: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ฟังหูไว้กี่หู เมื่อผู้นำพูด?

บทความโดย โสภณ องค์การณ์

ฟังหูไว้กี่หู เมื่อผู้นำพูด?
เป็นอันว่าประชาชนได้มอบฉันทามติให้ 'ค่ายแกงโฮะ' ได้กำหนดชะตากรรมของประเทศในระยะ 4 ปีจากนี้ไปเป็นสมัยที่ 2 ด้วยเสียงในสภาเกือบถึง 400 หวิดเป้าหมายไปไม่มาก

ขอแสดงความยินดีที่ได้รับความไว้วางใจจากชาวบ้านอย่างล้นหลาม เป็นชัยชนะแบบถล่มทลาย! ฉันทามติ หรือฉันทานุมัติของชาวบ้าน จะเป็นฐานให้ท่านผู้นำมีอำนาจต่อรองกับกลุ่มก๊วนต่างๆ ไม่ต้องคอยพะวงอย่างที่ต้องการหรือไม่ ก็ต้องให้ท่านผู้นำสาธิตให้ดู

นี่ เป็นประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ของบ้านนี้ เมืองนี้ สร้างความแปลกและมิติใหม่ที่คนกรุงและคนต่างจัดหวัดส่วนหนึ่งใจตรงกัน เลือกผู้นำพรรคเป็นสาระสำคัญ ลูกพรรคจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปคำนึงถึง

อนาคตประเทศไทยจะรุ่งเรืองหรือรุ่งริ่ง ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือการบริหารและความตั้งใจจริงในการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้ประชาชน

'ค่ายสะตอ' ก็ต้องรับบทฝ่ายค้าน แต่ด้วยเสียงน้อยกว่าเดิม ทำได้เพียงยื่นกระทู้เหมือนเสียงนกเสียงกา พอทำให้แสบๆ คันๆ ไม่ให้สภาต้องเงียบเกินไป มองทางไหนเห็นแต่ฝักถั่วชูสลอนเท่านั้น

แม้จะมีคนคาดหมายว่าถึงอย่างไร 'ค่ายแกงโฮะ' ก็ชนะแน่ๆ แต่หลายคนบรรดาคอการเมือง ก็ยังทำใจให้เชื่อได้ยากว่าจะกวาดเสียงในกรุงเทพฯ เกือบเหี้ยน เหลือ 4 เก้าอี้ให้ 'ค่ายสะตอ' พอจะไม่ให้คนเมืองหลวงลืมว่ายังมีพรรคนี้อยู่

ยังดีที่กวาดภาคใต้ได้เกือบหมดเช่นกัน พิสูจน์ให้เห็นว่าฐานของความนิยมในภาคนั้นยังแน่นปั๋ง ใครจะเจาะ นอกจากไม่ได้แล้วยังขาดทุนอีกด้วย

'ค่ายมหาชน' กลายเป็นพรรคใหม่ซึ่งเกือบแจ้งเกิดไม่ได้ หลุดเข้ามาในสภาพของพรรคต่ำ 3 ทั้งๆ ที่การเปิดตัวทำกันอย่างอลังการ ตั้งปณิธานว่าจะได้มากถึง 70 เสียง

'ค่ายแกงโฮะ' คงนอนใจได้ว่าคนเมืองหลวงไม่รับบทเป็นพวกขับไล่ เหมือนอย่างพรรคอื่นๆ ที่ได้รับความนิยมจากภาคภูธร คราวนี้แหละจะผลักดันโครงการอะไรย่อมทำได้โดยสะดวก แม้แต่การนำรัฐวิสาหกิจเช่นการไฟฟ้า ประปา เข้าตลาดหลักทรัพย์

แปลงทรัพย์สินของแผ่นดินให้เป็นใบหุ้น อย่างที่ได้เคยประกาศว่าสามารถ 'เสกกระดาษให้เป็นเงิน' นั่นแหละ!

มีเสียงเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด ใครคัดค้านในสภาฯ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีก็ไม่ได้ ก็นับว่ายิ่งกว่าเป็นพยัคฆ์ร้ายติดปีกไอพ่นเสียอีก

แล้วชาวบ้านจะทำอย่างไรกัน หากมีเสนาบดี รัฐมนตรี หรือลิ่วล้อ แสวงหาผลประโยชน์ รับเงินใต้โต๊ะ ในรูปแบบงาบหนัก งาบเนียน หรือหักคอดื้อๆ อย่างเป็นที่ฮือฮาในช่วง 4 ปีแรก?

ใครจะไปตรวจสอบ เพราะ ป.ป.ช. ก็เดี้ยง เป็นจำเลยในศาลเพราะการขึ้นเงินเดือนให้ตัวเอง องค์กรอิสระทั้งหลายก็กลายเป็นองค์กรเพื่อใครก็ไม่รู้! จะโดนดำเนินคดีเพราะขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองหรือเปล่า

สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็โดนครอบงำ มีตัวแทนพรรคการเมืองเข้าไปจัดการกว้างขวางคอ โดนโอนย้ายไปนั่งในตำแหน่งไกลปืนเที่ยง เปิดโอกาสให้นักการเมืองได้ตักตวงผลประโยชน์จากโครงการจัดซื้อ จัดจ้าง อย่างสะดวกโยธินมาหลายเดือนแล้ว

ก็ต้องให้โอกาสคณะผู้บริหารชุดใหม่จัดทีมงาน จะมีรูปร่างหน้าตาองคาพยพอย่างไร มีประเภท 'ยอดยี้' ปนอยู่อย่างโดดเด่น หรือพอเป็นกระสายยาไม่ให้โลกลืม หรือเป็นตื่นตาตื่นใจของชาวบ้าน

ความแข็งแกร่ง มั่นคง เพราะการเมืองนิ่ง ไร้แรงต้านหรือฝ่ายค้านไร้อำนาจตรวจสอบ จะเป็นผลเสียของประเทศ หรือเป็นการสร้างสภาวะการนิ่ง นำไปสู่ความเน่าเหม็นเหมือนน้ำขังในท่อหรือไม่ ก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องวัด

หากใครออกลาย ต้องการงาบหนัก งาบเนียน ชาวบ้านก็ต้องรู้วันยังค่ำ จะทำอะไรหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง ถึงอย่างไรกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ก็ต้องโวยวายฟ้องชาวบ้านอยู่แล้ว

ไหนๆ ก็ไว้วางใจให้ 'ค่ายแกงโฮะ' เป็นผู้จัดการประเทศแล้ว ก็ต้องยอมรับชะตากรรม ไม่ว่าจะดีหรือร้ายนิ! อิอิอิ!!!