: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ข่าวลือและข่าวลวงในพม่า(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )

ข่าวลือและข่าวลวงในพม่า(Makong Corridor / ทรงฤทธิ์ โพนเงิน )
นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ยังคงทำตัวเป็นโฆษกที่ดีของรัฐบาลทหารพม่ามาโดยตลอด แม้ว่าในคราวนี้ข่าวอาจจะไม่แม่นเท่าใดนัก แต่ท่านนายกรัฐมนตรีของไทยก็ยังพยายามจะให้ข่าวกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมาว่าเกิดความตึงเครียด ที่อาจจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในย่างกุ้งก็เป็นได้

พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการปล่อยข่าวนี้ นอกจากโชว์ให้หัวคะแนนและแม่ยกการเมืองดูว่าตนรู้เรื่องพม่าดีราวกับอ่านลายมือตัวเอง แต่คราวนี้ไม่แม่นเท่าใดนัก เพราะแหล่งข่าวของไทยไม่ว่าจะในสถานทูตหรือในกองทัพนั้นได้ถูกกีดกันไปจากเรื่องพม่า หลังจากที่ จักรภพ เพ็ญแข โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไทย ได้ทำหน้าที่แถลงข่าวแทนโฆษกฯ พม่า เมื่อครั้งที่มีการปลด พล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งนั่นก็ได้ทำให้ผู้นำพม่ายังเคืองไทยไม่หาย

การแถลงข่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เกิดขึ้น 7 วันหลังจากที่ พ.ท.โบ่ วิน ทู นายทหารคนสนิทของ พล.อ.หม่อง เอ รองประธานสภาเพื่อสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐของพม่า (SPDC) ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ด้วยสาเหตุที่ยังเดากันไปต่างๆนานาจนถึงทุกวันนี้ โดยบ้างก็ว่าเขายิงตัวตาย บ้างก็ว่าเขาเอาตัวเข้ารับลูกกระสุนเพื่อปกป้อง พล.อ.หม่อง เอ ให้รอดพ้นจากการถูกลอบสังหารโดยฝ่ายที่ยังคงจงรักภักดีต่อขิ่น ยุ้นต์ ก็มี

นายทหารยศพันโทอย่าง โบ่ วิน ทู ย่อมมีความสำคัญต่อ หม่อง เอ ไม่ใช่น้อยเพราะเขาเป็นตัวต่อสำคัญระหว่างกลุ่มนักธุรกิจในพม่ากับ หม่อง เอ โดยผู้ที่ทำหน้าที่เป็นกลจักรสำคัญในการสร้างฐานทางเศรษฐกิจให้กับ หม่อง เอ ก็คือ นางเต็งจี โซเต็ง ผู้ซึ่งเป็นภรรยาของ พ.ท.โบ่ วิน ทู นั่นเอง

เพราะฉะนั้น ในเมื่อเขาต้องเสียชีวิตไปเช่นนี้ ย่อมจะทำให้ข้อต่อสำคัญระหว่างหม่อง เอ กับกลุ่มนักธุรกิจในพม่า เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจค้าพลอยนั้นต้องขาดหายไปด้วยซึ่งข่าวบางกระแสถึงกลับวิเคราะห์ว่าสภาพการณ์เช่นนี้อาจจะส่งผลสะเทือนไปถึงโครงสร้างอำนาจทางหารในกองทัพพม่าเลยทีเดียว

แต่อีกกระแสหนึ่งก็บอกว่าไม่ใช่ฝีมือของกลุ่มขิ่น ยุ้นต์ หากเป็นการกระทำของกลุ่มนายทหารรุ่นหนุ่มอย่างพล.ท.โซ วิน นายกรัฐมนตรี พล.ท.เต็ง เส่ง เลขาธิการที่ 1 ของ SPDC และพล.ท.ฉ่วย มาน เสนาธิการใหญ่ ที่พยายามจะผลักผู้นำรุ่นอาวุโสอย่างตัน ฉ่วย และ หม่อง เอ ลงจากอำนาจเสียทีเพราะทั้งสองนั่งทับตำแหน่งใหญ่ในกองทัพมานานและไม่เปิดโอกาสให้ทหารรุ่นใหม่เสียที

ซึ่งกระแสข่าวอันหลังนี้เองที่นำไปสู่ข่าวที่ว่า พล.ท.โซ วิน ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกจับขังไว้ในบ้านเช่นเดียวกับ ขิ่น ยุ้นต์ โดยบรรดานักการทูตต่างประเทศในกรุงย่างกุ้งที่เชื่อในสายข่าวของตนเองถึงกับฟันธงไปเลยด้วยซ้ำว่าน่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในคณะรัฐบาลทหารพม่าในไม่ช้านี้อีกด้วย

แต่งานนี้บรรดานักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างต้องตกม้าตายกันเป็นแถว เพราะผู้ซึ่งออกมาสยบข่าวลือด้วยการปรากฏตัวต่อสาธารณะโดยการเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลทหารพม่านั้น ก็คือ พล.ท.โซ วิน ที่ได้ปราศรัยเรียกร้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญโดยสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งกำลังจะเปิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้นั่นเอง

คณะทหารพม่าพยายามจะให้ข่าวว่า ความตึงเครียดทางการเมืองทั้งหลายแหล่ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งภายในของพวกเขา หากแต่มาจากข้างนอกมากกว่า เฉพาะอย่างยิ่งประเทศทางตะวันตกที่ออกทุนรอนและให้การฝึกอบรมชาวพม่าที่เป็นปรปักษ์ต่ออำนาจการปกครองของคณะรัฐบาลทหารพม่า

โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการที่ พลจัตวา ขิ่น เย แห่งกรมตำรวจพม่าได้เปิดแถลงข่าวว่า เย ทิ ฮา หัวหน้านักรบของกลุ่มนักศึกษาพม่าผู้กล้า (Vigorous Burmese Student Warriors) ที่เคยพาพวกบุกยึดสถานทูตพม่าในกรุงเทพฯ เมื่อปี 1999 นั้นได้ส่งหน่วยกล้าตายเข้าไปในกรุงย่างกุ้งเพื่อก่อกวนกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญในเวลานี้

นักศึกษาพม่า (ที่ในปัจจุบันนี้เป็นอดีตนักศึกษาไปเสียแล้ว) ในกลุ่มของ เย ทิ ฮา หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า ซัน เนียง เป็นกลุ่มที่อ้างความรับผิดชอบในการลอบวางระเบิดสองครั้งเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2004 ที่ผ่านมา โดยพวกเขายังได้ขู่ว่าจะก่อวินาศกรรมอีกด้วย ถ้าหากทางการพม่ายังไม่ปล่อย ออง ซาน ซูจี ออกจากการถูกกักขังในบ้านพัก

ความขัดแย้งภายในคณะทหารพม่าเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ ส่วนการก่อกวนจากกลุ่มของ เย ทิ ฮา หรือแม้แต่จากชนกลุ่มน้อยติดอาวุธนั้นก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเช่นกัน ทั้งนี้โดยถึงแม้ว่าจะเป็นกองกำลังที่ไม่ได้มีศักยภาพเท่าใดนักก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะทำอะไรไม่ได้เอาเสียเลย

เพราะอย่างน้อยก็สามารถก่อกวนสร้างความรำคาญให้กับคณะทหารในย่างกุ้งได้เรื่อยมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ชนกลุ่มน้อยนั้นแม้ว่าจะมีกองกำลังลดลงไปบ้างแต่ก็ยังไม่ถึงกับไร้น้ำยาไปเสียทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองกำลังกะเหรี่ยงนั้นทหารพม่ายังต้องขับเคี่ยวกับพวกเขาต่อไปอีกหลายยก ถ้าหากไม่สามารถที่จะกลับมานั่งโต๊ะเจรจากันได้เหมือนดั่งช่วงที่ ขิ่น ยุ้นต์ เป็นนายกรัฐมนตรี

ยิ่งไปกว่านั้น คณะทหารพม่ายังต้องเผชิญกับความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เมื่อปรากฏว่านายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษได้ประกาศที่จะร่วมรณรงค์กับฝ่ายนักต่อต้านรัฐบาลทหารในอันที่จะคว่ำบาตรด้านการท่องเที่ยวต่อพม่า ด้วยหวังว่าจะมีส่วนที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพม่าได้ เพราะพวกนายพลใน SPDC จะไม่สามารถหาเงินตราเข้าพกเข้าห่อของพวกตนได้อีกต่อไป

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่ากรณีที่น่าจะเป็นเรื่องที่หนักใจของคณะทหารพม่ายิ่งกว่าก็คือการที่สำนักอัยการภาคตะวันออกของนิวยอร์กได้ประกาศที่จะดำเนินคดีกับผู้นำว้า 8 คนเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยปราบยาเสพติดของสหรัฐ กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย

แน่นอนว่าผู้นำว้าที่ตกเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวนี้ ก็คือคนดังอย่าง เหวยเสี่ยวกังพร้อมด้วย เหวยเสี่ยวหลง เหวยเสี่ยวยิง เป่าโยชาง เป่าหัวเชียง เป่ายูยี่ เป่ายู่หัว และเป่ายู่เลียง นั่นเอง

ความจริงแล้วคนเหล่านี้ยังไม่ได้ถูกจับกุมแต่อย่างใด เพียงแต่ถูกทางการสหรัฐขึ้นบัญชีดำไว้เท่านั้น แต่เหตุที่ทางการสหรัฐ ได้หยิบประเด็นดังกล่าวขึ้นมาในเวลานี้จึงอาจจะตีความได้ในสองแนวทางด้วยกัน

กล่าวสำหรับในแนวทางแรก ก็คือทางการสหรัฐ ต้องการกดดันต่อจีนโดยตรงเพราะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าพวกผู้นำว้ามีความสนิทสนมกับทางการจีนเป็นอย่างดี และนักธุรกิจจีนที่เข้าไปลงทุนในเขตว้าก็ด้วยการอำนวยความสะดวกจากผู้นำตระกูลเหว่ยและตระกูลเป่า มาเป็นเวลานานแล้ว

ดังนั้น ทางการสหรัฐ จึงอาจจะใช้ไม้นี้บีบจีนเพื่อหวังผลในด้านอื่นๆ ในทางการเมืองระหว่างประเทศก็เป็นได้

ส่วนในอีกแนวทางหนึ่งนั้น ก็คือแรงกดดันที่ทางการสหรัฐ มีต่อจีนดังกล่าวนี้ยังจะส่งผลต่อเนื่องไปสู่การกดทับที่จะมีต่อคณะทหารพม่าด้วยเช่นกัน

เพราะจะต้องไม่ลืมว่าบรรดาผู้นำว้าเหล่านี้ต่างก็มีความสนิทสนมกับ ขิ่น ยุ้นต์มากกว่าสายอำนาจของ ตัน ฉ่วย และ หม่อง เอ

ฉะนั้น ในกรณีที่จีนไม่มีทางเลือกและไม่สามารถที่จะปกป้องว้าพวกนี้ได้อีกต่อไปก็ย่อมที่จะต้องกดดันไปถึงอำนาจที่ย่างกุ้งให้จัดการกับพวกว้าเหล่านี้ และนั่นเท่ากับว่าทำให้คณะทหารพม่าไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องเปิดศึกครั้งใหญ่กับว้าเพื่อรักษาไว้ซึ่งสัมพันธภาพอันใกล้ชิดกับจีน!!!