: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สมยอมให้ข่มขืน?

หมายเหตุการณ์ / ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ medusa_tu@hotmail.com

สมยอมให้ข่มขืน?
กรณีการข่มขืน-พยายามข่มขืนที่เป็นข่าวในระยะนี้ มักจะถูกฝ่ายชายที่เกี่ยวข้องตอบโต้ข้อกล่าวหาว่าผู้หญิงสมยอม เมื่อประกอบกับปัจจัยเฉพาะที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของคนในสังคมเกี่ยวกับการข่มขืน อย่างเช่นฝ่ายหญิงไม่ตาย หรือไม่ถูกทำร้ายอย่างบอบช้ำ ผู้ที่ติดตามข่าวทำนองนี้มักจะสงสัยว่าอาจจะเป็นเรื่องสมยอมกันจริงๆ และพากันโทษกับฝ่ายหญิง อย่างที่สะท้อนออกมาในกิจกรรมยอดนิยมของรายการข่าวโทรทัศน์ที่ให้คนกดเอสเอ็มเอสเข้าไปโหวต หรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับประเด็นข่าวต่างๆ ในประเด็นเรื่องข่มขืนที่เป็นข่าวสองสามกรณีติดต่อกัน คนดูข่าวไทยมองว่าเป็นความผิดของผู้หญิงเต็มประตูเลยทีเดียว

ความเห็นทำนองนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ในเวลาที่วิธีการและช่องทางที่หญิงชายพบปะคบหากันมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคบหาในโรงเรียน ที่ทำงาน หรือแชตรูม เมื่อเกิดภัยอันตรายในลักษณะของการบังคับร่วมเพศขึ้นมา อย่างการถูกข่มขืนเมื่อออกเดท ใครต่อใครก็พากันโทษว่าเป็นเพราะผู้หญิงหาเรื่องเอง อยู่เฉยๆ ก็คงไม่เกิดเรื่อง อะไรประมาณนั้น ดูเหมือนคนในสังคมจะเชื่อกันอย่างจริงจังว่ามีภัยอันตรายในทางเพศมากมายสำหรับผู้หญิง ที่ผู้หญิงเองต้องเป็นฝ่ายหลีกเลี่ยงหรือป้องกันไม่ให้ตนเองตกเป็นเหยื่อ ผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่ไปเจอกับภัยทางเพศเข้า ก็จะถูกตั้งคำถามโดยสังคมว่าทำอย่างไรจึงเกิดเหตุเช่นนั้นขึ้นได้

ความเชื่อ/มายาคติของคนเกี่ยวกับภัยทางเพศ จึงเป็นไปในลักษณะที่ว่าผู้หญิงยอมหรือปล่อยให้ภัยนั้นเกิดขึ้นกับตัวเธอเอง มากกว่าจะตั้งคำถามว่าทำไมฝ่ายผู้กระทำความรุนแรงจึงทำเช่นนั้น แต่กลับถามว่าทำไมผู้ถูกกระทำจึงยอมให้ตนเองถูกกระทำโดยนำตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อภัยอันตราย คงเพราะอย่างนี้ทำให้มุกเรื่องผู้หญิงสมยอมถูกหยิบยกมาหักล้างข้อกล่าวหากรณีข่มขืนอยู่เป็นระยะ การข่มขืนจำนวนมากจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องของการร่วมเพศที่ทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจแต่ผู้หญิงเปลี่ยนใจทีหลัง

การสมยอมเป็นหลักการสำคัญของตระกูลความคิดความเชื่อทางการเมืองที่ให้ความสำคัญกับสิทธิและเสรีภาพของคน ความเชื่อเช่นนี้บอกว่ากิจกรรมต่างๆ ทางสังคมควรจะเป็นเรื่องที่ผู้เกี่ยวข้องได้เลือกและยินยอมพร้อมใจที่จะทำ แต่การจะสมยอมในเรื่องต่างๆ ได้ ดูจะมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่นเรื่องของอายุ รัฐสมัยใหม่ต่างก็กำหนดว่าที่อายุเท่าไรพลเมืองของตนจึงจะตัดสินใจเลือกและยินยอมพร้อมใจจะเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางสังคมการเมืองได้ ถ้าอายุไม่ถึงแม้ว่าจะ 'สมยอม' ก็ไม่นับว่าเป็นการสมยอม

การสมยอมยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นเช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ คนหลายคนที่ยากจนไม่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะที่ตลาดต้องการ อาจจะเลือกที่จะทำกิจกรรมหลายอย่างที่สังคมเห็นว่าเป็นเรื่องไม่ดีเพื่อความอยู่รอด อย่างหญิงค้าบริการหลายคนที่ 'เลือก' จะค้าบริการเพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำให้ได้รายได้มากพอจะเปรียบเทียบกับการค้าบริการทางเพศได้ ในสถานการณ์เช่นนี้เธอจึงเลือกที่จะทำในสิ่งที่ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าจะถูกประณามทางสังคม ผู้สังเกตการณ์สังคมการเมืองหลายคน บอกว่า กรณีเหล่านี้ไม่น่าจะนับเป็นการสมยอมหรือสมัครใจ แต่เป็นการถูกบังคับให้เลือกโดยโครงสร้างทางสังคมเศรษฐกิจที่ไม่มีทางเลือกอื่นที่พอจะเทียบเคียงกันได้มากกว่า

ในสังคมที่กติกาเกี่ยวกับเรื่องเพศเปิดให้ชายหญิงทำความรู้จักกันก่อนที่จะเข้าสู่การแต่งงาน ด้วยการเพิ่มขั้นตอนของการเป็น ‘แฟน’ หรือคู่รักขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งก่อนการแต่งงาน ทั้งชายหญิงที่ยึดมั่นในเรื่องเพศภาคบังคับเช่นนี้ ต่างก็คาดหวังจะได้สำรวจตรวจสอบคนที่อาจจะกลายเป็นสามีหรือภรรยาตน การพบปะนัดหมายระหว่างชายหญิงจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกในกรอบกติกาเช่นนี้ แต่โอกาสในการพบปะทำความรู้จักนี้เอง อาจทำให้ผู้หญิงเผชิญกับอันตรายจากการถูกบังคับให้ร่วมเพศได้ แถมยังถูกตำหนิว่าไม่ระมัดระวัง เหมือนนักมวยการ์ดตกจนถูกทำร้ายล่วงละเมิดได้

การแบ่งแยกการสมยอม-การถูกบังคับในกติกาเรื่องเพศนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะในขณะที่กรอบเรื่องเพศจำกัดความสัมพันธ์ทางเพศที่ถูกต้องว่าต้องอยู่ในสถาบันการแต่งงาน การร่วมเพศได้ถูกเชื่อมโยงและผูกพันอย่างแนบแน่นกับความรัก การร่วมเพศได้กลายเป็นการแสดงออกของความรักไป และทำให้เกิดสถานการณ์ที่ผู้หญิงถูกกดดันให้ร่วมเพศกับชายคนรักเพื่อพิสูจน์รักในกาลโอกาสต่างๆ เช่น เทศกาลแบบฝรั่งอย่างวันวาเลนไทน์หรือเทศกาลแบบไทยๆ อย่างลอยกระทง

ในสถานการณ์เช่นนี้ การจะให้แยกว่าผู้หญิงร่วมเพศเพราะยินยอมพร้อมใจอย่างเต็มที่หรือเพราะการถูกบังคับกดดันจากกรอบความหมายเรื่องความสัมพันธ์และจากตัวผู้ชาย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ยิ่งเมื่อดูรายละเอียดของแต่ละคนแต่ละกรณี ก็ยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ เพราะผู้หญิงบางคนอาจจะยินดีที่จะทำความพูดคุยหยอกล้อเรื่อยไปจนถึงการสัมผัสแตะต้องทางกาย แต่ไม่อยากไปไกลจนถึงการร่วมเพศ ซึ่งแปลว่าการเกี่ยวข้องระหว่างชายหญิงมีหลายขั้นตอนหลายเวลาที่ผู้หญิงอาจจะไม่อยากก้าวข้ามหรือเลยเถิด โดยไม่เกี่ยวกับการที่เธอ ‘สมยอม’ ในขั้นตอนอื่นก่อนหน้านั้นก็เป็นได้

ผู้หญิงจึงปฏิเสธหรือขัดขืน ณ เวลาใดก็ได้ในการพบปะเกี่ยวข้องทางกายกับผู้ชาย การออกเดทหรือไปไหนมาไหนด้วย ไม่ได้หมายถึงการยินยอมพร้อมใจไปทุกเรื่อง การที่ผู้ชายไม่สามารถจะยอมรับการปฏิเสธของผู้หญิงว่าเธอกำลังพูดว่า ‘ไม่’ และไม่ต้องการจะดำเนินการในเรื่องเพศต่อไป กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ชายหลายคนไม่ยอมหยุดและก้าวข้ามไปสู่การบังคับร่วมเพศในที่สุด

มายาคติที่ว่า ผู้หญิงไม่ได้จริงจังกับการปฏิเสธของเธอ ทำให้สถานการณ์ยิ่งยุ่งยากหนักเข้าไปอีกในหลายกรณี

ปัญหาของการตีความเรื่องการสมยอม-การข่มขืน จึงเป็นเรื่องของการใคร่ครวญว่าในความสัมพันธ์ชายหญิง ณ เวลาไหนที่ตัวตนของผู้หญิงและสิทธิในการเลือกและตัดสินใจของเธอได้หายไป เหลือแต่ความต้องการทางเพศของผู้ชาย และการทึกทักเหมารวมที่ทำให้ไม่ได้ยินเสียงปฏิเสธของผู้หญิงหรือไม่ยอมรับการปฏิเสธนั้น

ประเด็นการสมยอม-การข่มขืน จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากยิ่งอย่างนี้เอง