หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย หนองคาย |
เดิมทีหลวงพ่อพระใสได้ประดิษฐานอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์เป็นกบฎ สมเด็จพระบวรเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์เป็นจอมทัพยกพลมาปราบจึงได้อัญเชิญ พระเสริม พระสุก และ พระใส ลงมาด้วย
เมื่อล่องมาถึงเวินแท่นได้เกิดอัศจรรย์ คือ แท่นของพระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ โดยเหตุที่มีพายุแรงจัดพัดแพจนเอียงชะเนาะที่ขันพระแท่นติดกับแพไม่สามารถที่จะทนน้ำหนักของพระแท่นไว้ได้ บริเวณนั้นจึงชื่อว่า เวินแท่น แต่นั้นเป็นต้นมา
ครั้นล่องแพต่อมาจนถึงแม่น้ำโขง ตรงปากงึม เฉียงกับบ้านหนองกุ้ง อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ ท้องฟ้าที่วิปริตต่างๆ จึงหายไป บริเวณนั้นจึงได้ชื่อ เวินสุก ด้วยเหตุข้างต้น การอัญเชิญครั้งนี้จึงเหลือแต่พระเสริม และพระใสมาถึงหนองคาย สำหรับพระเสริมนั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย ส่วนพระใสได้ อัญเชิญไปไว้ยัง วัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ ณ ปัจจุบัน
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญพระเสริมจากวัดโพธิ์ชัยลงไปยังกรุงเทพฯ ขุนวรธานีจะอัญเชิญพระใสไปพร้อมกับพระเสริมด้วย แต่เกิดปาฏิหารย์ โดยพราหมณ์ผู้อัญเชิญนั้นไม่สามารถขับเกวียนนำพระใสไปได้ แม้จะใช้กำลังคนหรืออ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนในที่สุดเกวียนได้หักลง เมื่อหาเกวียนใหม่มาแทนก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อีก จึงปรึกษาตกลงกันว่าให้อัญเชิญพระใสมาไว้ที่วัดโพธิ์ชัยเมื่ออธิษฐานดังกล่าวพอเข้าหามเพียงไม่กี่คนก็อัญเชิญพระใสมาได้
หลวงพ่อพระใส เมื่อมาประดิษฐานอยู่ ณ วัดโพธิ์ชัยแล้ว ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และอัศจรรย์หลายประการจึงเป็นที่ศรัทธาเคารพนับถือและสักการะบูชาของประชาชน ให้ความสงบร่มเย็นเป็นเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทรให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้ยึดเหนี่ยวจิตใจ และด้วยอานุภาพศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เลื่องลือเล่าต่อกันมาแต่ครั้งอดีตทำให้หลวงพ่อพระใสได้รับสมญาว่า หลวงพ่อเกวียนหัก ตราบเท่าทุกวันนี้