: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สังคมความรู้ยั่งยืนกว่า สังคมความเห็น

สุทธิชัย หยุ่น

สังคมความรู้ยั่งยืนกว่า สังคมความเห็น
วันที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เชิญนักวิชาการมาวิพากษ์ตัวเองเมื่อเร็วๆ นี้ ไม่ได้ปรากฏเป็นข่าวรายละเอียดในสื่อเท่าไหร่นัก ซึ่งออกจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะความเห็นหลากหลายวันนั้นช่วยเป็นแสงไปส่องทางให้กับคนทำสื่อได้มากมายหลายประเด็นเหลือเกิน
เช่น ท่านหนึ่งบอกว่า "สื่ออย่ากินบุญเก่า...ต้องสร้างสังคมความรู้มากกว่าสังคมความเห็น"

เป็นคำเตือนฉันมิตรที่น่าฟังยิ่งนัก และเป็นประเด็นที่สื่อเองควรจะนำไปถกกันต่อเพื่อแสวงหาคำตอบ และแนวทางที่จะทำให้สังคมได้ประโยชน์จากการทำหน้าที่ของตนมากกว่าที่เป็นอยู่

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อทุกวันนี้ทำหน้าที่ของตัวเองด้วยการรายงาน 'ความเห็น' มากกว่า 'ความรู้' เพราะการทำข่าวลักษณะ 'ปิงปอง' นั่นคือ คนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนั้น เป็นวิถีเก่าๆ ที่นักข่าวรุ่นเก่าทำกันเป็นกิจวัตร

ความจริง การรายงานว่าใครพูดอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่นั้น เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของหน้าที่ของสื่อ แต่ภารกิจที่สำคัญกว่านั้นคือการแสวงหาข้อเท็จจริง และการพิสูจน์ทราบว่าเบื้องหลังภาพที่เห็นนั้น ข้อเท็จจริงทุกๆ ด้านเป็นอย่างไร

สื่อมิอาจจะอ้างได้ว่าตนรายงาน 'ความจริง' (truth) ได้ในทุกกรณี เพราะสื่อไม่ใช่ผู้พิพากษา ไม่อาจจะระบุลงไปได้ว่าอะไรคือ 'ความจริง' และอะไรคือ 'ความเท็จ'

แต่สื่อก็พยายามทุกวิถีทางที่จะรายงาน 'ข้อเท็จจริง' (fact) ที่ตรวจสอบแล้วจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนคนอ่านได้ตัดสินเองว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อใคร, ฝ่ายไหน

เพราะลงท้ายสื่อก็ไม่มีหน้าที่แลไม่มีสิทธิที่จะกำหนดว่าคนอ่านจะต้องเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่ตนรายงานไป

หน้าที่หลักของสื่อมีเพียงแค่เป็น 'ผู้เฝ้าประตู' หรือ 'หมาเฝ้าบ้าน' ที่ซื่อสัตย์ ไม่ปล่อยให้อะไรผ่านเข้า-ออกโดยไม่ตรวจสอบ และไม่เห่าหอนเพียงแค่เห็นเงาวิ่งผ่านไป ต้องตรวจสอบก่อนว่ามันเป็นเงาหรือเป็นภาพจริง การเห่าก็จะต้องทำด้วยจังหวะ น้ำเสียงที่หนักเบาแตกต่างกันตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง

'สังคมความเห็น' เป็นสังคมผิวเผิน ใช้อารมณ์ และความคิดส่วนตัวที่มีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ยังไม่ได้วิเคราะห์เจาะลึก

'สังคมความรู้' คือสังคมที่เคารพในข้อเท็จจริง และตัดสินทุกอย่างบนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ตรวจสอบแล้ว สามารถนำไปแก้ปัญหาให้กับสมาชิกในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บ่อยครั้งที่สื่อให้ 'ความเห็น' ที่ไม่บอกที่มาที่ไปของ 'ความรู้' จึงทำให้มองปัญหาคลาดเคลื่อน สร้างความสับสน และทำให้สังคมวนเวียนอยู่กับประเด็นเก่าๆ มิอาจจะสร้างมิติใหม่ของการขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายปลายทางร่วมกันได้

จึงเป็นหน้าที่ของสื่อที่จะต้องทบทวนบทบาทหน้าที่ของตนในหัวข้อนี้ด้วยจิตใจเปิดกว้าง, ด้วยการเปิดทางให้คนข่าวรุ่นใหม่ได้มองทะลุถึงปัญหาที่เป็นมา และทิศทางที่ควรจะเป็นไปในอนาคต

เพราะการต่อสู้เพื่อเสรีภาพแห่งข่าวสารของประชาชนนั้นย่อมต้องอยู่บนหลักการของการสร้าง 'เนื้อหาสาระ' ที่สาธารณชนต้องการเพื่อการสร้างสังคม

สื่อที่รับผิดชอบย่อมต้องมีสาระที่ยั่งยืน มิใช่เพียงแค่เป็นความบันเทิงที่สนองความต้องการชั่วขณะที่บริโภคเท่านั้น