: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พิสูจน์ศพระดับชาติต้องเริ่มที่อนุบาล

สุทธิชัย หยุ่น

พิสูจน์ศพระดับชาติต้องเริ่มที่อนุบาล

"เสร็จงานนี้ จะขอลาออกจากราชการ จะไม่ทำงานที่กระทบอำนาจอีกต่อไปแล้ว... เดิมหมอทำอะไรที่หมอรัก พอสังคมสนใจ ใครก็ต่อใครก็แห่กันมาแย่งทำ...ไม่เอาแล้ว"

คือคำบอกเล่าของแพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่คงเป็นตัวแทนของคนจำนวนไม่น้อย ที่เคยพานพบเรื่องทำนองนี้มาก่อนแล้ว

เธอไม่ใช่คนแรก, และจะไม่ใช่คนสุดท้ายของสังคมไทย

และเช่นเดียวกันกรณีละม้ายกันเช่นนี้ที่ผ่านมา, เธออาจจะไม่ใช่ผู้ที่ยืนอยู่ด้าน 'ฝ่ายถูกต้อง' แต่เพียงฝ่ายเดียว

หากมองจากอีกมุมหนึ่ง, ฝ่ายที่เป็นคู่กรณีก็อาจจะมีความถูกต้องในความขัดแย้งก็ได้

เอาเข้าจริงๆ ปัญหาอาจจะไม่ใช่ว่าใครถูกใครผิด หากแต่อยู่ที่ว่ากติกาของสังคมไทยนั้นไม่เคยชัดเจน, ผู้มีอำนาจไม่มีความกล้าหาญทางศีลธรรมเพียงพอ ที่จะเข้าระงับเหตุ เพื่อให้ 'ความถูกต้อง' ที่มองจากทั้งสองฝ่ายนั้น ได้รับความเป็นธรรม

คุณหมอพรทิพย์ ทำงานในฐานะมืออาชีพ ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ งานการ ระบบราชการและความต้องการทางการเมืองเอาไว้ทีหลัง เพราะความเร่งด่วนของสถานการณ์ และมาตรฐานแห่งวิชาชีพ บอกว่า หากจำเป็นจะต้องหันหลังให้กับกฎระเบียบ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการทำงาน ก็จะต้องทำ เพราะเวลาไม่รอ และแรงกดดันของภารกิจ ไม่อนุญาตให้รีรอขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

ด้านตำรวจต้องการเดินตามระเบียบแบบแผน และลึกๆ แล้วก็ต้องการจะยืนยันในอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

การแข่งเพื่อยื้อแย่งบทบาทจึงเกิดขึ้น จะโดยความตั้งใจหรือไม่ก็ตามที แต่ผลที่ออกมาสู่สาธารณชน คือ ความขัดแย้งที่ขัดหูขัดตา 'ท่านผู้ชม'

ความเห็นใจไปอยู่ข้างคุณหมอ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น

ความเข้าใจตำรวจมีน้อย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดจากความคาดหวัง เพราะไม่มีคำอธิบายขั้นตอน และกฎกติกาที่ชาวบ้านจะฟังเข้าใจและยอมรับได้

แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อความชุลมุนสงบลง ฟ้าแจ้งแล้ว ฝุ่นหายตลบในวันต่อมา ทุกอย่างจะเดินเข้าสู่เส้นทางที่ควรจะเป็นไม่ได้

เพียงแต่ว่าผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีอำนาจทางการเมืองนั่นเอง ที่ไม่บริหารความขัดแย้งอย่างที่พึงจะทำตามหน้าที่

เกรงว่าหากตัดสินไปทางใดทางหนึ่ง อาจจะเสียคะแนน หรือถ้าตัดสินไปอีกข้างหนึ่งก็อาจจะเสียบารมีกับตำรวจ

แทนที่จะแก้ปัญหาให้เกิดความชัดเจน ก็กลายเป็นการ 'ส่งกาวใจ' ไปเพียงเพื่อหวังจะไม่ให้ข่าวทางลบออกมาในสื่อมวลชนเท่านั้น

แต่ไม่ตัดสินปัญหาให้เบ็ดเสร็จชัดเจน ไม่ว่าฝ่ายใดจะพอใจหรือไม่ก็ตามที ภารกิจของผู้นำในการบริหารวิกฤติเช่นนี้ ย่อมจะอยู่ที่การทำความจะแจ้งให้ปรากฏ

มืออาชีพนั้น เมื่อตัดสินกันด้วยกติกาแล้ว ย่อมจะต้องยอมรับ, ไม่ว่าจะถูกใจตนเองหรือไม่ก็ตามที

แต่เมื่อเกิดอาการอลวนในระดับนำ ไม่ใส่ใจว่า 'สาระแห่งปัญหา' นั้น อยู่ตรงไหน ก็จึงทำให้เกิดความเสียหายขยายวง

คุณหมอพรทิพย์สะท้อนถึงความหงุดหงิดงุ่นง่านของคนดีมีความสามารถ ที่เข้าไปทำงานในระบบราชการและการเมืองมากมายก่อนหน้านี้ ที่จะต้องจบลงด้วยความท้อแท้สิ้นหวังกับบ้านเมือง

คนเก่งคนกล้ามากมายที่ถูก 'ดูด' เข้าไปในระบบ แล้วต้องเจ็บปวดรวดร้าว เพราะบรรยากาศอลเวงไร้กติกา และเพราะอำนาจการเมือง ที่บั่นทอนความรู้สึกของมืออาชีพ ในประเทศทั้งหลายทั้งปวงนี้

หมอพรทิพย์บอกว่า จะลาออกจากราชการ เพื่อไปเป็นครูสอนเด็กอนุบาล ไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัย

อาจจะเป็นเพราะจากประสบการณ์ตัวเองเห็นแล้วว่า ผู้ใหญ่บ้านเมืองวันนี้ เป็นผลผลิตของความล้มเหลว ของการปฏิรูปการศึกษาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้าอนุบาลเสียแล้ว

วันนี้ แม้จะจบปริญญาโทปริญญาเอก ได้ตำแหน่งการเมืองสูงส่ง ก็ยังไม่สามารถรับใช้สังคมได้อย่างที่พึงหวังเลย

จะสร้างชาติกันอย่างจริงจัง ต้องเริ่มที่อนุบาลกันใหม่เสียแล้ว