: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เลิก 'ดักสัมภาษณ์' นายกฯ เสียทีเถิด

สุทธิชัย หยุ่น

เลิก 'ดักสัมภาษณ์' นายกฯ เสียทีเถิด

เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ติดตามข่าวสาร, ทั้งนายกฯ, รัฐมนตรีและนักข่าว ต้องเปลี่ยนวิธีการ 'ทำข่าว' ใหม่หมด

จะได้ไม่ต้องมีภาพของ ambush interview หรือ 'ดักสัมภาษณ์' หน้าทำเนียบรัฐบาล หรือกระทรวงต่างๆ

นักข่าวแย่งกันถาม, นายกฯ แย่งที่จะตอบ

นักข่าวคนนี้โยนคำถามเรื่องนี้ได้สองคำ, นายกฯ ไม่ทันจะตอบ, นักข่าวอีกคนหนึ่งก็โยนอีกคำถามหนึ่ง, นายกฯ หันมาตอบยังไม่ทันเสร็จ ก็มีคำถามอื่นๆ แทรกเข้ามา

บางคำถามไม่เกี่ยวกับนายกฯ, นักข่าวจะถาม, นายกฯ ก็จะตอบ

คำถามที่ควรถาม, คำถามที่ควรจะต้องเจาะกันให้ลึก และไม่ควรจะปล่อยให้ผ่านไปเพียงเพราะนายกฯ ไม่อยากพูดหรือเพราะเกิดอารมณ์เสียขึ้นมาเฉยๆ

เพราะวิธีการหาข่าวแบบทุลักทุเล (ที่เข้าใจผิดคิดว่า 'เป็นกันเอง' แบบไทยๆ) เช่นนี้ เนื้อหาข่าวจึงมีปัญหา

เป็นปัญหาสำหรับคนให้สัมภาษณ์ที่บ่นว่าบ่อยครั้งพูดเพียงคำสองคำ แต่กลายเป็นประเด็นพาดหัวใหญ่ในวันรุ่งขึ้น เนื้อหาบิดเบือน, เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่, ฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด

เป็นปัญหาสำหรับนักข่าว เพราะคำถามสำคัญๆ มักจะไม่ค่อยได้มีโอกาสถาม นักข่าวถามอยู่ไม่กี่คน นอกนั้นจดและส่งเท่านั้น ไม่ต้องใช้สมองก็เป็นนักข่าวได้

สมาคมนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์ก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยว่าเกิด 'นักข่าวไดร์ฟเอ' ขึ้นมา นั่นคือ นักข่าวลอกข่าวกันเอง หลายๆ ฉบับต่างมีเนื้อหาเหมือนกันคำต่อคำ อันเป็นการหลอกลวงประชาชนคนอ่านทั่วไปอย่างยิ่ง

ซ้ำร้าย วันรุ่งขึ้น รายการโทรทัศน์และวิทยุทั้งหลายก็เอาข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์นี่แหละ ไปอ่านต่อกันอีก อะไรที่ผิดจากความไร้ฝีมือของคนข่าวบางคน ก็กลายเป็นโรคระบาดไปทั่วทุกสื่อโดยไม่ได้นัดหมายกัน

เป็นความไม่รับผิดชอบของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน

ดังนั้น เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย และสำคัญที่สุดเพื่อความซื่อสัตย์ต่อประชาชนผู้บริโภคข่าวสาร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิวัติการทำงานของการหาข่าวประจำวันของทุกสายข่าว

เริ่มจากที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

ควรจะต้องเลิกวิธีการ 'ดัก' นายกฯ วันละสามเวลาที่หน้าทำเนียบฯ แต่ควรจะต้องทำเป็นการแถลงข่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและเป็นระเบียบของนายกฯ

หากนายกฯ จะตอบคำถามของนักข่าวประจำวัน ก็ควรจะต้องจัดให้มีการนั่งลง หรือยืนด้วยระยะห่างที่พอสมควร ให้มีจังหวะเวลาตั้งคำถาม ให้นักข่าวบอกชื่อเสียงเรียงนามของตนเองก่อนจะถาม และให้มีโอกาสที่นักข่าวจะถามเรื่องเดียวกันนั้นให้ครบถ้วนกระบวนความเสียก่อน แล้วจึงจะกระโดดไปเรื่องอื่น

จะได้รู้ว่านักข่าวคนไหนทำการบ้านหรือไม่? จะได้รู้ว่านายกฯ ตอบคำถามตรงประเด็นหรือไม่? และจะได้รู้ว่าใครลอกข่าวใครหรือไม่? ท้ายที่สุด ถ้าสื่อรายงานว่านายกฯ พูดอย่างนี้ และนายกฯ (หรือคนใกล้ชิด) บอกว่านายกฯ ไม่ได้พูดอย่างนั้น เทปภาพและเสียงของการสัมภาษณ์อย่างเป็นเรื่องเป็นราวนั้น จะเป็นสิ่งที่ฟ้องเองว่าใคร 'มั่ว' กันแน่

ทุกวันนี้ บางครั้งนักข่าวบางคนมั่ว, บางครั้งนายกฯ ก็มั่ว การเอาตัวรอดกันไปวันๆ เห็นจะไม่ใช่วิธีการทำงานอย่างมืออาชีพของทั้งสองฝ่าย

เมื่อมีระบบการ briefing ประจำวันโดยโฆษกรัฐบาล หรือคนใกล้ชิดนายกฯ และมี press conference ประจำวันของนายกฯ แล้ว ทุกอาทิตย์ก็ควรจะกำหนดรายการ 'นายกฯ ตอบคำถามสื่อมวลชน' หรือที่เรียกว่า weekly press conference อย่างเป็นทางการ เปิดให้สื่อทุกสื่อและทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าข่าว, คอลัมนิสต์, บรรณาธิการ ทั้งไทยและต่างประเทศ ได้ตั้งคำถามต่อหน้าและสดๆ ถ่ายทอดออกวิทยุและโทรทัศน์

นายกฯ พูดออกวิทยุทุกวันเสาร์นั้นเป็นการ 'รายงานต่อประชาชน' แต่เป็นการพูดด้านเดียว ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการ 'สื่อสารสองทาง' ได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการจัดให้มี press conference อย่างเป็นระบบเพื่อจะได้ตอบคำถามและชี้แจงความสงสัยในประเด็นต่างๆ

นี่คือ ความโปร่งใสของข่าวสารอย่างแท้จริง ทุกฝ่ายต้องแสดงความเป็นมืออาชีพและความตรงไปตรงมาของตัวเองให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ

รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงก็ย่อมจะสามารถจัดให้มี press conference อย่างได้มาตรฐานที่ควรจะเป็นเช่นกัน

หากเริ่มได้ที่ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงต่างๆ ก็น่าจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไรจึงจะให้ประชาชนได้ประโยชน์จากข่าวสารอย่างเต็มที่

ใครถามคำถามฉลาดๆ เราก็จะได้รู้, ใครตอบคำถามได้ตรงประเด็น เราก็จะได้รู้

ตรงกันข้าม, คำถามงี่เง่าและคำตอบดักดานก็จะได้มีเจ้าของอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที