้สัมภาษณ์ หลังร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับนายกฯ ทักษิณ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ว่าวันนี้วิธีคิดของนายกฯ ทักษิณเปลี่ยนไป โดยมีเป้าประสงค์ตรงกันคือแนวสันติวิธี ยิ่งฟันธงได้ทันทีว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องของกระบวนการ (Process) ไม่ใช่ยุทธศาสตร์ (Strategy)

การทาบเชิญนายกฯ อานันท์มาเป็นผู้นำการขับเคลื่อนกระบวนการผ่านคณะทำงานชุด 'คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ' ไม่น่าเป็นเพราะนายกฯ ทักษิณ ไม่มี 'ความสามารถ' (Capability) แต่เป็นเพราะมีปัญหา 'ความโปร่งใส' (Transparency) กับสังคมในประเด็นความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 3 กรณีใหญ่ด้วยกัน ได้แก่ กรณีกรือเซะ..กรณีม็อบตากใบ.. และการหายไปของทนายความสมชาย นีละไพจิตร

เป็น 'จุดอ่อน' ที่ทักษิณรู้ดี เพียงแต่สถานการณ์ไม่เอื้อที่เขาจะดำเนินการกำจัดด้วยตัวเอง เว้นเสียแต่เสาะหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาช่วย ซึ่งถ้าดูจากสภาพและระดับความรุนแรงของปัญหาในประเทศไทยนี้ ไม่มีใครมีเหมาะสมเท่า อานันท์ ปันยารชุน

ไม่มีใครล่วงรู้ว่า นายกรัฐมนตรี 2 คน ถกอะไรในประเด็นการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บนโต๊ะอาหาร แบบที่นายกฯ อานันท์ เรียกว่า 'เถียงแบบฝรั่ง' คือพูดจากันอย่างรุนแรงอยู่นานถึงสาเหตุของปัญหา แต่นาทีนี้ทุกคนรู้แล้วว่า อานันท์ไม่เพียงจะตีโจทย์แตก แต่กลับได้รับการขานรับจากนายกฯ ทักษิณในทุกข้อเสนออย่างรวดเร็วด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยผลการสอบสวนกรณีกรือเซะ 28 เมษายน 2547, การเปิดเผยผลการสอบสวนกรณีสลายม็อบตากใบ 25 ตุลาคม 2547, การเปิดเผยผลการสอบสวนกรณีการอุ้มฆ่าทนายสมชาย นีละไพจิตร 11 มีนาคม 2547 และถอนฟ้อง 58 ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมกรณีตากใบ

เพียงเดือนเดียวหลังจากรับประทานอาหารกลางวันและเถียงแบบฝรั่ง จาก 28 กุมภาพันธ์ถึง 28 มีนาคม รัฐบาลเซ็นรับรองแต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติเสร็จ 29 มีนาคม รัฐบาลเปิดประชุม 2 สภาเพื่อหารือแก้ปัญหาดับไฟใต้ เช้าวันที่ 30 มีนาคม รัฐบาลอนุมัติงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท ช่วยเหลือเหยื่อกรณีตากใบอย่างง่ายดาย

เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นอย่างมีประสิทธิผล แทบจะกล่าวได้ว่า อานันท์ไม่ต้องเสียเหงื่อหรือเคร่งเครียดกับบทบาทการเป็น 'อัศวินม้าขาว รอบที่ 3' ด้วยซ้ำ ไม่เหมือน 2 ครั้งแรกซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่า อานันท์ใช้พลังงานและทักษะของนักการทูตในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลทหารมากกว่านี้หลายเท่า

และไม่น่าถือเป็นวีรกรรมแบบ 'อัศวินม้าขาว' อย่างที่กำลังถูกพูดถึง

ไม่เชื่อลองถอดหมวกนักวิชาการออก ถอดแว่นนักรัฐศาสตร์ทิ้ง มองจากบริบทวรรณกรรม ทุกครั้งที่ปรากฏอัศวินขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย ผลสงครามนั้นจะมีฝ่ายหนึ่งเป็น 'ผู้ชนะ' ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็น 'ผู้แพ้'

เพราะแนวโน้มของการแก้ปัญหาไฟใต้ครั้งนี้ มีแนวโน้มว่า จะจบแบบ Win/Win Situation ทุกฝ่าย ตามสไตล์ 'นักการทูต' แบบอานันท์ ปันยารชุน

เพื่อเห็นแก่สันติภาพที่เพิ่งเริ่มต้น จึงไม่ควรมีข้อสงสัยอะไรในการทำงานเพื่อสังคมของนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน นอกจากขอเป็นกำลังใจด้วยการยืนยันในบรรทัดสุดท้ายว่า การกลับมาช่วยบ้านเมืองครั้งล่าสุดของผู้ใหญ่ดีๆ อย่างนายกฯ อานันท์ ครั้งนี้ น่าจะถือเป็น 'บุญ' มากกว่า 'กรรม'