รายงานพิเศษ / สิริวิชญ์
หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งในฝันอันลอยเลื่อน?
นับจากที่รัฐบาลไทยรักไทยเข้ามาบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 2 และยังคงใช้นโยบายประชานิยมอย่างต่อเนื่อง ได้มีนักวิชาการจากหลายฝ่ายเข้ามาศึกษา วิพากษ์วิจารณ์ตัวนโยบายอยู่เป็นระยะ แต่ดูเหมือนว่าภาพที่เห็นยังไม่ชัดเจนนัก
กระทั่งปลายเดือนสิงหาคม 2548 มีหมายการประชุมของคณะกรรมาธิการภาคประชาชน ตรวจสอบนโยบายความยากจนและสังคม ครั้งที่ 1 เรื่อง 'นโยบายประชานิยมกับการแก้ปัญหาความยากจน' ซึ่งจัดขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การประชุมคราวนี้มีคณะผู้วิจัยได้เสนอผลการศึกษาที่น่าสนใจหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์, หนี้สินและนโยบายการพักชำระหนี้ และนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน โดยในที่นี้ 'เนชั่นสุดสัปดาห์' ขอกล่าวเฉพาะหัวข้อการประเมินผลนโยบายหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และกรณีศึกษาความสำเร็จหรือล้มเหลวของโอท็อป
พยุงศักดิ์ คชสวัสดิ์ นักวิจัยอิสระ รายงานถึงการประเมินผลนโยบาย 'หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์' (โอท็อป) ว่านโยบายนี้เริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ 1 ซึ่งเขียนไว้ในคราวที่แถลงต่อรัฐสภา มีการแถลงเป็นระยะว่านโยบายดังกล่าวได้สร้างรายได้เพิ่มให้กับประชาชน คนเข้าร่วมโครงการ จาก 216 ล้านบาทในปี 2544 เมื่อเริ่มดำเนินการในปีแรก เพิ่มเป็น 2.4 หมื่นล้านบาทในปี 2545, และ 4.5 หมื่นล้านบาทในปี 2547 ตามที่รัฐบาลได้แถลงไว้
พยุงศักดิ์ย้ำว่าการศึกษานี้ มุ่งพิจารณาความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการ ตามที่รัฐบาลกล่าวว่าสร้างรายได้ปีละ 2-3 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นความจริงหรือไม่ โดยศึกษาในกลุ่มตัวอย่าง 164 กลุ่ม กระจายตามภาคต่างๆ โดยจำแนกผู้ผลิตสินค้าโอท็อปออกเป็น 4 ประเภท คือ SMEs จำนวน 30 กลุ่ม, ผู้ประกอบการ SMEs แต่จดทะเบียนเป็นกลุ่ม 43 กลุ่ม, กลุ่มชาวบ้าน 86 กลุ่ม และกลุ่มเกษตร/สหกรณ์ 5 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มต่างๆ นี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนปี 2545 อันเป็นปีที่มีโครงการโอท็อป มีเพียงร้อยละ 16 ที่เกิดขึ้นภายหลัง และกลุ่มเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอยู่แล้ว (รัฐบาลบอกมี 2 ประเภทคือ ผู้ประกอบการ SMEs และกลุ่มชาวบ้าน)
รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นต่อปีโดยเฉลี่ย 1-5 แสนบาท โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการขายสินค้าเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็น SMEs รองลงมาเป็นกลุ่ม SMEs แฝงที่จดทะเบียนเป็นกลุ่มชาวบ้าน ขณะที่กลุ่มชาวบ้านมีรายได้เพิ่มในสัดส่วนที่น้อยมาก
ในส่วนของตลาด กล่าวได้ว่าสินค้าโอท็อปมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น จากการจัดงานตามจังหวัดต่างๆ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาพบว่ามีเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1) รายได้ หน่วยงานภาครัฐไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่าเพิ่มเท่าไร ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีอยู่ก่อนมีโครงการ เช่น จ.ชลบุรี กลุ่มสหกรณ์โคนมมีรายได้ปีหนึ่งๆ นับร้อยล้านบาท และกลุ่มนี้ถูกนำมาอ้างตลอดเวลาว่าประสบความสำเร็จ อีกกลุ่มคือครกหินอ่างศิลา ซึ่งมีรายได้อยู่แล้วเช่นกัน แต่ภาครัฐบอกว่า โอท็อปทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น และเคลมว่ารายได้หมดนั้นเพิ่มขึ้นจากโครงการ 2.จำนวนกลุ่มที่เข้าร่วมโครงการมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยคิดว่าถ้าสินค้าได้หลายดาวจะจำหน่ายง่ายขึ้น
แม้โอท็อปจะทำให้ยอดขายสินค้าของกลุ่มต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงคือ กลุ่มธุรกิจ SMEs ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 74.96% ส่วนกลุ่ม SMEs ที่จดทะเบียนเป็นกลุ่มได้ 45.32%, กลุ่มชาวบ้าน 14.84% และเกษตรลดลง 8.06 กล่าวโดยสรุป กลุ่มที่ประสบความสำเร็จจริงๆ คือกลุ่มที่ได้รับความสนับสนุนจากภาครัฐอยู่แล้ว เช่นที่ จ.นครปฐม ผลิตภัณฑ์ 'ข้าวตัง' ซึ่งทางราชการส่งเสริมอยู่แล้ว ก็มีการไปสร้างอาคารให้ และว่าโอท็อปจึงไม่ค่อยสนับสนุนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นชาวบ้านจริงเท่าไรนัก ประชาชนได้เป็นค่าจ้างรายวันมากกว่า
0 0 0
ในหัวข้อ 'ความสำเร็จหรือล้มเหลวของโอท็อป : กรณีศึกษากลุ่มสินค้าที่กำลังล้มหายตายจาก' นำเสนอโดย กนกนาถ งามเนตร์ จากมูลนิธิพัฒนาแรงงานและอาชีพ
กนกนาถกล่าวว่าเป้าหมายของโครงการที่รัฐบาลอ้างถึงแต่แรกคือ เน้นภูมิปัญญา วัตถุดิบ และทรัพยากรในชุมชน เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้สินค้าของชุมชนเกิดขึ้นในระดับประเทศ กระทั่งถึงขั้นการส่งออก รวมทั้งให้ชุมชนมีรายได้สามารถพึ่งตนเอง และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
โดยปี 2547 รัฐบาลตั้งเป้าการจำหน่ายและส่งออกไว้ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาคาดว่าจะเกินเป้าที่แจ้งไว้
คำถามคือเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่ตกอยู่ที่ใคร?
กนกนาถชี้แจงถึงยอดจำหน่ายทั้งหมดของเอสเอ็มอีว่าเพิ่มขึ้น 75% แต่กลุ่มชาวบ้านเพิ่มเพียง 15% ทั้งยังต้องไปช่วงชิงตลาดอีกต่างหาก มีโอกาสส่งออกน้อย เพราะต้องผ่านตัวกลาง ชาวบ้านยังต้องเป็นแรงงานรับจ้างผลิตให้กับธุรกิจ SMEs ที่มาตั้งอยู่ในชุมชน และยกผลิตภัณฑ์ขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อนำเสนอในโครงการโอท็อป โดยชาวบ้านได้ค่าแรงวันละ 100-150 บาท
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีกรอบคือ สามารถส่งออกได้ ผลิตอย่างต่อเนื่อง มีคุณภาพคงเดิม และได้มาตรฐาน....
แต่กลุ่มใหม่ๆ ที่พบในพื้นที่อยู่ในเกณฑ์ 1-2 ดาวเป็นจำนวนมาก เพราะชาวบ้านพัฒนาผลิตภัณฑ์ไม่ทัน โดบตัวเลขของกรมการพัฒนาชุมชนระบุว่ามี สินค้าโอท็อปทั้งหมด 37,826 ผลิตภัณฑ์ ส่งเข้าคัดสรรได้ 27,889 ผลิตภัณฑ์, (หายไป 1 หมื่นผลิตภัณฑ์) กลุ่มที่จะได้รับการสนับสนุนต่อต้องได้ 3 ดาวขึ้นไปซึ่งเหลือแค่ 7,945 ผลิตภัณฑ์ (หายไป 2 หมื่น) และกลุ่มที่เป็นชุมชนจริงๆ ที่ไม่ใช่ SMEs มีเพียง 5,409 ผลิตภัณฑ์
ฉะนั้น พอผ่านกระบวนการคัดสรรแล้ว จะมีกลุ่มที่หายไปกว่า 3 หมื่นผลิตภัณฑ์ ซึ่งผู้ทำวิจัยตั้งข้อสังเกตว่ามูลค่าการสูญเสีย อาจพอๆ กับมูลค่าการส่งออก ด้วยต้องไม่ลืมว่าแต่ละกลุ่มต้องทุ่มเททรัพยากร เงินทุน และแรงงาน ในการสรรหาผลิตภัณฑ์เข้าคัดเลือกในโอท็อปคิดเป็นมูลค่าเท่าไร สุดท้ายเมื่อหลุดจากกระบวนการ ทำให้ชาวบ้านมีภาระเพิ่มขึ้นในเรื่องของหนี้สิน ตลอดจนรายได้ของครอบครัวที่สูญเสียไป
ทว่า ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกลับเป็นเรื่องของ 'ภูมิปัญญา' ซึ่งมีการพูดถึงในตอนแรกว่าจะนำมาเป็น 'จุดขาย' ของโอท็อป
ปัญหาคือเมื่อนำออกมาแล้วไม่สามารถรักษาไว้ได้ มีการลอกเลียนแบบสูงมาก ดังที่กนกนาถได้หยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาว่า กลุ่มชาวบ้านถูกนักธุรกิจกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบสินค้าเขา และให้เจ้าหน้าที่มาจับกุม ทั้งที่ทางกลุ่มทำมา 40 ปี ขณะที่สินค้าถูกนำไปจดลิขสิทธิ์มา 5 ปี แต่ตรงนี้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เพราะไม่มีหลักฐาน ชาวบ้านต้องดิ้นรนเอง หรือเลิกผลิตสินค้าที่ซ้ำกับคนอื่น กลุ่มนี้มีสินค้า 40 แบบ
กระนั้นก็ดี ในการศึกษาครั้งนี้ ใช่ว่าจะไม่มีกลุ่มชาวบ้านที่ประสบความสำเร็จเลย
ตัวอย่างของกลุ่มชาวบ้าน (ซึ่งเป็น 'กลุ่มแท้' ตามความเห็นของผู้ศึกษา) ที่ประสบความสำเร็จในการทำโอท็อป และกนกนาถยกมาอ้างถึงเป็น 'กลุ่มแปรรูปอาหาร' ซึ่งตั้งขึ้นระยะใกล้ๆ กับนโยบายโอท็อป ระดับสินค้า 5 ดาว โดยปัจจัยที่ทำให้กลุ่มประสบความสำเร็จคือ ผู้นำมีทักษะด้านการทำธุรกิจ, สมาชิกมีความสามัคคีร่วมกัน, สินค้าได้มาตรฐาน อย. และ มผช., ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ตั้งแต่ระดับตำบลถึงจังหวัด เช่น คณะกรรมการสมาชิก ส.จ. จำนวน 5 หมื่นบาท, กรมส่งเสริมการเกษตร 194,000 บาท, สาธารณสุขจังหวัด และอื่นๆ รวมเป็นเงินล้านบาทเศษ
คำถามคือ ต้องขายสินค้ากี่ปีถึงจะได้ทุน (เงินล้าน) คืน?
"ตรงนี้คือต้นทุนแต่ชาวบ้านไม่รู้ เพราะได้มาฟรีไม่ต้องใช้คืน สมมติสินค้าราคา 20 บาท ขายได้กำไรหน่วยละ 2 บาท ต้องขายเท่าไรจึงจะได้ทุนคืน 5 ปีที่ผ่านมาคงยังไม่คุ้มทุน นอกจากเงินแล้วยังมีความช่วยเหลือด้านอื่นอีก เช่น บรรจุภัณฑ์ การพัฒนาเครื่องมือที่จะผลิต ถ้าวัดเป็นมูลค่าต้องเอาไปรวมกับเงินล้านอีก ถามว่ากลุ่มที่จะได้โอกาสแบบนี้มีเยอะไหมในแต่ละชุมชน"
นี่คือภาพฉายของปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงการโอท็อป ซึ่งคณะกรรมาธิการภาคประชาชนได้ทำหน้าที่ 'ตรวจสอบ' นโยบายความยากจนและสังคมของรัฐบาล ช่วยให้เราได้มองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลในชุมชน
ส่วนการดำเนินการขั้นต่อไป ก็ขึ้นกับว่ารัฐบาลจะเปิดใจรับฟังข้อเท็จจริงได้แค่ไหน
จะแก้ไข มองข้าม หรือโยนทิ้ง ก็คงต้องวัดใจกันดู!
(ล้อมกรอบ)
ประเด็น
เรื่องเศร้าของชาวโอท็อป
(เลือกดูตัวอย่างสินค้าโอท็อปในถัง weekend)
เนื้อเรื่อง
สมคิด ด้วงเงิน ประธานกลุ่มศูนย์หัตถกรรมทองลงหิน ซึ่งทำงานด้านนี้มากว่า 50 ปี โดยผลิตภัณฑ์ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภทเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร จากการประกวดผลิตภัณฑ์หัตถกรรมไทยประจำปี 2533 และเป็นสินค้าโอท็อป 5 ดาวในปี 2546
สมคิดเล่าว่าทำงานฝีมือด้านนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2499 ผลิตภัณฑ์เป็นของที่ระลึกและของใช้บนโต๊ะ เช่น ช้อน ที่เปิดขวด คีมคีบน้ำแข็ง ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ซึ่งติดต่อผ่านคนกลางอีกที
หลังได้รับคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ 5 ดาว คนไทยก็ฮือฮาอยู่ในปีนั้น และรางวัลที่ได้ไม่มีผลต่อออเดอร์จากต่างประเทศ ก่อนหน้าเหตุการณ์ตึกเวิลด์เทรดถล่มที่สหรัฐอเมริกาปี 2544 ทางกลุ่มมีออเดอร์ล้นมือจนทำไม่ทัน แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 20%
หลังได้รับคัดสรรเป็นสินค้าโอท็อป ภาครัฐให้ความช่วยเหลือในการให้สถานที่จำหน่ายที่เมืองทองเท่านั้น อื่นๆ ไม่มี ส่วนทางเขตจตุจักรให้วางสินค้าจำหน่ายในสำนักงาน รวมทั้งจัดเป็นกลุ่มให้จากที่ตอนแรกแต่ละบ้านต่างทำกันเอง
ในฐานะเป็นหนึ่งในแวดวงกลุ่มชาวบ้านผู้ทำสินค้าโอท็อป สมคิดมองว่าโอท็อปมีปัญหามาตั้งแต่ต้น เพราะไม่กำหนดกลุ่มผู้ผลิตว่าเฉพาะชาวบ้านระดับล่าง แต่ขอบข่ายกว้างเป็น SMEs หรือบริษัทก็ได้
"ถามว่าอย่างพวกเรา ชาวบ้าน ชุมชน จะไปสู้อะไรกับนักธุรกิจหรือ SMEs มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผู้ที่มาทำหน้าที่คัดสรรบางท่านทักษะยังน้อย ไม่รู้ลึกถึงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์แต่ละตัว ดูแต่ภาพรวมว่าสวยไหม ถูกใจไหม เรียบร้อยไหม ผมว่าไม่เป็นธรรมสำหรับคนทำงานศิลปหัตถกรรม ซึ่งน่าจะหาผู้รู้จริงแต่ละแขนง ถ้าจะตัดสินต้องดูความเป็นมาของผลิตภัณฑ์ว่ามาจากอะไร จากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษหรือไม่ ใช้ทักษะมากน้อยแค่ไหนอย่างไร"
"...เราไม่ได้ติดต่อต่างประเทศโดยตรง ศักยภาพเราไปไม่ถึง ภาษาก็ไม่รู้สักตัว ทักษะการส่งออกก็ไม่มี มีแต่ฝืมือเท่านั้นเอง ออเดอร์อย่างปัจจุบันก็พอเลี้ยงตัวได้ ในกลุ่มมี 60-70 คน"
นอกจากไม่มีศักยภาพในการทำตลาดต่างประเทศเองแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เขายังถูกกล่าวหาว่า 'ละเมิดลิขสิทธิ์' ในลวดลายที่ทำอีกด้วย
"ถามว่าเราทำก่อนหน้าเขานานไหม นาน เพราะเขาเพิ่งมาเริ่มทำปี 2510 กว่าๆ นี้เอง เขาส่งออกเองเลยไปจดทะเบียนไว้ เราไม่ทราบ ตรงชุมชนของผมเรียกว่าชุมชนบางบัว เราคิดว่ามันน่าจะเอาชื่อพื้นที่มาทำผลิตภัณฑ์ พอออกตลาดก็ไปเจอตรงกับของเขาๆ ขายส่งออก เราก็ไม่ทราบ เขามีหนังสือมาว่าเราทำไม่ได้เพราะเขาจดสิทธิบัตรทางปัญญาแล้ว ลายมันคล้ายคลึงกัน ผมก็ไปดูที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา เอาผลิตภัณฑ์ไปให้เขาดูและบอกเจ้าหน้าที่ว่า ผมทำมานานแล้ว แต่เขาอ้างว่าทำมาก่อน ส่วนเราไม่ได้บันทึกไว้ว่าเริ่มทำตั้งแต่ปีไหน เมื่อเขาจดแล้วเราก็ไม่อยากไปยุ่ง ก็คุยกับเขาบอกเราไม่ทำ"
เมื่อเจอปัญหาเช่นนี้ถามว่าแล้วคิดที่จะจดสิทธิบัตรสินค้าไว้บ้างไหม สมคิดตอบว่า
"เคยไปศึกษากับกรมทรัพย์สินทางปัญญา เขาต้องจดอย่างนี้เลย สมมติแบบลายเดียวกันนี้ ต้องจดเป็นซ่อม ช้อน มีด แล้วเซตหนึ่งมีตั้งสิบกว่าอย่างใครจะไปจดไหว ค่าใช้จ่ายต่อการจด 1 ชิ้น 1 พันบาท แล้วอยูได้แค่ 5 ปี ถ้าไม่ไปต่อใครจะทำต่อก็ได้ งั้นเราจะทำทำไมละ ไม่คุ้ม
ส่วนที่ว่าอนาคตจะมีปัญหาเดิมๆ เกิดขึ้นอีกหรือไม่นั้น เจ้าตัวตอบแบบปลงๆ ว่าไม่ทราบเหมือนกัน ถ้าสามารถจดสิทธิบัตรได้ก็ดี ปัญหาคือมันต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล แต่สินค้าที่ขายในปัจจุบันนี้แค่พออยู่ได้ กำไรไม่ได้มากมายนัก
"ในชุมชนที่ทำอยู่เกือบๆ 100 คน ประมาณ 10 ครอบครัว สมัยก่อนมี 100 กว่าครอบครัว แต่เลิกไปหมด ผมคิดว่าต่อไปมันจะเหลือแต่ชื่อและประวัติความเป็นมาของชุมชนแห่งนี้เท่านั้น"
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งในฝันอันลอยเลื่อน?
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
06:15

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest