สัมภาษณ์พิเศษ / นิติราษฎร์ บุญโย
"ทำฉากเสี่ยงอันตราย เป็นฉากปลอดภัยที่สุด"
พันนา ฤทธิไกร
คุณเคยอยากเป็น 'ฮีโร่' ในหนังสักเรื่องที่คุณเคยชมบ้างไหม เขาคนนี้ พันนา ฤทธิไกร เดินตามฝันยาวนานร่วม 30 ปี กว่าจะได้เป็นฮีโร่ในดวงใจของ 'ฮีโร่' คนใหม่ของโลกบันเทิงอย่าง 'จา' พนม ยีรัมย์ ตามครรลองสุภาษิตคุ้นหูที่ว่า 'ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น'
'พันนา' หรือ กฤติยา ลาดพันนา วัย 40 ปลายๆ คนนี้ พยายามบอกเล่าชีวิตบนร่องหนามเตยผ่าน 'เนชั่นสุดสัปดาห์' ถึงความมุ่งมั่นต่อความฝัน อย่างอิ่มอกอิ่มใจ ราวกับว่าสิ่งที่เขาทำมาตลอดทั้งชีวิต ได้ผลิดอกออกผลให้คนทั้งประเทศและทั้งโลกได้ชมแล้ว แม้จะแลกมากับการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย บนถนนแห่งชะตากรรมอยู่เรื่อยมา
จาก 'บักหำน้อย' เมืองขอนแก่น ขี่คอพ่อจูงมือแม่ไปดูหนังกลางแปลงรถขายยา ครั้นโตขึ้นหน่อย พอถีบรถจักรยานขนาดสมวัยเด็กโตได้ ค่ำคืนไหนเวลามีงานบุญหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงที่ว่าจ้างภาพยนตร์มาสมโภช เขาไปทุกงาน เพราะนั่นเป็นการนัดพบระหว่าง 'เขา' กับ 'บรู๊ซ ลี' และต่อมาก็เป็น 'เฉินหลง'
ด้วยแรงยุจากเพื่อน เชิงว่า 'ทำดีได้ จะได้ดี' ผลักดันให้เขาท่องไปบนถนนมายา หลังร่ำเรียนจบวิทยาลัยพลศึกษามหาสารคาม โดยมุ่งไปหา 'คมน์ อรรฆเดช' เจ้าสำนักหนังบู๊ในยุคนั้นโดยทันที และก็เป็นไปตามคาด 'คมน์' รับเขาร่วมสำนัก เรียนรู้ฝึกเป็น 'คนรับตีน' หรือสตั๊นแมนให้กับนักแสดง อาทิ สรพงษ์ ชาตรี, บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์, ลิขิต เอกมงคล และ ม.ล.สุรีย์วัล สุริยง เป็นต้น
เมื่อได้วิชาความรู้พอถูๆ ไถๆ 'พันนา' หอบความฝันมาปั้นที่บ้านเกิด ใช้ทุนรอนที่เก็บหอมรอมริบ สร้าง 'เกิดมาลุย' เป็นหนังเรื่องแรก ต่อด้วย 'ซิ่งวิ่งลุย', 'ปลุกมันขึ้นมาฆ่า', 'กองทัพเถื่อน ภาค 1-3' และ 'ปีนเกลียว ภาค 1-3' เป็นต้น
หากใครถามลูกอีสานวัยทำงานรุ่นนี้ จะรู้จักหนังยี่ห้อ 'พันนา' เป็นอย่างดี เพราะหนังบู๊พันธุ์ไทยของเขา จะมีฉายผสมโรงทุกวิกหนังล้อมผ้าหรือหนังขายยาประเภทยาดม ยาลมและยาถ่ายพยาธิ โดยมากหนังที่เขาสร้างจะถูกส่งไปตามสายหนัง มากกว่าที่จะเข้าโรงภาพยนตร์ในเมืองใหญ่ แต่นั่นก็เป็นปรากฏการณ์ 'ป่าล้อมเมือง' จนในที่สุด นายทุนใหญ่ในเมืองหลวงก็เรียกใช้บริการ
'พันนา' กลายเป็นผู้กำกับคิวบู๊หนังหลายเรื่ออง ไม่ว่าจะเป็น เด็กเสเพล, อั้งยี่, อินทรีแดง, แก๊งกระแทกก๊วน เป็นต้น ซึ่งทุกครั้งเขาหอบหิวศิษย์รัก 'จา พนม' ไปทุกงาน จนในที่สุดสวรรค์ก็เข้าข้างคนไต่ฝัน เมื่อฟ้าส่ง 'ปรัชญา ปิ่นแก้ว' มาชี้ทางสู่ความสำเร็จ
จากฝันที่ปลายขอบทุ่งกุลาร้องไห้ กลายเป็นหนัง 'องค์บาก' ที่พุ่งแรงราวบั้งไฟแสนทะลุเมฆ ชื่อเสียงของเด็กเลี้ยงช้าง 'จา พนม' โด่งดังไปทั่วโลกในฐานะซูเปอร์สตาร์นักบู๊ 'ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแทน'
และกว่าจะถึง 'ต้มยำกุ้ง' รสเด็ดชามใหญ่ราคาพันล้านที่ 'เสี่ยเจียง' ตั้งเป้าไว้ ผู้ที่จะให้คำตอบสูตร 'ปั้นข้าวเหนียวติดตีน' ได้ดีที่สุด คือ 'พันนา'..เขารออยู่แล้ว!!
0 อยากให้ย้อนถึงจุดเริ่มต้นความสนใจเป็นนักแสดงคิวบู๊
ตั้งแต่เด็กๆ ดูหนังบู๊แล้วก็ชอบ และประทับใจตั้งแต่แรกๆ สมัยขี่คอพ่อไปดูหนังสมัยมิตร ชัย บัญชา ตอนนั้นมิตร ชัยบัญชา ดังมาก จะชอบตรงที่มันมีคำพูดสมัยเด็กๆ ว่า 'มิตรมือหมัด สมบัติมือปืน' คือสมบัติ เมทะนี จะชอบยิงปืนแบบเท่ๆ แต่มิตร ชัยบัญชา จะต่อยเก่ง ซึ่งผมชอบมิตรมากกว่า เขาต่อยเก่ง
ต่อมาเริ่มเป็นหนุ่ม เรียนหนังสือ ก็ดูหนังบรู๊ซ ลี อันนี้บ้าเลย บรู๊ซ ลี เก่งจริง เก่งมากกว่าที่เราเคยเห็น จะลอยเตะ ถีบ กระโดด จระเข้ฟาดหางแบบไม่เหมือนมนุษย์ เหนือมนุษย์คิดอย่างนั้น ก็เลยประทับใจ จึงเริ่มเล่นเริ่มฝึกกับเขา
พอหมดจากบรู๊ซ ลี ก็เป็นเฉินหลงอีก เราเลยฝึกตามเฉินหลง ไอ้หนุ่มหมัดเมา, ไอ้หนุ่มพันมือ แบบว่าดูเป็นร้อยๆ รอบเลย ดูสมัยก่อนไม่มีวิดีโออย่างนี้นะ ต้องไปดูตามหนังกลางแปลง ต้องขี่จักรยานไปดูบ้าง ดูหนังล้อมผ้าบ้าง ก็เป็นอย่างนี้ ดูแล้วจำท่า ดูรอบนี้จำท่านี้ ดูรอบนั้นจำท่านั้น แล้วเอามาซ้อมทีหลังบ้างอะไรอย่างนี้
0 ชอบแล้ว สนใจแล้วไปต่อเติมความฝันที่ไหน
ก็ฝึกๆ จนไปเรียนหนังสือ แล้วทำให้เพื่อนดู เพื่อนชอบ เขาบอกว่าเก่งมาก เขาบอกมีสิทธิทำได้เหมือนเฉินหลงนะ อะไรอย่างนี้ ผมเลยยิ่งบ้าใหญ่เลย ยิ่งซ้อมๆ ตีลังกาท่าเฉินหลง เฉินหลงท่าไหนเราทำตาม พอทำตามเขาบอกว่า เออ..ทำได้ แล้วที่นี้เริ่มมีพลังอีก เพื่อนบอกว่า เฮ้ย..ถ้านายทำได้ในประเทศไทยยังไม่มีใครทำได้นะ นายน่าจะเล่นหนังได้ พูดแบบยอเราให้เข้าทาง (หัวเราะ) ที่นี้เลยฝึกหนังเลย ตอนเข้าวิทยาลัยพละ (วพ.มหาสารคาม) ก็ยิ่งได้เบสิค เพราะวิทยาลัยพละมีพื้นฐานด้านศิลปะการต่อสู้เยอะ กระบี่กระบอง ดาบ ยูโด มวยไทย เทควันโด เต็มไปหมด พอเราได้เบสิคจริง สิ่งที่เราฝึกมามันก็แน่น เพราะก่อนหน้าที่จะมาเข้าวิทยาลัยพละ เราก็ฝึกมาก่อนแล้ว พอจบวิทยาลัยพละก็เลยเข้ากรุงเทพฯ
0 ใครเปิดโอกาสให้เป็นสตั๊นแมน หรือนักแสดงในช่วงเริ่มแรก
ตั้งเป้ามาที่พี่คมน์ อรรฆเดช เขาเป็นราชาหนังบู๊ คือเห็นและชอบแก ที่จริงเป็นอาฉลอง ภักดีวิจิตร ทำหนังฟอร์มยักษ์มาก แบบโกอินเตอร์ ทำกับต่างประเทศ แต่พี่คมน์ เขาจะใช้สตั๊นแมนได้ถูกวิธี แบบสไตล์ฮ่องกง เรื่องเสือภูเขา ประทับใจมาก ยุคนั้นเขาไม่เรียกสตั๊นแมน เขาเรียกตัวประกอบบู๊ ดาราร่วมบู๊ อะไรอย่างนี้ ก็มีพวกพี่เป้า (เป้า ปรปักษ์) ซึ่งโดดเด่น ฝีมือประทับใจมาก แกเก่งจริงไง ไม่ใช่สตั๊นแมน กระโดดถีบ 2 ขา อะไรอย่างนี่ ชอบ
0 ทำงานในส่วนไหนก่อนหรือเปล่า หรือเข้ามาได้เป็นนักแสดงเลย
แรกๆ เลยที่ผมเข้าไป พี่คมน์เขาเห็นผมรำมวยจีนเก่ง ตีลังกาเก่ง ให้สอน ม.ล.สุรีย์วัล สุริยง ตอนนั้นกำลังถ่ายทำหนังเรื่องเพชรตัดหยก ผมไปฝึกมวยจีนให้ เพื่อจะเล่นเรื่องพยัคฆ์ลิเก คือมีดาราจีนมาร่วมด้วย มี เดวิด เจียง ฉีเส้าเฉียง ก็ระหว่างฝึกนั้น เขาก็ถ่ายหนังเรื่อง ไอ้ผาง รฟท. ผมได้เข้าฉากครั้งแรกเลย ในชีวิตของการเป็นนักแสดง คือเข้าไปแสดงเป็นตัวประกอบในไอ้ผาง รฟท. เป็นฉากที่สู้กับม.ล.สุรีย์วัล บนรถไฟ คือพี่คมน์เขาจะไม่ให้ใครสู้แทน ก็เพราะว่าเขาต้องการให้ ม.ล.สุรีย์วัลเล่นจริงแล้วก็ไม่อันตราย จึงคัดคนที่เก่งที่สุดสู้ โดยต้องเซฟ ม.ล.สุรีย์วัลด้วย ม.ล.สุรีย์วัลก็เลยเลือกผม จึงได้สู้กัน เป็นฉากที่เฮฮามาก ดีใจมากกลับบ้านไป โอ้โฮ บอกคนทั่วบ้านเลย ว่าอย่าลืมไปดูหนังที่ผมเล่น แต่ก็เห็นแวบๆ นึง (หัวเราะ)
0 ตั้งแต่นั้นมาก็ได้รวมทีมกันเป็นกลุ่มสตั๊นแมน
อ๋อ ยังครับ ยังไม่ได้ร่วมทีมครับ ก็ทำงานตามหน้าที่ของผมไป ช่วยทำงานจัดคิวแล้วก็ฝึกซ้อม ม.ล.สุรีย์วัลบ้าง แต่ว่าสิ่งที่ผมแอบคิดอยู่ในใจกับเพื่อนก็คือว่า เราอยากจะทำหนังกันเอง แต่ก็เป็นเด็กวัยรุ่นไง แบบคิดการใหญ่มาก เลยตั้งทีมสตั๊นขึ้นที่ขอนแก่น เป็นทีมตัวเองก็เป็นพวกญาติพี่น้องบ้างเพื่อนๆ บ้าง หรือรุ่นน้องอะไรอย่างนี้ เราเอาความสามารถที่เรามีมาฝึกเขา แล้วก็ตั้งหัวหน้าทีมขึ้นมาฝึกซ้อม แล้วก็ใช้วิธีการเรียนรู้จากข่าว ที่ได้ยินมาบ้าง และช่วงนั้นได้ข่าวจากคนอื่นมาว่า เฉินหลงตั้งทีมสตั๊น ก็ดูวิธีการฝึกสตั๊น เราก็แอบทำตามเขา แต่ว่าไม่รู้วิธีจริงๆ นะ แบบผมใช้วิธีแบบวิทยาลัยพละมหาสารคาม ที่ฝึกนักกีฬา ฝึกนักเรียนนักศึกษา วิธีนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะว่ามันเกี่ยวกับด้านนี้โดยตรง แม้แต่ว่าระบบของสตั๊นภาพยนตร์ไม่รู้ ค่อยๆ เรียนรู้จากบริษัทหนังของพี่คมน์ ก็ได้ผล ก็เรียนรู้จากผู้กำกับภาพบ้าง คนเขียนบทบ้าง จากพี่คมน์บ้างอะไรบ้าง แบบแอบๆ แบบครูพักลักจำ ถ้าไม่รู้อะไรก็ถามพี่เขาเลย ก็ได้ความรู้มาก็มาสอนน้องๆ พี่ๆ ที่บ้าน ส่วนด้านกีฬา ด้านยิมนาสติก ด้านศิลปะการต่อสู้เนี่ยเขาเป็นอยู่แล้ว เพราะได้ศึกษาจริงจากวิทยาลัยพละ มาบวกกับศาสตร์ของหนังที่เข้ามาคลุกผสมกัน ซึ่งรู้จริงบ้างไม่จริงบ้าง จะเห็นว่าหนังที่ได้ทำ สังเกตจากหนังช่วงแรกๆ จะไม่ค่อยเป็นภาษาหนังเท่าไหร่ (หัวเราะ) มันรู้สึกว่ามันอย่างเดียว
0 เรียนรู้อยู่นานไหม จนคิดว่าเข้าขั้นแล้ว จึงได้ไปทำหนังเอง
ไปเป็นสตั๊น 3 ปี อยู่กับพี่คมน์ 3 ปี แล้วก็รวบรวมเงินกัน แล้วก็ทำเรื่องเกิดมาลุย
0 หนังเรื่อง 'เกิดมาลุย' ในช่วงนั้น กระแสดีมากจนมีเงินทำหนังเรื่องต่อมาใช่ไหม
ผมทำต่อ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ทุนผม มีคนที่อยู่กรุงเทพฯ เขาไปรวมทำคือลงทุนให้ พอมีลงทุนให้ก็มีบริษัทหนังอื่นมาจ้าง ผมไปเล่นไปทำ ภาพรวมเหมือนเป็นบริษัทหนังของผมนะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ เขาใช้ชื่อว่า เพชรพันนา ไม่ใช่ของผม ผมรับจ้างทำ แล้วก็รับจ้างเล่นมาเรื่อย ช่วงนั้นหนังถ่ายประมาณปีหนึ่ง ยังไม่เห็นผล พอปีที่ 2 ก็ได้ เขาเรียกว่าป่าล้อมเมือง ต่างจังหวัดจะดังมาก จ้างหนังไปดูจนแบบสายหนังเรียกร้องเข้ามาสร้างหนัง สายหนังก็จับผมไปประกบกับพี่เอก (สรพงษ์ ชาตรี) มั่ง กับบิณฑ์ (บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์) กับลิขิต (เอกมงคล) เข้ากรุงเทพฯ มารับงาน เข้ามาตัดต่อหนัง เข้ามาทำแลป ทำภาพ ทำก๊อบปี้เสร็จแล้ว ผมก็กลับไปเตรียมงาน หนังเรื่องต่อไป หนังเรื่องนี้ก็ฉายไปเสร็จแล้ว ผมไม่ชอบอยู่กรุงเทพฯ ก็เป็นอยู่อย่างนี้ แล้วก็รู้ว่าตัวเอง ยังไม่มีความรู้จริงเรื่องหนัง ผมจึงใช้เวลาหาประสบการณ์ ผิดบ้างถูกบ้าง เรียนรู้การใช้เลนส์บ้าง การซูมเป็นอย่างไร ลองถ่ายๆ ไป ลองผิดลองถูกมาเรื่อย แล้วก็ดูหนังมาเยอะ ดูหนังทุกวัน ไม่ดูไม่ได้ แล้วก็ให้เพื่อนส่งหนังสือจากธรรมศาสตร์ไปให้ เกี่ยวกับภาพยนตร์เบื้องต้น ก็มีหลายเล่มก็อ่านประกอบกัน
0 ตลาดหนังท้องถิ่นที่เข้าไปคลุกคลีมาเป็นอย่างไร
ยาก คือมันอยู่กันด้วยใจจริงๆ เพราะว่าจริงๆ มันเรื่องเงินไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันจะดีเฉพาะตัวผม อันนี้ผมรับงาน แต่ผมมองตัวเองแล้วว่ายังไม่ใช่ ไม่ใช่ที่ผมทำไง ผมทำหนังตอนนั้นไม่ใช่อย่างที่ใจคิด ก็เลยเล่นหนัง คือนายทุนให้ทำก็ทำทุนน้อยๆ ทำในกรอบเหมือนทำแพ็คขาย คือเราได้ประสบการณ์ แต่ว่าจิตวิญญาณมันไม่มี ก็เลยเล่นหนัง ตอนนั้นผมได้เรื่องละ 5-6 หมื่น เล่นสิบเรื่องได้ 6-7 แสน เก็บเงินตัวเองมาทำหนัง ผมไม่มีเงินเหลือนะ ผมเอาเงินมาทำหนังเรื่องปีนเกลียว ใช้ฟิล์มเป็นร้อยม้วน ทั้งที่เขาถ่ายใช้ฟิล์มแค่ 30 ม้วน (หัวเราะ) เพราะว่า คิดว่าตัวเองทำได้มั้ง พอมีเงินอีกก็ทำเรื่องอื่นไปอีก ทำอยู่ปีนเกลียว 1, 2, 3 เลย ที่ผมทำเอง แล้วก็กองทัพเถื่อนมั่ง คือแต่ละเรื่องขาดทุนหมด พอปีนเกลียวภาค 3 ไม่ขาดทุน แต่ภาค 2 ขาดทุน กองทัพเถื่อนก็ขาดทุน 2-3 เรื่องที่ทำเอง ควักกระเป๋าเอง ขาดทุน
0 เห็นว่าคุณพันนารู้จัก 'จา พนม' มาตั้งแต่ทำหนังเองตอนแรกๆ รู้จักกันได้อย่างไร
ตอนนั้นผมทำปีนเกลียวภาค 1 เมื่อ 14 ปีที่แล้วมั้ง ตอนนั้นจาเรียนจบ ม.3 เขาเข้ามาหาผมที่ขอนแก่น เขาเข้ามาคงเหมือนผม เพราะช่วงแรก เขาดูหนังเฉินหลง บ้าเฉินหลง เขาดูเกิดมาลุย แบบที่คุณดู เขาก็ชอบ เขาบอก ที่บ้ามากขึ้นก็เพราะว่า คือ บรู๊ซ ลี เฉินหลง ชอบมาก แต่เขาอยู่ฮ่องกงไง ไม่รู้ว่าตัวตนเขาอยู่ไหน อยู่อเมริกาก็ไม่รู้
แต่ที่เขาภูมิใจ มีมานะ มีความฝัน ก็คือ ตัวพันนาอยู่ในประเทศไทย เขาเลยเชื่อว่าเขาก็เก่ง ฝึกมาเหมือนกัน เลียนแบบมาเหมือนกัน เขาก็ทำได้ เขาเลยมาหาผม เหมือนผมไปหาพี่คมน์ แต่เขาไปหาผมที่ขอนแก่น แต่เขายังเด็กเกินไปอายุแค่ 14 ปี ก็เลยบอกให้เรียนต่อ ให้จบ ม.6 ก่อน แต่ว่าพี่จะรับไว้ แต่ให้มาเสาร์-อาทิตย์ นั่งรถจากสุรินทร์-มาขอนแก่น มาซ้อม มาอยู่ที่กองถ่ายบ้าง
แล้วพอปิดเทอม เขาจะมาอยู่กับผมตลอดเลย อยู่กับพี่ๆ สตั๊นเขา เรียนรู้กับพี่เขา ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่นะ แต่ที่ต้องรับก็เพราะเขามีความมุ่งมั่นมาก มุ่งมั่นแบบจะไม่ทำอะไรเลยถ้าไม่รับเขา รับเพื่อให้เขาเชื่อ บอกอะไรเขาก็เชื่อ เพราะเขารู้ว่าเรารักเขา แต่เสาร์-อาทิตย์เขาก็มาจริงๆ มาเรียนในกองถ่าย จนกระทั่งเขาจบ ม.6 ผมก็เลยบอกว่าให้ไปเรียนที่วิทยาลัยพละมหาสารคาม เพราะพี่เรียนที่นั่น แล้วพี่ได้ทฤษฎีจริงที่นั้น ได้ความรู้จริงว่า ศิลปะการต่อสู้เป็นไง ยิมนาสติกทำอย่างไร เขาก็เชื่ออีก มาเรียนที่นี้อีก (หัวเราะ) ก็เลยไปเรียนที่วิทยาลัยพละ ช่วงนั้นแหละ ที่วงการหนังไทยเริ่มตก ทำก็ยิ่งแย่ลง
แย่สุดคือช่วงที่เปลี่ยนค่าเงินบาท จาก 25 บาท เป็น 40 บาท ค่าน้ำยาล้างฟิล์ม ค่าทุกอย่างแพงขึ้นหมด หนังในระดับเดียวกันทำไม่ได้ ทำแบบชนิดแทบจะไม่มีเงินเหลือแล้ว อะไรแบบนี้ สายหนังก็แย่ วงการหนังแย่มาก พอดีเขาเรียนจบวิทยาลัยพละ ผมก็เลิกทำหนังพอดี (หัวเราะเบาๆ) คือแย่มากๆ เลย
0 กว่าจะเป็นโปรเจคหนังเรื่ององค์บาก เริ่มต้นคุยกับคุณปรัชญา ปิ่นแก้ว อย่างไร
ระหว่างนั้น ระหว่างที่ จา จบวิทยาลัยพละ เขามาหาผม ผมนี่หนังแทบจะหยุดทำอยู่แล้ว แต่เขากลับอยากทำหนัง อยากเล่นแล้ว จะเอาจริง จะให้ผมเป็นคนฝึกจริงนะที่นี้ เขาจะไม่เรียนต่อ จะไม่ทำ ไม่เลยเขายอม คือที่จริงต้องเรียนต่อให้จบปริญญาตรี เขาบอกว่า เขาทำทุกอย่างที่ผมบอกมาตลอด คราวนี้เขาทวงสัญญาคืน คือที่สร้างสตั๊นแมนมา เขามีความสามารถมากกว่าคนอื่น ผมก็เลยว่า ลองควักตังค์อีกครั้งหนึ่งอาจมีคนมาแทนเรา อะไรอย่างนี้ ก็เลยรับปากเขาสอน สอนแบบหนทางมืดมิด เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว ที่ตอนนั้นอยู่แกรมมี่ อยู่ดีๆ ก็โทรมาหาผม เพราะช่วงที่ผมฝึกจา ผมก็มีงานหนังอยู่กรุงเทพฯ ด้วย มีเด็กเสเพล แก๊งกระแทกก๊วน หนังต่างประเทศก็เขามา มีละคร ก็เอาจา มาด้วย จาเขาก็มาเล่นเป็นสตั๊น เล่นเรื่องไหนคนก็ชอบเรื่องนั้น
อย่างไปถ่ายละคร ระหว่างที่เซตฉาก เราก็บอก จา ตามพี่ไปนะ เราก็บอกเอาเลยนะ ถ้าว่างกลางคืนก็ซ้อมกลางคืนเลย ถ้าผมถ่ายสว่าง จาก็ต้องซ้อมสว่าง คือเป็นบ้า เขาก็ไม่ยอม กลับมาที่พักเขาก็ซ้อมของเขาอย่างนั้นแหละ ซ้อมแบบไม่เหมือนคนธรรมดา เรียกคนบ้าได้เลย
คือการซ้อมเราตั้งโจทก์ว่า ถ้าอยากเอาชนะให้ได้นะเราต้องทำทุกอย่าง ที่ เฉินหลงทำ ทำทุกอย่างที่บรู๊ซ ลี ทำได้ เพราะมันมี 2 คนนี้ที่เป็นระดับโลกเลย ต้องทำให้ได้อย่างเขา แล้วก็ทำให้เหนือกว่าเขา คือขั้นต่ำต้องทำเท่าเขา แล้วต้องมีสิ่งที่เหนือกว่าเขาเท่านั้น ถึงเราจะอยู่รอด มันก็เลยเป็นบ้าไปเลย จาก็บอกคอมเมนท์ท่านี่ท่านั่น หนังเฉินหลงใช้สลิง กับใช้สตั๊นได้แค่นี้ จาตั้ง 2 รอบ เขากระโดดลอยตัวได้แค่นี้ เราต้องสูงกว่า และทำให้ยากกว่า แล้วมันได้จริงๆ นี่เป็นสิ่งที่ทึ่งในตัวเขามาก
พอคุณปรัชญา โทรมาอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงเสนอโปรเจคหนัง แต่ไม่ใช่หนังบู๊นะ เขาก็เอ๊ะ..นึกว่าแต่จะมาคุยเรื่องหนังบู๊ คุยไปคุยมาก็บอกว่า ผมมีคนอยู่คนหนึ่ง เก่งมาก เก่งขนาดไหน เก่งเท่าพันนาไหม พี่ปรัชญาเขาถาม ผมก็บอก โอย..มันคนละยุคกันพี่ ถ้าเป็นยุคนั้นผมก็เก่งที่สุด แต่ยุคนี่ต้องยกให้เขา คือผมแก่แล้วไง (หัวเราะ) ก็ให้เครดิตเขาหน่อย เขาเก่งกว่า ผมบอกต่อไปว่า ฝีมือไม่เป็นรองเฉินหลง ดีไม่ดีอาจจะเหนือกว่า พี่ปรัชญาไม่เชื่อเลย เพราะว่าตอนนี้ไม่มีใครจะเชื่อว่า จะมีใครจะเก่งกว่าเฉินหลงใช่ไหม เขาว่าทั้งแถบนี้เฉินหลงที่สุดแล้ว ตอนที่จะกลับผมเลยบอกว่า ถ้าพันนาจะทำตั้งทำหนังแอ็คชั่นแบบไทยๆ อย่าไปทำแบบฮ่องกง แบบตุ๊กตุ๊กไทย มวยไทยอะไรอย่างนี้
ผมก็กลับมา คือจาก็นั่งรอข้างล่าง ขึ้นรถก็นั่งคุยกันมาแบบแอ็คชั่นแบบไทยๆ เราก็ทำมวยไทยมาบ้าง ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็เตะๆ เข่าๆ ไม่มีอะไร ที่นี่นึกถึง โฆษณาชิ้นหนึ่งเมื่อ 2529 หรือเปล่าไม่รู้ ของลิโพวิตันดี ท่ามวยเก่าๆต่างๆ เช่นจระเข้ฟาดหาง อะไรต่างๆ ซึ่งผมจะได้ภาพมันสวย ภาพที่เขาลอยตัวขึ้นตีศอก ภาพลอยขึ้นแทงเข่า เฮ้ย..ภาพมันสวยนะ มันไม่ใช่มวยไทยเวทีนี่ แต่มันเป็นมวยไทย เราก็เลยไปหาตำรามวยไทย ที่นี่พอมาดูตำรามวยไทยมันเยอะ เขามีรูปวาดประกอบ โอ้โฮ..ที่นี่นึกภาพจาทำแบบเฉินหลงแต่ได้มากกว่าเฉินหลง แต่เปลี่ยนเป็นท่ามวยไทย โอ้โฮ..ผมขนลุกเลย มันสวยแน่นอน ใช่แล้ว คุยกับจา ให้จาฝึกมวยไทย เป็นแบบโบราณ นั่นไง จึงเป็นที่มาขององค์บาก พอฝึกเสร็จปั๊บ แล้วก็ถ่ายเป็นฟิล์มเลยนะ แล้วก็ว่าจะเอาไปขายให้กับบริษัท แกรมมี่ อาร์.เอส. ไทเอนเตอร์เมนท์ ถ้าไม่มีใครเอาผมจะไปเสนอละครต่อ แต่เป้าหมายคือคุณปรัชญา เพราะแกมองเราก่อน พอทำเสร็จเอาไปเสนอพี่ปรัชญา โดนเลย เกิดโปรเจกเลย แก่เชื่อว่าเก่งจริง เกิดโปรเจกองค์บากครับ
0 โปรเจคหนังองค์บากใช้เวลานานเท่าไหร่
มาเตรียมงานต่อ 4-5 ปีกว่าจะได้ทำองค์บาก มาอยู่แกรมมี่แล้วก็ย้ายออกมา มาอยู่กับเสี่ยเจียง 2 ปี เป็น 4 ปี กว่าจะได้ฉายก็ 5 ปี
0 พอหนังฉายแล้วได้ร้อยกว่าล้านบาท ในตอนนั้น รู้สึกอย่างไร
พอหนังเราฉายได้ร้อยกว่าล้านที่เมืองไทย เราดีใจจนน้ำตาไหล แต่ก่อนผมไปดูหนังล้อมผ้า แค่คนเต็มหนังล้อมผ้า ผมนี่ดีใจแล้ว แต่หนังโรงไปนั่งดูทีไร ไม่มีสิทธิ์ว่าหนังเราจะได้ฉายที่นี่สักที เป็นครั้งแรกหนังเราได้ฉายในโรงใหญ่ ในชีวิตไม่เคยคิดว่าหนังจะได้ฉายแบบนี้ แล้ววันที่ฉายองค์บาก คนเต็มโรง เพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น คนยืนขึ้นเต็มโรง ผมน้ำตาไหลพรากๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ โอ้โฮ ดีใจมาก คนเต็มโรง แล้วดูหนังเรา แอบไปดูคนเดียว แอบไปเลย (หัวเราะ) คือมันการต่อสู้ของคน พลังมันยิ่งใหญ่ หนังไปทำรายได้ที่ต่างประเทศอย่างไม่น่าเชื่อ มันบ้าเกินเหตุ
0 ไปทัวร์หนังองค์บากที่ต่างประเทศที่ไปมาแล้ว เห็นภาพอะไรที่ประทับใจเรา
มันหลายภาพ ชอบภาพที่อเมริกา อื้อฮือ ..ที่สุดของตลาดหนัง และที่สร้างหนังเป็นที่ฮอลลีวู้ดใช่ไหม ได้ฉายในฮอลลีวู้ด ก็สุดยอดแล้ว ผมดูที่ลอสแองเจลิส ฝรั่งดูเต็มโรง มีเอเชียบ้าง แต่ก็มีแต่ฝรั่ง เขาตบมือกัน เป็นรอบซื้อตั๋วดู พอหนังจบปรบมือ โอ้โฮ ดีใจมาก แล้วเขาไม่รู้ว่าจามา ฉายหนังเสร็จเปิดไฟ คนถือไมค์ประกาศ จา จะมาที่นี่ ทุกคนไม่เชื่อ จาเดินไป..กรี๊ดตายเลย (หัวเราะ) คือผู้หญิงแบบว่าร้องไห้ แบบฝรั่งมันดูหนังแล้วมันคลั่งไง แล้วมาเจอตัวจริง มันเครียดมันช็อกนะ โอย..ประทับใจมาก
0 ทำไมตั้งชื่อ โทนี่ จา เห็นว่าเจ้าตัวให้สัมภาษณ์นิตยสารบางฉบับ ก็ไม่ค่อยชอบชื่อนี้เท่าไหร่
บริษัทตั้งให้ แต่ จา พนม ในประเทศไทยก็น่าจะโอเคนะ คงเป็นแบบเพื่อให้ทางสากลเรียกง่าย เพราะตอนนี้เขาก็ติดปากหมด ว่า โทนี่ โทนี่ คงอะไรง่ายๆ (หัวเราะ)
0 แล้วโปรเจคหนังต้มยำกุ้งเป็นอย่างไร เห็นวางแผนโปรโมทดี ให้ข่าวเป็นระยะ ตั้งแต่คิดเรื่องกระบวนการทำงาน จนกระทั่งจะออกฉายแล้ว
เสร็จองค์บาก ก็แน่นอนประสบความสำเร็จเยอะ เราก็ต้องมีเรื่องต่อไป ที่จริงทำหนังแอ็คชั่น เรื่องอะไรก็ได้ ชื่ออะไรก็ได้แต่บังเอิญ เห็นว่าพี่ปรัชญาเขาเลือก ต้มยำกุ้ง คนต่างประเทศเขารู้จักมาก ก็เลยเลือกชื่อนี้ ในหนังเล่าเรื่องช้าง ก็เหมาะดี จากำลังดังที่ต่างประเทศก็ดีเป็นที่รู้จัก ส่วนทำโปรเจกก็ยากตรงที่แอ็คชั่น เพราะองค์บากทำไว้ขนาดนั้น เราจะหาของใหม่ เราจะแค่ว่าเราฝีมือจาจากองค์บาก แล้วมาออกแบบใหม่ กับคู่ต่อสู้ใหม่ มันคงไม่พอ เราต้องหาของใหม่ เพราะหนังทุกวันนี้มันเร็วมาก เราต้องค้นหา การค้นหาต้องคือไปหาของที่เก่าที่สุดให้ลึกลงไปอีก
ไปเจอมวยสมัยโน้นก่อนที่จะเรียกมวยไทยอีก เขาเรียกทุ่ม-ทับ-จับ-หัก คือนักรบไทยเวลาดาบหลุดมือเขาก็ฆ่ากันเลย จับทุ่มจับหักเพื่อเอาชีวิตรอด บวกกับศอกเข่า ทุกอย่างที่เป็นมวยไทยทำได้หมด แล้วบวกกับท่าที่เป็นแม่ไม้มวยจริง ที่เรียกว่าช้างแม่ไม้ทำลายโรง คือมาจากอาการของช้างที่งวงไปเกี่ยวหักกิ่งไม้ เราแรงไปดันไม้ลงแล้วดันดีดงัดหักนะ ลักษณะมันเป็นฝืนธรรมชาติ มันเป็นเรื่องจริงนะ ไปดูในหนังแล้วจะสยอง น่ากลัว มันเป็นความชำนาญของจา กับสตั๊นรุ่นเก่าด้วยนะ เป็นรุ่นพี่คนที่สอนจาอยู่กองถ่ายแต่ก่อน เราจะคุ้นจังหวะกัน ทีมงานที่เรียนกับจา ที่มหาสารคามก็ตามมาหมด ซึ่งเขาคุ้นกันหมดเลย จังหวะนี้สำคัญมาก
ในการทำงานของเรามีคำขวัญของทีมงานสตั๊นของเราคือ ทำฉากเสี่ยงอันตรายที่สุดให้ปลอดภัยที่สุด แล้วเราถึงลงมือถ่าย เราไม่จำเป็นต้องไปวัดดวงที่กองถ่าย ถ้ามันทำไม่ได้เราก็หายวิธีอื่น เช่น หาวิธีไม่ได้เราก็ไม่ทำ เราจะปลอดภัยด้วย พวกผมเลยมักจะรอด (หัวเราะ) นักกีฬายังบาดเจ็บกว่าเราอีก กล้ามเนื้อฉีกบ้าง ข้อเท้าเคล็ดบ้าง
0 อุบัติเหตุจากการแสดง ที่เจ็บหนักสุด ขนาดไหน
แขนซ้ายหัก ตรงข้อต่อ ตกจากที่สูง หนังเรื่องปลุกขึ้นมาฆ่า อย่างขับมอเตอร์ไซค์ชนรถปิกอัพ ยังไม่เป็นไรเลย เพราะเรารู้ว่าต้องชน แต่อันนี้อันที่เราไม่รู้ ว่าจะลงอย่างไง อุบัติเหตุจะเกิดจากสิ่งที่ไม่รู้ ประสบการณ์ของการเป็นสตั๊น เราจะรู้จักคำนวณ ซึ่งบางทีก็น่ากลัวมาก เราต้องคำนวณละเอียดจนนะ ทีมงานต้องรู้จักคำนวณด้วย ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ชีวิตเราอยู่กับการแอ็คชั่นใช่ไหมล่ะ ไม่ระวังต่อยกันโดนกัน หรือจับโต๊ะฟาดกันโดนตรงข้าง (ขอบ) โต๊ะต้องระวังให้ดี พอเราป้องกันได้ เช่น เก้าอี้ที่มีล้อเลื่อนอย่างนี้ ต้องล็อกมันไว้ ไม่ให้ขยับเขยื้อน สิ่งที่มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่อันตราย แต่เราไปกลัวภาพใหญ่ๆ มันมักจะไม่เกิด เจอมาตลอด แต่เล็กๆ ลื่นแต่ถึงตายได้
0 ฉากแอ็คชั่นในหนังองค์บาก ที่ประยุกต์เพิ่มเติมในหนังต้มยำกุ้งมีบ้างไหม
มีท่ามวยไทย ซึ่งสิ่งนี้มันเป็นวิธีการเดียวกับเฉินหลงกับหนังฮ่องกง มีหมุนตัวเตะ ท่าเดียวกันหมดเลย เพียงแต่ว่า ใช้กับอุปกรณ์ใหม่ โลเกชั่นใหม่ ตัวละครใหม่วิ่งไล่เปลี่ยนอะไรๆ นิดนึง คือเราต้องเพิ่มใหม่เป็นวิธีการประยุกต์มา แต่ว่า จา ต้องฝึกหนัก เพื่อให้ได้ท่าและภาพสูงกว่าเดิม แล้วยากกว่าเดิม เช่นในฉากตลาดในองค์บาก เราให้คนไล่จาใช่ไหม ไม่ค่อยมีฝีมือเท่าไหร่ ไล่จาก็หลอกหลบหลีกอะไรอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ มีแต่แชมป์มาเลย แชมป์จักรยานเสือภูเขา แชมป์มอเตอร์ไซค์ พวกเอ็กซ์ตรีม มาไล่ล่าจา ฝรั่งก็แชมป์มวยปล้ำ เล่นหนังเรื่องทรอย นาธาน โจน คนที่มาเล่นต้องเป็นคนที่เป็นนักกีฬาจริง เป็นสตั๊นจริง อย่างสตั๊นสไปเดอร์แมนนี้ก็เก่ง ทุกคนที่เล่นจะต้องไม่ใช่สตั๊นสวม ต้องเล่นจริงให้หมด ต้องโดนจาเตะ จาก็ต้องโดนด้วย
0 ต้องใช้สลิงเข้าช่วยในส่วนไหนบ้าง
ไม่มีครับ อืมม์..มี ผมยอมรับแต่ไม่ได้มีสลิงเพื่อดึงจา มีสลิงไว้เซฟ ก็ใช้ในวิถีของการคำนวณของมัน ซึ่งคุณไม่สนใจหรอกเรื่องอย่างนี้ คุณสนใจในเรื่องของตัวละคร ถ้าไม่ใช้เลยมันก็ไม่ดี คือมันเป็นศิลปะ มันไม่ใช่สารคดี มันต้องมีฉากแต่งเติมบ้าง
0 มาถึงจุดตรงนี้ได้ ทำหนังแล้วได้ฉายไปทั่วโลก มีคนตั้งตารอคอยชมหนังที่เราทำ รู้สึกอย่างไร เคยมองย้อนกลับไปบ้างไหม
จะมองเรื่องอยากทำนะ อาจจะมีการวางการตลาด แบบผม จา พี่ปรัชญา ส่วนหนึ่งมีการตลาดช่วยคิด ส่วนการตลาดก็มีทีมนะ แต่ว่าส่วนผมกับจาและพี่ปรัชญา จะมองส่วนที่ทำแล้วมีความสุข เช่น เรื่องการจะทำดาบไทย แต่ไม่ใช่เอาคนมาวิ่งฟัดกันเป็นกองทัพ เราจะไปหาดาบเล่มนี้มันหนากี่นิ้ว ยาวเท่าไหร่ สมรรถภาพมันเป็นอย่างไร แล้วเบสิคการฟันดาบนั่นคือเข้าไปหามัน ศาสตร์การต่อสู้ของดาบไทยเป็นอย่างไร อาวุธไทยเป็นอย่างไร เอาพวกนี้มาเล่า โดยผ่านจา มันทำให้เรารู้สึกว่ามีความสุข การออกแบบท่าจะไม่ถูกปิดประตู ผมว่าต้มยำกุ้งถูกปิดด้วยองค์บากนะ ถ้าไปเจอช้างทลายโรง แต่พอเจอดาบประตูเปิดแล้ว แล้วก็ย้อนยุคด้วย โลเกชั่นจะน่าดู เซตฉากว่าเป็นยังไง
0 เปรียบเทียบกับหนังที่เคยทำมากับตอนนี้เป็นอย่างไร
เราไม่รู้จริงครับ แต่มีใจอย่างเดียว มุ่งมั่นมาก อยากทำในสิ่งที่ฝันเอาไว้ แล้วก็คงเป็นเรื่องความไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งความรู้ ทั้งเงินทุน ทั้งโอกาส มีอย่างเดียวคือใจ (หัวเราะ) แต่ก่อนมี 4-5 แสนเราก็ไปเปิดกล้องกัน ทำกันแบบคิดง่ายๆ จากความสามารถตัวเอง ถือว่าเป็นบทเรียน ผมว่าถ้าไม่มีอดีตพวกนี้ อาจจะทำให้เราไม่คือได้กว้างขนาดนี้ ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ จากการทำหนังเล็กๆ มันทำจากสิ่งดิบ เพราะว่าเราไม่มีทุน พอมาเป็นองค์บากมีโปรดักชั่นที่ดี ฉะนั้น พอเป็นต้มยำกุ้งมันเลยดิบแบบมีศิลปะ
0 เคยเปรียบเทียบศิลปะการต่อสู้มวยไทย กับมวยกังฟู วูซู หรืออื่นๆ บ้างไหม ว่ามีดีอะไรที่จะอวดสายตาชาวโลกได้
ผมชอบทุกศิลปะ แต่เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้จะสร้างตัวละครเป็นของไทย เราก็ต้องสร้างศิลปะเป็นของไทย ให้เป็นตัวโดดเด่นใช่ไหมหล่ะ บางทีผมกลับชอบกังฟู ชอบวูซู เพราะผมชอบเฉินหลง เวลาไปเรียนยูโด ผมก็ชอบยูโด ผมว่าศาสตร์ของมาเชี่ยลอาร์ต มันมีรากฐานทางจิตวิญญาณอันเดียวกัน คือรู้เลยว่าฐานของการฝึกเนี่ย การใช้พละกำลังส่วนไหน การใช้เทคติค แต่มันรากฐานที่เกิดจากธรรมชาติ เกิดจากอวัยวะของเราทั้งหมด มวยกังฟู ก็มีขา 2 ขา แขน 2 แขน มวยไทยก็เหมือนกัน มีการยอตัว ลักษณะเหมือนกัน คาราเต้ ก็เหมือนกันมันมีรากฐานเดียวกัน สุดท้ายก็เรียนเพื่อมีสมาธิ ไม่ต่อสู้ใคร ทั้งหมดที่ผมศึกษามา ไม่ไปทำร้ายใคร ไม่ตอบโต้ใคร จนถึงเสี่ยวนาทีสุดท้าย
0 กระแสหนังต้มยำกุ้งดีขนาดนี้ หวังอะไรไว้บ้างหรือยัง?
ทีมงานเขามีชีวิตที่ดีขึ้นครับ เป็นช่วงเป็นจังหวะชีวิต ที่สตั๊นแมนมีค่า ผมภูมิใจมากเพราะแต่ก่อน สตั๊นแมนไทยไร้ค่ามาก คือพยายามจะไม่ดูถูกนะ แต่เราเห็นโปรดักชั่นเก่าๆ มันน่าสงสารพวกรุ่นพี่
0 ทีมงานสตั๊นของคุณพันนาดูแลอยู่มีกี่คน
ทีมงานสตั๊นผมมี 25 คน มีใหม่อีก 8 เป็น 33 คน แล้วเวลาออกถ่ายหนังจริง เราก็รับทีมข้างนอกด้วย ที่เคยเป็นลูกศิษย์เก่าเราก็มาช่วย เพราะคนที่แตกไปจากทีมของผมก็มีบ้าง ไปประสบความสำเร็จ อย่างคุณเซง เป็นสตั๊นที่ไปทำหนังกับฝรั่ง
0 หนังเรื่องต่อไปจะเป็นการต่อสู้ลักษณะใด
กำลังเตรียมอยู่ กำลังหาข้อมูลเรื่องดาบ ฝึกฟันดาบกันอยู่ หนังเรื่องต่อไปมีคำสั่งว่าให้เร็วขึ้น เพราะว่าคนรอดูหนังไม่ไหว ต้องทำเร็วขึ้น ไม่งั้นต้องแบ่งทีมทำ อะไรอย่างนี้
0 ตอนนี้ 'เดี่ยว' ชูพงษ์ ช่างปรุง ทำอะไรอยู่
ตอนนี้ก็มีงาน เดี่ยวยังรับงานต่างประเทศเลย มีหนังเตรียมเอาไว้ติดต่อทำอยู่ เรื่องตะบันไฟ ก็ได้เดี่ยวเป็นพระเอก มีหนังจ่อรอคิวอยู่ เดี่ยวเขามีงานหนังหลายเรื่อง เฉพาะตัวเดี่ยวเอง ดูหนังในไทยจะเงียบเรื่องเกิดมาลุย แต่ต่างประเทศเขาขายดีมาก ขายเป็นล็อตกับองค์บาก ซึ่งขายได้จริงๆ ไม่ได้ขายแบบซีดีอะไรอย่างนั้น อีกอย่างเส้นทางของเดี่ยว ช่วงของการต่อสู้ ไม่หนักหนา ไม่หนักเลย เป็นคนที่ดวงดี มาในจังหวะที่องค์บากเกิดแล้ว มันก็เลยแบบทางที่เดินได้สะดวก เขาก็เป็นลูกศิษย์จา จาเขาไปสอน จาเขาไปตั้งทีมที่วิทยาลัยพละ ช่วงจาเรียนวิทยาลัยพละเนี่ย เขาจะเปิดชมรมกระบี่กระบอง เขาจะรวมทีม เพราะทีมสตั๊นในวิทยาลัย ทำไว้ออกไปโชว์แทนสถาบัน ไปฟันดาบแล้วก็โชว์คิวบู๊ด้วย ก็มีพื้นฐานไปด้วย พอมาอยู่นี้ก็ฝึกประสบการณ์แล้วก็เร็วขึ้น ก็หาตัวจะยากครับ แค่จาก็หาตัวจับยากนะ
0 คุณพันนาก็เคยเล่นหนังมาก่อนไม่คิดจะกลับมาเล่นหนังฟอร์มใหญ่บ้างหรือ?
ไม่หรอกครับ แก่แล้ว (หัวเราะ)
0 หน้าที่หลักในบริษัท บาแรมยู ทำอะไรบ้าง
ดูหนังแอ็คชั่นในบริษัท ดูภาพรวม ผมดูเฉพาะหนังแอ็คชั่น ถ้าเกิดมีโปรเจคหนังแอ็คชั่น ต้องผ่านผม ในการที่จะลงถ่ายทำได้ คือเราต้องประเมินแอ็คชั่นที่จะออกได้ก่อน ถ้าประเมินยังไม่ได้ก็คือยังไม่ทำ มีพี่ปรัชญาเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ ผมทั่วไป ทั้งดูซ้อมสตั๊นไปด้วย ดูแลนักแสดงหลัก และก็หาคนมาสานงานต่อ ดูคอมเมนท์งานแอ็คชั่น ของหนังแต่ละเรื่อง
0 ได้ข่าวว่าปั้นนักแสดงหญิงให้เก่งด้านบู๊ด้วย
กำลังฝึกอยู่ ทีมงานเตรียมงานจะทำในปีนี้ครับ ฝึกเขามาได้ 2-3 ปีแล้ว คือซุ่มฝึกมา ตอนนี้ฝีมือเริ่มเข้าขั้น เรามีบุคลากรที่จะสอนให้เยอะ มีสเตปการสอน มันน่าดูนะ ผมไปดู ไปเทสต์ดูแล้ว เอาอย่างนี้เลย ตอนนี้มองภาพรวมเลยจะมีจาและมวยไทย ซึ่งผู้หญิงกับมวยไทยยังไม่มี ดูแค่นี้ก่อนว่า ผู้หญิงกับมวยไทยจะเป็นอย่างไร แล้วมวยไทยโบราณจะชกกันอย่างไร ตอนนี้เรามีคนหนึ่ง เร็วๆ นี้น่าจะมีการแถลงข่าว อีกไม่อีกเดือนข้างหน้า มีบทมีอะไรแล้วกำลังเตรียมงาน
0 มองหนังไทยแนวบู๊ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันและไปถึงอนาคตเป็นอย่างไร
สมมติว่า ไม่มีแนวทางนี้นะ แนวทางแบบองค์บาก มันก็ต้องต่อสู้ในเรื่องของบท ถ้าเป็นโปรดักชั่นมันยากมาก กับฮอลลีวู้ดนะ ถ้าดูหนังแอ็คชั่นแต่ละเรื่อง ไม่ว่าปานกลางหรือบิ๊กๆ ก็ช่าง หรือธรรมดา ต้องมีเรื่องบท ฉาก อย่างบอนด์ อย่างนี้ ที่เขาเล่นคิดได้อย่างไร แล้วบทแอ็คชั่นเขาอีก ทุนสร้างอีก มันหนักใจ ถ้าเกิดไม่ใช่อย่างนี้นะ จะคิดอย่างไร เรื่องบทหนังแอ็คชั่นนะ มันยาก ต้องใช้วิธีคิดมากกว่าทุนสร้าง พอดีที่การที่เรามีคนเก่งเนี่ย ไม่ได้ใช้เงินไง เราใช้ทรัพยากรชีวิตคน มันเลยแบบโชคดีของประเทศไทยไป จะเอาเงินไปทำอะไรกับดาราฝรั่งจะต้องใช้ CG (Computer Graphics) ใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นต้องใช้สตั๊น และสตั๊นต้องเก่งด้วย แต่สตั๊นคนนั้นเก่งไม่เท่าจา อะไรอย่างนี้คิดว่า (หัวเราะ) แต่อาจมีคนเก่งกว่าก็ได้ แต่จับยังไม่ถูก ผมคิดว่าต้องมีคนเก่งมากมาย ส่วนเรื่องอนาคตคงไปเรื่อยๆ ผมคิดว่า ผู้กำกับฯ หนังไทย มีฝีมือเยอะมาก มีแนวคิดแปลกๆ ผมว่าวิธีคิด ผมว่าผู้กำกับฯไทยจะทำได้ ที่จริงหนังไทยก็เริ่มทยอยขายเมืองนอกเริ่มเยอะแล้ว
0 เรื่องตั้งโรงเรียนมวยไทย ทำไปได้ถึงไหนแล้ว มีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างไร
ผมมีทีมครับ อาจารย์มาประจำอยู่ที่นี่(บาแรมยู) ครูและทีมงานเขา เตรียมงานมาหลายปีเหมือนกัน เขาเป็นคนฝึกนักแสดงผม ด้านมวยไทย ด้านศิลปะการต่อสู้ และก็ฟอร์มงานด้วย เกี่ยวกับหลักสูตร ว่าอะไรที่มันเหมาะ คือเขาจะผันแปรตามทีมงานเรา ตามหนังเรา ทำอย่างไรที่จะทำให้คนรู้จักมวยไทยโบราณจา ทำอย่างไรจากจาจะเป็นตำราได้ ที่ไม่บิดเบือน และก็มีศาสตร์มวยไทยเวที มวยไทยสมัครเล่น มวยไทยโบราณคือลักษณะ ใช้ในการต่อสู้จริง เอาไว้ป้องกันตัว พอทุกคนเรียนจบปั๊บ เขาก็สามารถจะเรียนสตั้นต่อได้ เรียนแล้วไม่ต้องทำงานกับเราก็ได้ ถ้าคุณเก่ง ถ้าจบจากที่นี้ไป มีคนจองเพียบ แค่จบแค่มวยไทยก็มีคนคัดไปแล้ว บางทีอาจได้ประกาศนียบัตรจากนี้ เพราะจา เขาดังมาก ดังทั่วโลกใช่ไหม คนเรียนจบที่นี้มีสิทธิไปเปิดยิมฯที่ต่างประเทศได้ โดยใช้จา พนม การันตี
0 มีชาวต่างชาติสนใจและติดต่อเข้ามา เพื่อเรียนหลักสูตรนี้บ้างหรือยัง
มี เยอะมาก มาแบบจริงๆ นั่งเครื่องบินมา เจตนาเลย เหมือนจา จากสุรินทร์มาหาผมถึงขอนแก่น เหมือนผมจากขอนแก่นมาหาพี่คมน์ถึงกรุงเทพฯ เดี๋ยวเขาบินมาจากฮอลแลนด์อะไรอย่างนี้ เพื่อจะขอมาอยู่ในทีม อย่างเยอรมันส่งเป็นวีซีดีมาเปิดดูกัน แล้วก็เขียนโน๊ตไว้ว่าอยากมาร่วมงานด้วย ประเทศอังกฤษก็มี ฝรั่งเศสก็มี มา 4 คน แต่เราเรียกมาดูตัว แบบคัดว่าฝีมือจริงๆ มาดูยังไม่เอานะ ก็คือดูไว้ แต่ว่ามาแบบฉาบฉวยเยอะมาก คนไทยก็เยอะ นักเรียนนอกก็มี อย่างเรียนอยู่อเมริกา เขาก็มาหา คือถ้ารับเขา เขาก็ไม่เรียนต่ออะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เป็นอะไรที่ดังมากก็ดีครับ
0 ก่อนจะแสดงฉากบู๊เสี่ยงตาย จะแขวนพระเหรียญหลวงพ่อทวดด้วย
ผมก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่ว่ามันก็อุ่นใจ ระลึกถึงก่อนทำอะไร ผมไม่ได้แขวนเข้าฉาก เลิกแขวนเวลาทำงานนานแล้ว เพียงแต่ว่ามีคนเอาพระมาให้ 2-3 ครั้ง ซึ่งไม่ได้นัดหมายเลย แล้วเป็นพระหลวงปู่ทวด มันรู้สึกอุ่นใจ อย่างเวลาไปเมืองนอก จำเป็นต้องแขวน ตอนนั่งเครื่อง (หัวเราะ) เอาท่านไปด้วยดีกว่า แต่ในประเทศผมไม่ได้แขวน เพราะท่านยังอยู่ในประเทศไทย พอจะทำอะไรเราก็ระลึกถึงท่าน
0 ตั้งแต่อาชีพนักแสดงเป็นสตั๊นแมนมา การแสดงฉากครั้งไหนที่คิดว่าเสี่ยงตายหรือเฉียดตายที่สุด
ถ้าผมเล่นเองก็เกิดมาลุย ขับมอเตอร์ไซค์ชนรถปิกอัพนั่นแหละ อันนั้นเล่นเอง เราไม่มีอะไรเลย ตอนนั้นระบบเซฟยังไม่มี เอาใจวัดเลย ขับชน มีการคำนวณแต่ซ้อมไม่ได้ด้วย แต่ภาพในเกิดมาลุย 2 ที่สตั๊นตกใส่ล้อรถ อันนั้นผมไม่ได้เล่น แต่ภาพมันเสี่ยงจริงๆ แต่กระบวนการโปรดักชั่นมันทำให้เซฟ เซฟมากมันไม่ดิบนะ แต่ดูเหมือนดิบนะ เอาไว้ยังไม่บอก เดี๋ยวเอาไว้นานๆ ค่อยทำซีดีขาย (หัวเราะ)
0 ตั้งแต่หนังองค์บากออกมา จนถึงหนังต้มยำกุ้งด้วย มีคนไปหาซื้อหนังเก่าๆ ของพันนา ที่เคยทำเคยแสดงมา มีความรู้สึกอย่างไร
เขาคงอยากรู้ที่มา ผมว่าคนอยากจะดูความเชย เขาอยากเห็นผลงานเชยๆ แบบนั้น ดูหนังแบบไม่เป็นหนัง ดูเอาขำๆ แล้วจะได้รู้ถึงที่มาที่ไปของผม แล้วจะรู้ที่มาที่ไปของจาด้วย เชื่อไหม หนังแผ่นเก่าๆขายเกลี้ยง ตอนองค์บากลงขายปั๊บ ซึ่งก่อนหน้านั้นก็เคยพิมพ์หนังผมนะ หลายๆ เรื่อง ขาย 39 บาท มารอบ 2 ก็หมด รอบ 3 ก็หมด พอองค์บากออกอีก ตามน้ำอีกหมดเกลี้ยง..เขารวยเลย ใครเป็นเจ้าของ เอามาแบ่งผมมั่งนะ (หัวเราะ) เพราะผมขายไปแล้ว และไม่ใช่ของผมด้วยเป็นของคนอื่น เป็นของใครไม่รู้ บริษัทเก่าเขาขายครับ
0 ถึงจุดสุดยอดในชีวิตการเป็นนักแสดงสตั๊นแล้วหรือยัง?
ถึงแล้วครับ ถึงตั้งแต่องค์บากแล้ว ว่าเป็นจุดสุดยอดของชีวิต ก็คือได้ทำตามฝัน คือเราทำหนังแบบนี้ ทำคิวบู๊แบบสมจริงแบบนี้ แล้วมีคนเก่งแบบนี้ แล้วมีตลาดรองรับแบบนี้ มีคนดูแบบนี้ อย่างที่เห็นไปร้องไห้ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ มันคือสุดยอด แล้วก็ความเป็นอยู่ของครอบครัว ของทีมงานดีขึ้น ต่อไปคือสร้างฝัน ฝันที่มีความสุข ได้ทำหนังที่ไม่ได้คิดแค่การตลาด นึกแล้ว โอ้โฮน่าทำนะ เราอยากเอานำเสนอศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างนี้เอามาพูดให้ชาวโลกฟัง ตอนนี้ต้องใช้คำว่าชาวโลก คงไม่น่าอายเท่าไหร่ ให้ชาวโลกได้รู้จักว่าของไทยมีดีอย่างงั้นอย่างนี้
0 ถ้ากระแสต้มยำกุ้งฟีเวอร์มาก วัยรุ่นและเด็กๆ หันไปฝึกการเป็นสตั้นแมนมากยิ่งขึ้น จะมีคำแนะนำอย่างไร
มาเพราะกระแส ช่วงนี้เขามาเพราะกระแส อย่ามาเพราะอยากดัง อยากฝึกสตั๊นเพราะอยากดัง อยากเป็นสตั๊นเพราะอยากรวย เพราะเท่ เพราะอะไร ต้องมาด้วยใจรัก อย่างเหมือนจามาหาผม มาช่วงที่ผมอับจนมากที่สุด คือไม่ได้มาเพราะกระแส แต่ว่าชอบก็ทำตามกระแสได้ เรื่องมวยไทย เรื่องอะไรอย่างนี้ แต่สตั๊นเป็นเรื่องของความเสี่ยง ความเป็นความตาย ถ้าเราไม่มาด้วยใจรักแล้ว มันจะไม่ฝึกซ้อมแบบเต็มที่แบบถูกวิธี มันจะโชว์มากกว่า มันจะพลาดได้ มันจะไม่ถูก มันอันตราย มันจะไม่ถึงเป้าหมายของการเป็นสตั๊น สำหรับคนที่อยากจะลองนะ อย่างน้อยต้องมีพื้นฐาน แล้วตรวจดูร่างกายตัวเอง ว่ามีโรคประจำตัวไหม ตรวจดูว่ามันมีอะไรที่ผิดปกติจากคนธรรมดา ดูพื้นฐานมาเรากลัวที่สูงไหม เรามีเบสิคในการม้วนหน้าม้วนหลังไหม นั่นแหละครับ ผมถึงบอกมันต้องอยู่ที่ใจรัก พอใจรักมันจะเริ่มที่พื้นฐาน มันจะไม่ลัดวงจร
: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"ทำฉากเสี่ยงอันตราย เป็นฉากปลอดภัยที่สุด"
เขียนโดย
Thai Writer
ที่
05:38

ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest