สัมภาษณ์พิเศษ / มนสิกุล โอวาทเภสัชช์ คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
ผู้รับใช้พระธรรม 'สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ' พี่สาว 'แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต'
"อย่าคาดหวังกับที่นี่ อย่าคาดว่าที่นี่เป็นสถานปฏิบัติธรรมแล้วทุกอย่างจะดีไปหมด เพราะว่าคนที่เดินเข้ามา 90% มีความทุกข์ แล้วทุกคนเข้ามาเพื่อเรียนรู้ที่จะพ้นทุกข์ แต่ละคนก็เดินอยู่ จังหวะไหนอาจเกิดไม่ใช่ขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวัง เราไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับคุณ แต่คุณต้องเข้าใจก่อน เพราะเราไม่อยากให้คุณผิดหวังกลับไป"
**********************
"เมื่อก่อนตอนเด็กๆ เราทะเลาะกันประจำ เราไม่เรียกพี่เรียกน้องกันนะ เพราะวัยใกล้กันมาก เราเรียก เธอ-ชั้น จนกระทั่งแม่สิ้น ตอนนั้นน้องอยู่กับแม่ เรากำลังสอบรับหมวกพยาบาลอยู่ ไม่มีคนบอก แต่รู้ว่าแม่ป่วย เคยไปเยี่ยมท่าน ท่านใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ เราก็คิดว่า ท่านคงยังไม่เป็นไร พอท่านสิ้นเราไม่รู้เลย สอบเสร็จเราถึงรู้ ตอนเราไปวัด น้องก็เดินมากอดร้องไห้ แล้วเรียกพี่ วันนั้นเป็นวันแรกที่เรียกเราว่า พี่ เรายังตกใจเลยว่า ฮะ! เรียกเราพี่เหรอ แล้วก็พูดว่าเราไม่มีใครแล้ว เรามีกันแค่พี่น้อง"
สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ หรือ 'ตุ๋มติ๋ม' พี่สาวคนเดียวของ 'ตุ๊กตา' หรือ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ผู้ก่อตั้ง เสถียรธรรมสถาน เล่าถึงวัยเยาว์ตั้งแต่แม่จากไปในวัยที่ทั้งคู่อายุเพียง 17 ปี และ 15 ปี ขณะที่พ่อซึ่งไม่ยอมรับสาวน้อย 'ตุ๊กตา' เป็นลูกตั้งแต่เกิดมา แต่ภายหลังที่แม่ชีศันสนีย์บวชเรียนผ่านไป 25 ปี ก่อนที่คุณพ่อของท่านสิ้น คุณพ่อของท่านกลับมาขอโทษ และชื่นชมลูกสาวคนเล็กนี้เป็นที่สุด...
และเมื่อ 9 ปีก่อน สายสัมพันธ์ก็ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อแม่ชีศันสนีย์ปรารภให้มาช่วยงานที่เสถียรธรรมสถาน และดูแลศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต วัดแรกที่แม่ชีศันสนีย์บวชเรียนเมื่อ 25 ปีก่อน ในที่สุดเธอยอมสละชีวิตทางโลกจากตำแหน่งหน้าที่บริหารระดับสูงในบริษัท แพนคอสเมติก มาเป็นผู้รับใช้พระธรรมในเสถียรธรรมสถาน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับโครงการนำร่องสาวิกาสิกขาลัยก็เพิ่งเริ่มขึ้น ในครั้งนั้นเธอก็ถูกเกณฑ์เข้าไปเรียนพระอภิธรรมด้วย จนกระทั่งทุกวันนี้ ถือว่าเธอคือหนึ่งในสาวิกาที่เติบโตมาพร้อมๆ กับการก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับใช้เพื่อนทุกข์ของเสถียรธรรมสถาน
ในวันที่เราสนทนากับเธอเรื่องก้าวต่อไปของสาวิกาสิกขาลัย การศึกษาทางธรรมของลูกผู้หญิงที่กำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการในอนาคตที่เสถียรธรรมสถาน เราเลยได้ฟังเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสาวิกาคนสำคัญ ที่อยู่ข้างหลังแม่ชีศันสนีย์มาโดยตลอด มาฝากท่านผู้อ่านอีกต่อหนึ่ง
จากผู้หญิงที่เคยสวมเพชรเม็ดโตๆ ไปที่ไหนต้องสวมเครื่องประดับแพรวพราว กลับมาเดินเท้าย่ำดินในวัด เหงื่อแตกพลั่กๆ อยู่กับเด็กๆ อย่างมีความสุขทุกวัน อะไรทำให้เธอค้นพบความสุขง่ายๆ ในวัย 54 ปี ของชีวิตทุกวันนี้....
เนื้อเรื่อง
0 สนใจธรรมะมาพร้อมๆ กับแม่ชีศันสนีย์ หรือเปล่าคะ
เรามีฐานเดียวกัน ยายกับแม่เลี้ยงเรามาด้วยกัน เพราะเราทั้งสองคนไม่ได้อยู่กับพ่อ แล้วคุณยายเข้าวัดมาตลอด คุณแม่เป็นครูอนุบาล เราอยู่กับแม่มาโดยตลอด ทำไมแม่ชีจึงมาทำงานเด็ก เพราะท่านคุ้นกับแม่ หลังจากเลิกเรียนเราก็ไปอยู่กับแม่ ช่วยแม่ตัดเล็บน้อง ช่วงเลี้ยงน้อง แล้วก็ไปวัดกับยาย แต่เราไม่ค่อยลึกซึ้งกับยายเท่าน้อง ยายสงสารน้องเป็นพิเศษเพราะพ่อไม่รัก เราเองพ่อยังรัก
พอโตขึ้นก็เลือกเรียนพยาบาลจนกระทั่งวันหนึ่ง ครูอุ้ยอ้าย เจ้าของอนุบาลบ้านรักมาบวชเรียนที่เสถียรธรรมสถาน เธอเป็นลูกศิษย์ท่านแม่ชี ตอนนั้นทางคุณแม่ของครูอุ้ยอ้ายจะขายที่ซึ่งเป็นโรงเรียน แม่ชีก็เลยปรึกษาเราว่าจะซื้อที่ข้างหลังเสถียรธรรมสถานเพื่อทำโรงเรียน ก็ถามเราว่าสนใจไหม ถ้าซื้อก็ต้องซื้อชื่อเรา เพราะท่านซื้อไม่ได้
ตอนแรกก็คิดว่าจะซื้อไปทำอะไร แม่ชีก็บอกว่าจะทำโรงเรียน แต่เป็นโรงเรียนสำหรับเด็กอีกระดับหนึ่งสำหรับคนที่พอจะมีกิน เพื่อที่จะเอาเงินส่วนนี้มาช่วยเด็กที่ต้องการโอกาส แต่ตกลงกันในที่สุดก็ไม่ได้ทำ เพราะคุณแม่ของครูอุ้ยอ้ายไม่ขายที่แล้ว โรงเรียนอนุบาลบ้านรักก็คงอยู่ แม่อุ้ยก็เลยไม่ได้มาทำโรงเรียนที่นี่ ที่ดินที่ซื้อมาตรงนั้นก็เลยทำเป็นสถานปฏิบัติธรรมอยู่ด้านหลัง
พอท่านบอกตรงนี้ เราก็ไปคุยกับสามีว่า บางทีเราทำธุรกิจก็ไม่ใช่ตัวเรา การที่จะต้องไปสู้รบปรบมือแข่งขันสร้างเป้า ทำงานก็ไม่ค่อยมีความสุข อยากจะลาออกมาช่วยงานวัด
0 ตอนนั้นทำธุรกิจอะไรอยู่หรือคะ
ล่าสุดเมื่อ 10 ปีก่อนก็เป็นผู้จัดการฝ่ายบริการ บริษัท แพน คอสเมติก (Pan Cosmetic) แล้วก็มาทำบริษัทในเครือ ซึ่งเป็นไดเร็กเซลส์ ยิ่งทำให้ชัดเจนว่า ไม่ไหว คนทำงานไดเร็กเซลส์ต้องเป็นคนที่จะเอาน่ะ รู้สึกไม่ใช่เรา ทำไปก็ไม่มีความสุข พอดีมาคุยกับแม่ชีท่านก็บอกว่าให้มาช่วยเราดีกว่า ท่านบอกว่า เราจะถือศีล 10 แล้ว เราจะไม่หยิบเงิน แล้วเราก็อยากจะทำงานชนิดที่เราจะไม่ผลักใครตกนรก เพราะฉะนั้นพี่ตุ๋มต้องเข้ามาทำตรงนี้ให้เรา ดูแลให้เราหน่อย
เราก็ไปถามสามีว่าโอเคไหม เขาก็งงๆ บอกว่า ถ้าคุณสบายใจก็ทำไปเถอะ เราก็เลยหาคนมาทำงานแทนที่บริษัท เราก็จบภาระตรงนั้นด้วยความสบายใจ เพราะมีคนทำงานแทน คุณสามีก็อนุญาตแล้ว ก็เลยมาตรงนี้ด้วยความสบายใจ
0 เข้ามาช่วยแม่ชีศันสนีย์ตั้งแต่ปีไหนคะ
ตั้งแต่ปี 2539 ถึงตอนนี้ก็ประมาณ 9 ปี มันเป็นจังหวะ และธรรมะจัดสรรด้วยมั้ง
0 ปรับตัวนานไหมคะจากผู้บริหารทำธุรกิจแล้วมาอยู่วัด
เราเข้ามาใหม่ๆ ไม่ได้เข้ามาเพื่อปฏิบัตินะ เราเข้ามาเพื่อบริหารจัดการมากกว่า ก็มีการคุยกันเล่นๆ กับท่านแม่ชีว่า ทางโลกพี่ตุ๋มเอาไป ทางธรรมเราเอา แล้วเราจะไม่ก้าวก่ายกัน แม่ชีหมายความว่า เราไม่อยากให้ใครมาพูด มาว่าพี่สาวเราจุ้นจ้าน เราก็บอกไม่มีปัญหา เรื่องต้นไม้ เรื่องสวนอะไรนี่เราไม่ถนัด ท่านก็ดูของท่านไปเอง ก็เหมือนกันแบ่งหน้าที่กันไปตรงนั้น
เราต้องเปลี่ยนตัวเองพอสมควร จากผู้บริหารที่อยู่ห้องแอร์ แต่งตัวใส่สูท ใส่ถุงน่อง สวมแหวนเพชรเม็ดโตๆ ก็เปลี่ยนหมด ใหม่ๆ มานี่ก็ยังใส่ถุงน่องอยู่เลย แต่ก็ถูกต้นไม้เกี่ยวขาดหมด กลับไปก็โทรมเชียว คุณสามีบอกว่าอะไรกันขนาดนี้ มันร้อนไงคะ เราเคยอยู่แต่ห้องแอร์ บุคลิกก็ต้องเปลี่ยนหมด เครื่องแต่งกายก็ต้องเปลี่ยนหมด อะไรที่เกี่ยวแล้ว มันขาดก็ต้องเปลี่ยนหมด ผ้าบางๆ เบาๆ ก็ไม่ได้ใช้ กลับมาใส่ยีนส์
คือวิถีชีวิตของตัวเองเปลี่ยน การแต่งเนื้อแต่งตัวเปลี่ยน การไปไหนต้องมีเครื่องประดับหรูหราถอดเก็บหมด ไม่ได้ใส่ แม้กระทั่งนาฬิกาตอนหลังก็ไม่ได้ใส่ เพราะรู้สึกรำคาญ แหวนอะไรก็ไม่ได้ใส่
เมื่อก่อนถ้าจะต้องไปงานแล้วไม่มีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้ พอมาอยู่ที่นี่แล้ว มันเป็นเรื่องปกติ ไม่มีไม่เห็นแปลก แล้วก็ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองหรือไม่มองเรา มันก็เป็นตัวเรา สบายใจ และชัดเจน ก็รู้สึกว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นแค่มายาเท่านั้นเอง
0 อยู่ที่นี่ทำอะไรบ้างคะ
ก็ต้องทำงานเรื่องบุคคลไปเลย ท่านแม่ชีก็ปล่อย ทำให้เราฝึกตัวเอง ถ้าเมื่อก่อนนี้อยู่บริษัทสั่งงานใครแล้วไม่ทำ เป็นเรื่องแน่นอน ไม่ต้องอยู่กันเลย แต่อยู่ที่นี่มีความหลากหลายของคนทำงานเยอะมาก เพราะฉะนั้นสั่งแล้วไม่ทำ ใหม่ๆ ถามว่าโกรธไหม โกรธ ทำไมเป็นอย่างนี้ บางทีสั่งไปแล้ว เขาก็บอกว่า นายไม่เคยให้ทำอย่างนี้ เขาจะเรียกท่านแม่ชีว่านาย เขาจะอ้างนายอย่างเดียว
เรานั่งอยู่ที่นี่ก็คิดว่า จะไปรอดไหมเนี่ย ก็คิดหลายหลายอย่าง แต่ก็ค่อยๆ ปรับตัวเองมาเรื่อยๆ พอเข้ามาแล้วก็รู้ว่าค่าใช้จ่ายที่นี่มากมายมหาศาล ท่านทำได้อย่างไรโดยที่ไม่รับบริจาค ตอนที่เราเข้ามาแรกๆ มีตู้รับบริจาคอยู่หัลงธรรมศาลาอยู่ตู้เดียว ยังเป็นตู้ประวัติศาสตร์อยู่เลย ตู้ทึบเชียว ก็เลยบอกท่านแม่ชีว่า ถ้าเราจะต้องเอาเงินกองทุนของเราออกมาใช้อยู่ตลอดเวลา พี่ว่าสักวันหนึ่งมันก็หมด มันไม่มีทาง คุณเสถียร เสถียรสุตก็คงไม่ได้ support เราไปตลอด เพราะท่านก็แก่ลงไปทุกวันๆ แล้ว ก็เลยบอกว่า พี่ขอขายอาหาร ขอขายของ ขอตั้งร้าน
ท่านแม่ชีก็ถามว่าจะขายอะไร จริงๆ เป็นความฝันของเรามานานมาก อยากขายก๋วยเตี๋ยวในสวน เพราะเวลาสอนเด็ก อบรมเด็กก็จะบอกเลยว่า ความฝันสูงสุดของเราคือ อยากมีร้านก๋วยเตี๋ยวในสวน ท่านก็บอกว่า ได้ แต่พี่ตุ๋มต้องขายมังสวิรัตินะ ห้ามขายอาหารเนื้อ ห้ามขัดนโยบายทางธรรมของเรา
เราก็คิด ทำอาหารมังสวิรัติ มันก็ยากเหมือนกันนะ เพราะตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนใจเรื่องมังสวิรัติ จะทำอย่างไร ท่านก็ถามว่าจะเอาใครมาทำ เราก็บอกว่า พี่ไม่เอาคนอื่น พี่จะเอาภรรยาคนสวนมาทำอาหารมังสวิรัติ ปกติครอบครัวคนทำสวนเขาจะทำด้วยกัน สามีทำสวน เมียปลูกต้นไม้ พอตั้งร้านอาหารก็บอกภรรยาคนสวนมาช่วย เพราะเขามีฝีมือการทำกับข้าว
งานร้านอาหารเป็นงานบริการ คนเข้ามาก็คาดหวังว่าจะได้รับการบริการ แต่เราเป็นคนทำงาน ไม่ได้ทำร้านอาหารมาก่อน ก็เลยให้ทุกคนที่เข้ามาแล้วช่วยเหลือตัวเองดีกว่า เกื้อกูลกันเอง ก็เลยกำหนดว่าร้านนี้เป็นร้านที่ทุกคนเข้ามาแล้วต้องบริการตัวเอง สิ่งที่เขาต้องทำก็คือว่า เอาจานไปส่งไว้ตรงที่เก็บจาน ก็ใช้ระบบนี้ เราก็ทำงานกันอยู่แค่ในครัวและเคาน์เตอร์ แค่ตักและส่งของให้เท่านั้น
แล้วเราก็ขออนุญาตตั้งตู้รับบริจาคตามจุดต่างๆ เพราะว่าไม่ไหว คิดว่าคนที่เขาเข้ามาก็คงอยากจะทำบุญ ตอนที่เราเข้ามาใหม่ๆ คนไม่กล้าเดินเข้ามาที่นี่ เขาบอกว่าที่นี่รับแต่คนรวย เขาก็ดูแค่ภายนอก เพราะกำแพงมันใหญ่ กำแพงมันสูง เขาก็คิดว่าคงต้องสกรีนคนมั้ง แต่ความจริงไม่ใช่ เราเปิดกว้างสำหรับทุกคน
เราก็เลยขอตั้งตู้รับบริจาค ใหม่ๆ ท่านก็ไม่ยอม เราก็บอกว่า อีกหน่อยถ้าไม่มีเงินเข้ามา แล้วเราเอาแต่เงินเราออกไป พี่ก็ทำไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเราน่าจะเปิดโอกาสให้คนอื่นทำบุญกันด้วยนะ ท่านว่าไหม ก็นั่งคุยกัน ท่านบอกว่า ก็ถูกส่วนหนึ่ง ต้องเปิดโอกาสให้คนทำบุญด้วย แต่พุทธพาณิชย์ไม่เอานะพี่ตุ๋ม ต้องยืนยันนะว่าจะไม่ทำพุทธพาณิชย์ เราก็บอกว่า เราไม่ทำ เราจะทำไปทำไม
เวลาคนมาวัดเราก็บอกว่า เวลาคุณไปวัดบางวัด คุณจะได้วัตถุมงคล แต่คุณมาที่นี่คุณได้อิ่ม คุณได้ช่วยคน เพราะร้านอาหารต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตอนนั้นเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจตก ฟองสบู่แตกพอดี คนก็ตกงาน เป็นจังหวะพอดีก็เข้ามาปฏิบัติธรรมกัน ก็สุดโทรมกันเลย ทุกข์ทรมานมาก เราก็บอกผู้ปฏิบัติว่า ถ้าคุณมีฝีมือ ทำอะไรก็ได้มาฝากขายที่นี่ แต่เราไม่ซื้อเงินสดนะ เพราะเราไม่มีเงิน มาฝากขาย ขายได้ก็มาเก็บไป ขออย่างเดียวก็คือว่า ของสดคุณต้องมาดูเอง และขอรับคืนนะ อย่าให้เรารับภาระตรงนั้น
คือเราขายให้ คุณให้เรากี่เปอร์เซ็นต์ก็ได้ เรายินดีขายให้ มันก็เลยเป็นงานชุมชน รับของจากชุมชนมาขาย แต่บอกว่าต้องอร่อย ถ้าไม่อร่อยก็ไม่เอา ต้องคอยชิมก่อน ให้คณะแม่ชีชิมก่อน ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เลยเป็นงานที่เราเกื้อกูลคนตกงานอยู่ช่วงหนึ่ง ให้เขาทำอาหารมาส่ง เลยกลายเป็นร้านอาหารที่เกื้อกูลชุมชนกันมาโดยตลอด นั่นคือหลักการของบ้านสายสัมพันธ์ ที่คุณมาถึงแล้วคุณได้กินอิ่มแล้วยังได้ทำบุญ
0 ทำร้านอาหารมังสวิรัติแล้วกินมังสวิรัติด้วยหรือเปล่าคะ
อยู่ที่นี่ก็กิน มีอะไรให้กินก็กิน ไปข้างนอกก็ไม่ได้เคร่งว่าจะต้องกินอย่างนี้ มีอะไรกินก็กิน
0 แล้วส่วนตัว การปฏิบัติธรรมเริ่มต้นอย่างไรคะ
เรานั่งสมาธิตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะว่าส่วนหนึ่งถูกบังคับ อยู่กับยาย ก่อนนอนยายให้สวดมนต์แล้วนวดยาย จากนั้นนั่งสมาธิ ก็นั่งหลับบ้าง ก็ถูกบังคับอยู่ในมุ้ง ก็ทำมาอย่างนั้น พอเริ่มเรียนสูงขึ้น ไปเรียนพยาบาลก็ไม่ได้ทำ มาเริ่มอีกทีก็ตอนมาทำที่นี่ ได้ทำวัตรสวดมนต์ แต่ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ที่นี่ ท่านแม่ชีก็ให้มาเข้าคอร์สอานาปานสติก่อน 3 วัน ตอนนี้ยังทำวัตรสวดมนต์อยู่ที่บ้าน แล้วก็ฝึกให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
0 เดินทางไปกลับ?
เราอยู่หมู่บ้านปัญญา แถวพัฒนาการ ก็เช้ามาเย็นกลับ เมื่อก่อนต้องอ้อมรามคำแหง แต่พอมาทำงานที่นี่ ทางด่วนเปิดใช้พอดี เลยขึ้นทางด่วนมาลงที่นี่ รอไว้เลย
0 9 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างทางโลกกับทางธรรม
อันที่หนึ่ง ตัวเองได้อะไรค่อนข้างเยอะ เอาครอบครัวก่อน ตอนทำธุรกิจ เราใหญ่กับใหญ่อยู่ด้วยกัน เขาก็ใหญ่เราก็ใหญ่ เวลาประชุมบางทีตบโต๊ะเข้าหากัน ต่างคนต่างไม่ยอม ตรงนั้นคือความทุกข์ มันไม่ได้เป็นความสุข ทำงานใหญ่ก็จริง แต่ภาวะครอบครัวมันไม่ไหว สามีก็เป็นคนอารมณ์ร้อน ใจร้อน เขวี้ยงได้เขวี้ยงเลย ก็เลยมาคิดดู เรื่องครอบครัวสำคัญ ก็เลยถอยออกมา
พอมาทำตรงนี้ทำให้เราเย็นขึ้น เรียนรู้มากขึ้นว่า ความรัก ไม่จำเป็นต้องให้เขาเป็นของเรา ซึ่งมันไม่ง่าย แต่เรารู้เลยว่า เขาก็คือเขา เราก็คือเรา เพราะฉะนั้นการที่เราอยู่เป็นเพื่อนกันก็เป็นการเกื้อกูล ความหึงหวงก็ไม่มี ความอยากจะรู้ว่าเธอไปไหน อย่างที่ผู้หญิงทั่วๆ ไปเขากังวลจะไม่มี เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเราทำได้ย่างไร แต่จิตมันรู้สึกอย่างนี้จริงๆ แต่ในบางครั้งที่เผลอก็รู้สึกเหมือนกัน แว้บเหมือนกัน เราก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่สติดึงกลับมาเร็ว ตรงนี้ธรรมะช่วยเรามาก ถ้าเป็นเมื่อก่อน คิดละ เธออยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับ
เดี๋ยวนี้เฉยๆ กลับเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น กลับมาต้องการให้เราดูแลอย่างไรเราก็ทำ ไม่ต้องการก็ไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่ชัดเจน พอเราอยู่กับธรรมะ ทำให้เรากลับมาดูตัวเองเสมอ ถามว่าคุมตัวเองได้ทั้งหมดไหมก็ยังหรอก บางทีก็โกรธ แต่ว่าโกรธแล้วจะไม่ข้ามวัน บางทีก็เสียงดัง แต่เวลาที่เสียงดังถามว่าโกรธหรือเกลียดไหม ก็ไม่ แต่เป็นสถาวะที่เกิดขึ้น
0 มีลูกไหมคะ
เราไม่มีลูก แต่สามีมีลูกติดมา 2 คน ลูกสาวคนโตและลูกชายคนเล็ก สามีเราเขาแต่งงานกับชาวต่างชาติแล้วแยกกัน ลูกทั้งสองคนอยู่เมืองนอกหมด เวลากลับมาบ้านเราก็อยู่ด้วยกัน มีครั้งหนึ่งลูกสาวคนโต ครั้งสุดท้ายก่อนเขาจะกลับไปเมืองนอก เขาเขียนจดหมายบอกพ่อเขาว่า เขาอยากจะเกลียดอา แต่เขาเกลียดไม่ได้ เพราะว่า ตั้งแต่เขามาอยู่กับเรา เขาไม่เคยเห็นอากับพ่อทะเลาะกันเลย ตรงนี้คือสิ่งที่เขาเห็นว่าพ่อมีความสุข เขาก็เลยคิดว่าเกลียดอาไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เราก็จะจอยกันดี แล้วเวลาที่เขาไปเรียนเมืองนอก แล้วจะกลับมาและชวนแฟนมาด้วย ปกติเขาจะคุยกับพ่อเขา วันหนึ่งเขาโทรฯ มา เราก็บอกว่า เดี๋ยวลูก พ่อกำลังแต่งตัวอยู่ เขาบอก เปล่าๆ จะคุยกับอา มีอะไรหรือ เราก็ถาม
เขาบอกว่า อาเข้าใจใช่ไหมว่าหนูมีสมอง คือเขากำกลังบอกว่า เขาเป็นผู้ใหญ่ เขาคิดได้, แล้วไงล่ะลูก เราก็ถาม เขาก็เล่าให้ฟังว่า ไปเรียนแล้วเจอเพื่อน เขาคิดว่าคนนี้ใช่แล้ว ก็เลยจะพาเขามาเมืองไทย อาช่วยพูดกับพ่อหน่อยได้ไหม เขาก็เห็นว่าเราคุยกับเขาได้ พ่อเขาก็ถามว่าทำไมต้องไปคุยกันข้างนอกด้วย เราก็บอกว่า ลูกเขาอยากคุยกับเราก็เลยออกไปคุยกับเขา, มีอะไร พ่อถาม
เราก็ถามสามีว่า ตอนที่คุณแต่งงานอายุเท่าไหร่ เขาก็บอก แล้วตอนนี้ลูกอายุเท่าไหร่ 27 ปี คิดว่าลูกจะมีครอบครัวได้หรือยัง เขาตอบ ยัง อ้าว เราก็ถาม ตอนที่ตัวเองอายุ 24 ก็มีครอบครัวแล้ว นี่ลูกอายุ 27 ปีแล้วนะ แก่กว่าตัวเองตั้ง 3 ปีทำไมจะยังมีไม่ได้ มีอะไรหรือ เขาก็ถามต่อ
เราก็เลยเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวโทรฯมาว่าเขาเจอคนหนึ่ง แล้วเขารู้สึกว่าคนนี้ใช่ ใช่คนที่เขาเลือกแล้วก็เลยถามพ่อ, ยังไม่ต้องพูดกัน สามีบอก มาก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน พอมาเมืองไทยก็มาคุยกัน คือเขาก็ห่วงลูก นั่นคือจุดหนึ่งที่เขารู้สึกว่า เราเป็นที่พึ่งของเขาได้
0 สามีของป้าตุ๋มทำอะไรคะ
เขาเป็นน้องชายเจ้าของบริษัท แพน คอสเมติก(Pan Cosmetic) ตอนนี้ก็ตำแหน่ง Senior vice President บริษัท แพน ราชเทวี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ค่ะ
0 แล้วชวนกันเข้าวัดหรือเปล่าค่ะ
คือในขณะที่เราปฏิบัติ เป็นอานิสงส์ที่เขาได้รับ เพราะว่าเรามาทำงานที่นี่ เราไม่ได้รับอะไรจากที่นี่ ไม่เอาค่าจ้าง ไม่ต้องจ่ายอะไรเรา เพราะสามีเราเป็นคนจ่ายทุกเดือน เราก็บอกว่า คุณน่ะ ทำบุญใหญ่นะ เพราะคุณให้เรามาทำงาน และยังให้เงินเรามาทำงานด้วย นี่คือคุณได้ทำบุญใหญ่มาก เราก็ใช้วิธีการ คือ เวลามีหนังสือธรรมะอะไรก็เอาไปฝาก แล้วเอาไปวางหัวนอนบ้าง วางไปทั่วบ้าน ปรากฏว่าเขาอ่าน
อีกทางหนึ่งคือ เราจะส่งหนังสือไปให้ผู้ใหญ่ในบริษัทที่สนใจธรรมะด้วย ทางผู้ใหญ่ในบริษัทก็จะบอกสามีว่า เราส่งหนังสือมาให้ดีมากเลยนะ อ่านแล้วหรือยังเล่มนั้นเล่มนี้ เขาเองบางเล่มก็ยังไม่อ่าน พอมีคนมาบอก กลับมาบ้านก็ถามถึง เราก็บอกมีสิ วางอยู่นี่ไง ก็ใช้วิธีนี้เพื่อให้เขาเข้ามาทางนี้
เขาก็เข้ามาที่นี่เหมือนกัน มาเป็นบางครั้งบางคราว แต่เขาเป็นคนที่ร้อนไม่ได้ ต้องสบาย ศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์ฯ ก็พาไปเหมือนกัน เขาบอกเลยว่า รู้แล้วทำไมเรามีความสุข เขาเห็นเด็กน่ารัก เขาไม่สงสัยว่าทำไมจึงมีความสุขเวลาอยู่กับเด็ก
0 ระหว่างทางโลกกับทางธรรม ตอนนี้สามารถผสานไปด้วยกันได้หรือยัง
อยู่ได้สบายๆ เราอยากจะบอกว่า ไม่ต้องบวชก็ได้ เพราะว่าจริงๆ แล้ว เราสามารถดูแลตัวเองได้ เราสามารถปฏิบัติได้ เราสามารถที่จะไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเพราะเราได้ คุยกับใครก็ได้ที่เดินเข้ามาแล้วเราสามารถนำธรรมะสอดแทรกให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ แบ่งปันประสบการณ์จากตัวเองส่วนหนึ่ง จากคนอื่น จากการฟังธรรม เราก็สามารถช่วยคนอื่นได้
0 เคยมีความขัดแย้งกับแม่ชีศันสนีย์บ้างไหมคะ
เคยสิ จริงๆ แล้วต่างคนต่างทำหน้าที่ แต่ก็มีบ้างที่เราคิดไม่เหมือนกัน อย่างที่เล่าให้ฟัง ตอนที่จะขายอาหาร แล้วท่านจะให้ขายอาหารมังสวิรัติ ใจเราก็แย้ง แต่เราก็เข้าใจเจตนาที่ดี คือเราเรียนบริหารจัดการมา เวลาเราจะดุใครสักคน เราคิดว่าจะต้องดุเฉพาะบุคคล แต่ท่านแม่ชีไม่ ท่านจะดุไปพร้อมๆ กันเลย มาใหม่ๆ เราก็จะบอกท่านว่า คนจะเสียความรู้สึกนะ ท่านก็บอกว่า พระพุทธองค์เวลาสอนคนก็อย่างนี้ ตีให้รู้ว่าตี ตีให้เกิดการเรียนรู้ เราไม่ได้ใจร้ายกับเขา เราไม่ได้ทำร้ายเขา เราก็มาพิจารณา ทำไมทางโลกสอนอย่างนี้ ทำไมทางธรรมสอนอย่างนี้ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าให้ดูที่เจตนา
0 มีเสียงครหาไหมคะว่าพี่สาวมีอภิสิทธิ์
ไม่ละค่ะ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเพื่ออภิสิทธิ์ ถ้าเราจะเอาอะไรจากเสถียรธรรมเราจ่ายตังค์ทำบุญ จะไม่หยิบอะไรไปโดยพลการ หรือว่าจะเอาต้นไม้ไปปลูกที่บ้านก็จะถามท่านก่อน แล้วจะทำบุญ ยกเว้นอย่างเดียว ไม่ได้จ่ายค่าอาหาร กินข้าวโดยไม่ต้องจ่ายเงิน ดื่มน้ำโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
0 แล้วกับน้องสาวที่มาบวช ตอนแรกรู้สึกอย่างไรบ้างคะ
ต้องบอกว่าท่านมีแววเป็นผู้นำตั้งแต่เด็ก เพราะไม่ยอมแพ้อะไร เล่นอะไรก็ต้องเป็นที่ 1 แพ้เลิกเล่น ความโดดเด่นของท่านก็มีมาเรื่อยๆ เราเรียนจบพยาบาล ตอนคุณแม่เสียแล้ว เรายังต้องซื้อเสื้อใน กางเกงใน เครื่องสำอางให้อยู่นะ เพราะน้องทำไม่เป็น ทำไม่ได้ อาย ตอนนั้นอายุ 15 ได้ พอตอนที่จะเข้ากรุงเทพฯ ก็เริ่มต้นสู้ด้วยตัวเอง ประกวดนางแบบก็ต่อสู้ด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นเราเองกลับต้องเดินตามน้อง กลายเป็นสาวใช้ไปเลย เพราะ น้องไปไหนจะเลิศมาก เด่นมาก เวลาเราไปไหนด้วยกัน เราก็จะเดินอยู่ข้างหลัง ก็จะได้ยินคนพูดถึงทั้งชื่นชมและติฉินนินทา จนกระทั่งท่านบวช สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ ท่านไม่เคยยอมแพ้อะไรเลย ถ้าจะทำอะไรทำจริง แล้วไปข้างหน้าเลย สิ่งที่คุณแม่ คุณยายสอน ท่านนำมาตีเป็นธรรมะแล้วสอนคนต่อได้ยาวเลย
ตอนที่ท่านบวชก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เฉยๆ เพียงแต่ฟังคนโน้นคนนี้พูดว่าเดี๋ยวก็สึก เราก็จะถามท่านเหมือนกัน สามปีแล้วสึกไหม ยัง สี่ปีสึกไหม ยัง ห้าปีสึกไหม ยัง สุดท้ายถามว่าสึกไหม ท่านตอบว่า ไม่รู้จะสึกไปทำไม
0 25 ปีทางธรรมของแม่ชีศันสนีย์ กับ 10 ปีที่เสถียรธรรมสถานของพี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง?
ถ้าเรียกว่าเป็นพี่น้องทำงานทางธรรมด้วยกัน ใช่ อย่างน้อยที่สุดเราได้เบาแรงท่านในเรื่องที่มันเป็นความรุงรังทางโลก ท่านไม่ต้องมารุงรังกับมัน เรามาช่วยตรงนี้มันต่อกันได้ บางทีไม่ต้องพูดกัน หรือบางทีท่านพูดอะไรไม่เข้าใจแล้วเด็กๆ มาพูดกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้ฟังโดยตรง แต่เราจะเข้าใจในมุมมองที่เด็กๆ เขาเข้าใจผิดไป เราก็จะอะบายให้เด็กฟังถึงเจตนาของท่าน มันก็จะสอดรับกัน
0 สังฆะที่มีแต่ผู้หญิง อย่างที่ท่านแม่ชีเตือนเรื่องความสัมพันธ์ของผู้หญิงว่า ผู้หญิงอยู่ด้วยกันจะมีความผูกพันมากกว่าผู้ชาย ซึ่งเป็นจุดอ่อนได้ ถ้าไม่ใช้ธรรมะเข้ามาจะเป็นไฟลามทุ่ง ถ้าแตกแล้ว แตกทั้งรัง ในเสถียรธรรมสถานมีหลักในการอยู่ร่วมกันอย่างไรคะ?
เราทำอย่างนี้ค่ะ คือจะมีคนที่เข้ามาปฏิบัติแล้วกลับออกไป กับคนที่คิดว่าอยากจะเข้ามาเพื่อทำงาน ใช้การทำงานเป็นฐานในการปฏิบัติ เราจะคุยกับเขาก่อนอย่างไม่ปิดบัง เราจะบอกว่า อย่าคาดหวังกับที่นี่ อย่าคาดว่าที่นี่เป็นสถานปฏิบัติธรรมแล้วทุกอย่างจะดีไปหมด เพราะว่าคนที่เดินเข้ามาที่นี่ 90% มีความทุกข์ แล้วทุกคนเข้ามาเพื่อเรียนรู้ที่จะพ้นทุกข์ แต่ละคนก็เดินอยู่ จังหวะไหนอาจเกิดไม่ใช่ขึ้นมาก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวัง เราไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับคุณ ไม่ได้ขู่คุณนะ คุณต้องเข้าใจก่อน แต่เพราะเราไม่อยากให้คุณผิดหวัง ไม่อยากให้คุณกลับออกไปแล้วรู้สึกไม่ดีกับที่นี่ เพราะฉะนั้นคุณต้องชัด
ใครที่เข้ามา เราจะบอกว่า ได้ แต่คุณยังไม่ต้องทำตรงนี้ คุณไปอยู่ตรงนั้นก่อนนะ เราจะบอกเขาว่า ให้คุณอยู่เงียบๆ ก่อน อย่าเพิ่งมาตรงนี้เลย แต่บางคนก็อยากจะรีบทำงาน แล้วก็จะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ เราไม่ห้าม แต่เราจะให้เขาเรียนรู้เอง
0 ตอนนี้สังฆะในเสถียรธรรมสถานมีกันอยู่กี่คนคะ
มีแม่ชี 5 รวมทั้งท่านแม่ชีศันสนีย์ด้วย แล้วก็อาสาสมัครประจำและคนทำงานประมาณ 38-40 คน ส่วนหนึ่งอยู่ที่นี่ ส่วนหนึ่งไป-กลับ แล้วก็มีคนทำงานที่ศูนย์เด็กก่อนเกณฑ์วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิตอีกประมาณ 25-28 คน เราทำโครงการ 'สร้างโลกโดยผ่านเด็กที่นี่' ซึ่งเป็นวัดที่แม่ชีบวชเมื่อ 25 ปีก่อน
0 มีโครงการ 'บ้านสายสัมพันธ์' ที่ช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกกระทำทารุณด้วย ชื่อนี้มีที่มาอย่างไรคะ
ตอนที่โครงการนี้เปิด เรายังไม่คิดมาช่วยที่นี่เลย เราได้ยินจากรุ่นน้องที่เป็นพยาบาลมาถามเกี่ยวกับบ้านสายสัมพันธ์ ซึ่งแม่ชีทำงานร่วมกับโรงพยาบาลเด็กอยู่ แล้วเราเคยเป็นพยาบาลโรงพยาบาลเด็ก ก็จะมีรุ่นน้องอยู่ที่นั่นหลายคนมาถามว่า พี่ตุ๋มไปสร้างบ้านสายสัมพันธ์ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เราก็จะถามว่า บ้านอะไร เรายังไม่รู้เลยว่าโครงการนี้ชื่อบ้านสายสัมพันธ์ จนกระทั่งเมื่อเข้ามาที่นี่ ท่านแม่ชีก็เล่าให้ฟังว่า บังเอิญคณะกรรมการเขาเสนอว่า บ้านหลังนี้ควรจะชื่อว่าอะไร เพราะเป็นบ้านที่เราดูแลแม่ลูกอยู่ แล้วนักสังคมสงเคราะห์เขาก็เสนอชื่อมาว่าน่าจะชื่อ' สายสัมพันธ์' เราก็เลยตกลง เพราะชื่อไปพ้องกับพี่ตุ๋มพอดี
0 แล้วที่มาของสาวิกาสิกขาลัย
คุณแม่ตั้งใจว่าจะจัดให้กับนักบวชสตรี ให้โลกนี้มีธรรมเป็นมารดา เป็นการเรียนโดยใช้การทำงาน learning by doing ตอนแรกเรารับสมัครคนที่เป็นฆราวาสเข้ามาเป็นสาวิกาสิกขาลัย 35 คน แต่งเสื้อขาวผ้าถุงดำ แล้วเริ่มเรียนพระอภิธรรมกัน ซึ่งป้าตุ๋มก็ถูกเกณฑ์เข้าไปเรียนด้วย มีการเรียนมาเรื่อยๆ ประมาณ 3 เดือนก็มีคนออกไปบ้าง ส่วนรุ่นที่อยู่คือบวชเลย คือแม่ชีพิศมัย ผิวขาว และแม่ชีสมหมาย
ตอนนี้คุณแม่ก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานกับทางมจร.ซึ่งทางนั้นมีนโยบายที่อยากสนับสนุนการเผยแพร่ธรรมและให้ผู้หญิงได้มีโอกาสเรียน แล้วนำไปเผยแพร่ ซึ่งท่านไมได้ทำในเฉพาะประเทศไทย แต่ทำในต่างประเทศด้วย บังเอิญท่านแม่ชีมีสาวิกาสิกขาลัย แล้วทางมจร.ก็มีอยู่ เป็นอันว่าสอดกันพอดี ท่านแม่ชีก็พาคณะกลุ่มหนึ่งไม่ทั้งหมด เข้าไปนั่งฟังท่านพระเทพโสภณ มีมุมมองหลายมุมมองทีเดียว เพื่อให้เราได้มีโอกาสเรียน เผยแพร่ด้วย และมีโอกาสได้รับปริญญาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการทางโลกๆ ซึ่งมันก็จำเป็น แล้วเราก็ให้โอกาสคนทุกระดับ มีหลักสูตรที่หลากหลาย ให้โอกาสทุกระดับตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไม่เฉพาะคนที่เรียนจบสูงๆ
คือสามารถมาเรียน กศน.เทียบเอาได้ ตอนนี้อยู่ในระหว่างการหาหลักสูตรกันอยู่ แล้วที่นี่ดำเนินการเอง เป็นสถาบันเอง
0 หลักสูตรที่จะสอดคล้องกับทางโลกมีประโยชน์อะไรบ้าง
เวลาพระบวช หรือแม่ชีบวช แล้วท่านไม่ได้ปวารณาจะบวชตลอดชีวิต บางท่านบวชเพราะทางบ้านยากจน มาบวชเพื่อเรียน เมื่อท่านเรียนจบจะออกไปอยู่ทางโลก วุฒิการศึกษาก็จะช่วยให้ท่านอยู่ในสังคมได้อย่างที่คนยอมรับ
0 แล้วหลักสูตรสาวิกาสิกขาลัยที่ไม่เป็นทางการในเสถียรธรรมสถาน?
ก็มีอบรมอานาปานสติ 3 วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ก็มาเรียนข้างในของตัวเองก่อน เริ่มต้นตั้งแต่ทำวัตรสวดมนต์เช้า -เย็น ก็มีคำอธิบายว่า สวดไปทำไม สวดแล้วได้อะไร สวดทั้งภาษาไทยและภาษาบาลี จะได้เห็นว่าพระพุทธองค์สอนอะไรในคำสวด ฝึกสมาธิในการนั่ง เดิน ยืน นอน การเคลื่อนไหวใจหยุดนิ่ง การทำงานแล้วจิตนิ่งได้อย่างไร การกวาด การถู การอาบน้ำในชีวิตประจำวัน เราอาศัยสิ่งเหล่านี้เรียนข้างในด้วย ทบทวนข้างใน เรียนเรื่องอุปกิเลส 16 ให้ทุกคนกลับไปทบทวน สอนเรื่องปฏิจสมุปบาท อริยสัจสี่ อริยมรรคมีองค์ 8 องค์คุณที่ทำให้พ้นทุกข์ร่วมกัน เพราะนโยบายของสาวิกาสิกขาลัยคือ เราจะพ้นทุกข์ร่วมกันอย่างไร
0 ผู้ชายมาเรียนด้วยได้ไหมคะ
ได้ค่ะ
0 เป้าหมายในชีวิตของป้าตุ๋มล่ะคะ
ก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวในสวนแล้ว ก็ไม่ได้อยากได้อะไรไปมากกว่านี้ อยู่อย่างสงบ ได้สอนเด็กๆ ทุกอย่างบรรลุวัตถุประสงค์หมดแล้ว ไมได้คิดว่าจะต้องเอานั่นเอานี่อีกแล้ว เมื่อก่อนของที่บ้านเวลาสามีไม่ใช้แล้วจะนำมาให้ที่ศูนย์เด็ก เขาบอกว่า มีอะไรให้คนอื่นหมด เดี๋ยวนี้ เมื่อวันก่อน สามีจะเปลี่ยนเครื่องแฟกซ์ เราจะนำเครื่องเก่ามาที่ศูนย์เด็กฯ ก็ต้องถามสามีก่อน ว่าเขาให้หรือเปล่า เกรงใจเขาเหมือนกัน
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ผู้รับใช้พระธรรม 'สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ' พี่สาว 'แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต'
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
21:52

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest
เรื่องน่าสนใจเกี่ยวเนื่องกัน:
ป้ายกำกับ:
แวดวงหนังสือ