: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

'Here and Now' เรารู้ร้อนรู้หนาวกับสังคม

รายงานพิเศษ /มนสิกุล โอวาทเภสัชช์

'Here and Now' เรารู้ร้อนรู้หนาวกับสังคม
"ทำไมเราเอาแต่ตำหนิว่าคนอื่นเอาธรรมะไปขาย ก็ในเมื่อเราเป็นสถาบันทางวิชาการด้านพระพุทธศาสนา เราเปลี่ยนการตำหนิเป็นการลงมือทำได้ไหม เราก็เลยลุยกันตั้งแต่เทอมที่แล้ว มีการไปสัมภาษณ์คุณสิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ กับคุณปราบดา หยุ่น ถึงขนาดเตรียมถ่ายปกไว้หมดเลย"
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี พระรุ่นใหม่ที่นำธรรมะมาประยุกต์ในสื่อร่วมสมัย และอาจารย์พิเศษบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวถึงที่มาของนิตยสารพุทธศาสนา 'Here and Now' ที่ยังไม่คลอด หากแต่ว่าทีมงาน 'กัลปพฤกษ์' นั้นค่อนข้างพร้อมมานานแล้ว เพราะนักศึกษาระดับปริญญาโท และปริญญาเอกทางด้านพุทธศาสนากลุ่มนี้ แต่ละคนมาจากวงการสื่อและนักธุรกิจที่มาสนใจธรรมะจากประสบการณ์ตรงในชีวิตทั้งสิ้น

"ทุกครั้งที่เราสัมมนา เราเรียน เราสอนกัน องค์ความรู้ต่างๆ ที่รวบรวมกันมาแล้วนำเสนอกันในห้องอย่างเดียว บอกได้เลยว่าเสียดาย ถ้าเรารู้กันอยู่แค่นี้ ทำไมไม่นำมันออกไปเชื่อมโยงกับสังคม ให้สังคมได้เห็นว่า มีพระมีนิสิตกลุ่มหนึ่ง ซึ่งศึกษา เรียนรู้และเข้าใจสังคมพอสมควร เขาก็อยากเอาสิ่งที่ค้นพบไปอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ทางสังคม ด้วยมุมมองทางพุทธ ซึ่งอาตมภาพว่าเป็นกระบวนทัศน์ทางพระพุทธศาสนาเพื่อสังคม ก็ได้คุยกันในห้อง ลูกศิษย์ซึ่งผ่านโลกผ่านชีวิตทำงานมา ก็เข้าใจในสิ่งที่เราคุยกัน เอาศักยภาพที่เรามีนี้มากองรวมกัน แล้วก็คิดที่จะทำ Buddist magazine ก่อน"

ทั้งคณะครูและลูกศิษย์เมื่อคิดได้ก็เก็บไอเดียไว้ ไม่ได้ทิ้ง พระมหาวุฒิชัยเล่าต่อมาว่า พอดีปิดเทอมเสียก่อน ต่อมาลูกศิษย์หลายคนก็ยังเห็นว่าเสียดายนะถ้าเราไม่ได้ทำในสิ่งที่เราคิด เพราะเป็นโครงการที่ดีมาก เราจึงมาเริ่มต้นที่พอคเก็ตบุ๊คกันก่อน

"ตอนนั้นทางลูกศิษย์ก็ไปของานบรรยายของอาตมภาพมาทำเป็นหนังสือชื่อ 'คลื่นนอก คลื่นใน' วิธีต้อนรับมหันตภัยของชีวิต แล้วพิมพ์แจกที่ภาคใต้ เราไปแจกกันทีเป็นหมื่นเล่ม เพราะเราอยากให้เห็นว่า นิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ไม่ได้อยู่เฉย เราทั้งเรียนด้วย และทำงานเพื่อสังคมด้วย ต่อมาจึงแตกยอดออกมาเป็นหนังสือ 'ฉันเข้าใจสรรพสิ่ง เพราะฉันรัก' ที่พระมหาสมจินต์ วันจันทร์ เขียน"

นี้เป็นผลงานลำดับที่สองที่ออกมาตอกย้ำว่า นักศึกษามหาจุฬาฯ ไม่ใช่เอาแต่เรียน

"เราไม่ใช่นักวิชาการที่ขลุกอยู่แต่ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมแคบๆ เราทั้งหลาย ทั้งครูบาอาจารย์และลูกศิษย์ สนใจในประเด็นทางสังคมด้วย สิ่งที่เราทำไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทำมาตลอด เพียงแต่ว่าพออยู่ในสังคมไทย คำว่าพระพุทธศาสนากำลังจะเลือนหายไป เราจึงอยากจะนำออกมา" พระมหาวุฒิชัยอธิบาย และกล่าวต่อมา

"ทุกๆ มหาวิทยาลัยมีภาควิชาศาสนาและปรัชญา เราเรียนศาสนากันมากเลย แต่เวลาเกิดวิกฤติขึ้นกับพุทธศาสนา มีนักวิชาการกี่คนออกมาไขข้อข้องใจ อย่างกรณีธรรมกาย ก็มีแต่พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เท่านั้นที่ออกมาพูด แล้วผู้รู้ทางศาสนาในทุกมหาวิทยาลัยไปอยู่ที่ไหนหมด ไม่ได้นำองค์ความรู้เหล่านั้นมาเกื้อกูลสังคม

"อาตมากระตุ้นลูกศิษย์เสมอว่า เราต้องไปให้ถึงพระพุทธศาสนาที่แท้ ซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาที่มีชีวิตชีวาจริงๆ ไม่ใช่พระพุทธศาสนาในห้อง ไม่ใช่พระพุทธศาสนาในตำรา ไม่ใช่พุทธผสมผี แล้วก็ไม่ใช่พุทธศาสนาตามประเพณี แต่เป็นพุทธศาสนาที่รู้ร้อนรู้หนาวกับทุกขสัจของสังคม เราควรจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับการแก้ปัญหาสังคม แต่ก่อนจะแก้ปัญหาเราต้องมีองค์ความรู้ให้แม่นก่อน แล้วก้าวออกไปทำประโยชน์ให้สังคม"

นั่นจึงเป็นจุดกำเนิดของกลุ่มกัลปพฤกษ์

"เรามองกันว่า ถ้าต่างคนต่างทำ ก็ไม่มีพลัง เลยรวมกันทำเป็นกลุ่มเล็กๆ ในชื่อว่า กลุ่มกัลปพฤกษ์ เพราะมองว่ายุคนี้เป็นยุคของสื่อสารมวลชน ทุกวันนี้แทนที่จะเป็นสื่อมวลชน มันกลับเป็นสื่อมอมชน มันมอมกันไปทุกเรื่อง เด็กสมัยนี้สามารถหอบมือถือแทนตำรา ดื่มชาแทนน้ำเปล่า ทำไมสื่อทำได้"

พระมหาวุฒิชัย ตั้งคำถาม และกล่าวว่า แต่ถ้าเราตั้งป้อมตำหนิสื่อ ก็ไม่ถูก ทำไมเราไม่เปลี่ยนคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นการลงมือกระทำเลย แต่ถ้าทำกันเองอาจจะไม่มีพลัง เราจึงปรึกษาท่านอาจารย์คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยพระมหาสมจินต์ วันจันทร์ ด้วย

"ท่านไม่เพียงแต่ให้โอกาสเท่านั้น แต่ยังลงมาทำงานกับนักศึกษา อีกทั้งยังมอบงาน 'ฉันเข้าใจสรรพสิ่งเพราะฉันรัก' ชิ้นนี้ ให้กับกลุ่มกัลปพฤกษ์มาทำด้วย"

0 0 0

ศักดิ์ชัย อนันต์ตรีชัย โปรดิวเซอร์ในเครือบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ทำงานเบื้องหลังละครทีวี งานเปิดตัวเอเชี่ยนเกมส์, เปิดตัวกรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น ล่าสุดก็อยู่เบื้องหลังงานมิสยูนิเวิร์สที่เพิ่งผ่านพ้นไป กล่าวถึงที่มาของการริเริ่มนิตยสารพุทธศาสนา (Buddist magazine) ว่าคิดไว้นานแล้วที่จะทำนิตยสาร life style เกี่ยวกับธรรมะโดยตรง สามารถนำพุทธศาสนามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันให้ได้ เพราะตัวเองเคยได้ประสบการณ์ที่ดีจากการบวชพระ และฝึกวิปัสสนากรรมฐานมาก่อน

"ผมรู้สึกว่าสังสารวัฏกับนิพพานนั้น อยู่ในที่เดียวกัน เพียงแต่ว่าเราจะอยู่กับอะไรเท่านั้นเอง แล้วพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่เราต้องกลับเข้ามาศึกษาในตัวเอง ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงธรรมให้ได้ ทำอย่างไรให้คนรุ่นใหม่เสพสื่ออย่างมีสัมมาทิฐิ นำอริยมรรคมีองค์ 8 มาปฏิบัติเพื่อให้เราพึ่งพาวัตถุให้น้อยที่สุด"

สำหรับ เศรษฐพงษ์ จงสงวน สถาปนิกและคอลัมนิสต์จีนศึกษาในนิตยสาร 'ต้าเจียห่าว' กล่าวเสริมว่า เพราะการศึกษาศาสนาไม่ต่างจากการศึกษาวิถีชีวิต เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราก็จะเข้าใจโลก การทำนิตยสารก็เพื่อจุดประกายให้เรากลับมาสนใจวิธีคิดของพระพุทธองค์ที่จะช่วยให้เราเข้าใจตัวเราเองมากขึ้น

"ปัญหาสังคมต่างๆ ไปจนถึงปัญหาสงครามที่เกิดขึ้นเพราะว่า แม้แต่ตัวเองเราก็ไม่เข้าใจ พุทธศาสนาให้มุมมองที่ทำให้เราเห็นเหตุปัจจัยของปัญหาต่างๆ ที่มาจากความเห็นแก่ตัว ทิฐิ ความยึดมั่นถือมั่นในกรอบของตนเองมากเกินไป แล้วคนส่วนใหญ่ก็มักจะกลัวไปก่อนว่า ศาสนาเป็นเรื่องความลึกลับ และปิดกั้น แต่แท้จริงแล้ว ไม่ใช่เลย ศาสนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด เราจึงต้องการนำศาสนาออกมาพุดคุยกันให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง เพราะเมื่อเข้าใจศาสนาแล้ว ชีวิตจะสวยงาม และสงบเย็นมากขึ้น"

'กัลปพฤกษ์' หรือต้นไม้แห่งความหวังจึงเกิดขึ้น (ในล้อมกรอบ) ระหว่างการศึกษาวิชาสัมมนาพระพุทธศาสนา (Siminer on Buddsism) กลุ่มของนักศึกษาปริญญาโท และปริญญาเอกที่พระมหาวุฒิชัยเป็นผู้สอน และมี พระมหาสมจินต์ วันจันทร์ คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นที่ปรึกษา และสนับสนุนให้เปิดประตูสัมมนาในห้องเรียนสู่เวทีสาธารณะ พานักศึกษาออกมาถกประเด็นปัญหาสังคมนอกห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกิ๊ก เรื่องเกย์ สมควรบวชหรือไม่ และอีกสารพัดเรื่องในกระแสสังคมร้อนๆ จนทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เป็นแนวหน้าพาเพื่อนๆ ไปช่วยเหลือเพื่อนทุกข์ทางใต้ที่ถูกกระคลื่นสึนามิพลัดพรากช่วงที่ผ่านมา โดยพิมพ์หนังสือ 'คลื่นนอก คลื่นใน' ธรรมบรรยายของพระมหาวุฒิชัย นำไปแจกเป็น 10,000 เล่ม

กัลปพฤกษ์ จึงมิใช่เป็นต้นไม้แห่งความหวังในโลกพระศรีอาริย์ที่อยู่ห่างไกล แต่เป็นเมล็ดพันธุ์ใหม่ที่พร้อมจะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงภายในตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นด้วย

"เป็นต้นไม้ที่มีทุกสิ่งที่ทุกคนปรารถนา เพราะฉะนั้น พอคเก็ตบุ๊ค หรือนิตยสารที่กัลปพฤกษ์จะทำ คือเรากำลังจะส่งมอบสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ซึ่งไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นความสงบทางจิตใจ ความสุขภายใน" เศรษฐพงษ์กล่าว

เช่นเดียวกับ นันทพล โรจนโกศล เจ้าของห้างทองและเจ้าของโรงงานทำทองเทพนำชัย อีกหนึ่งในทีมกัลปพฤกษ์ ที่สนใจพุทธศาสนามาจากคุณแม่ เพราะคุณแม่นั้นศรัทธาพุทธศาสนาจนคิดจะไม่แต่งงานมาแล้ว เพียงแต่เป็นครอบครัวคนจีน เลยถูกบังคับให้แต่งงาน แล้วพ่อก็บังเอิญทำงานอยู่ใกล้ๆ แม่ ทั้งคู่ก็เลยได้แต่งงานกัน แล้วคลอดลูกออกมาเป็นหนุ่มน้อยคนนี้ที่มีเชื้อสายพุทธะเต็มเปี่ยม พอคุณพ่อเสียหลังจากที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีเพียงสามเดือน คุณแม่ก็จัดโปรแกรมให้เขาไปบวชที่วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ราว 10 กว่าวัน

'หลังจากนั้น ชีวิตผมที่เคยร้อนมากก็กลับเย็นลง" นันทพล ผู้ที่ชวนคนงานโรงงานทำทองของตัวเองมาช่วยส่งหนังสือของสำนักพิมพ์กัลปพฤกษ์ให้กระจายไปตามแผงแล้วสองเล่มกล่าว

แต่สำหรับนิตยสาร Here and now นั้น ยังคงต้องรอทุนอีกนิดก่อน เพราะอะไร

พรพิมล ก่อวงษ์ สาวน้อยนักประชาสัมพันธ์อธิบายว่า เริ่มต้น เราก็ออกทุนกันเองหุ้นละ 2,000 บาท แล้วก็นำเงินมาออกมาใช้จ่ายระหว่างการทำงาน แต่การทำนิตยสารต้องใช้เงินมาก อย่างตอนไปสัมภาษณ์คุณปราบดา หยุ่น เขาเห็นว่าน่าสนใจก็ร่วมทุนด้วย แต่จนถึงตอนนี้ทุนก็ยังไม่พอที่จะทำให้นิตยสารเกิดอย่างต่อเนื่อง เธอจึงฝากถามไถ่มายังผู้อ่านว่า ท่านใดสนใจจะซื้อหุ้น Buddist magazine ในนาม 'Here and Now' ก็สามารถทำได้ไม่ปิดกั้น

0 0 0

พระมหาวุฒิชัย กล่าวว่า นิตยสารจะเกิดขึ้น หรือยังไม่เกิดขึ้นนั้น ไม่สำคัญเท่ากับว่าแต่ละคนได้เรียนแล้วนำไปใช้กับชีวิตอย่างไร ถ้านำไปใช้จนเกิดความสงบเย็น ตัวเราก็เป็นดั่งนิตยสารฉบับหนึ่งที่ใครพบก็สามารถอ่านความสงบเย็นจากตัวเราได้ ไปที่ไหนก็พกพาความสงบเย็นไปฝากคนที่อยู่ข้างหน้าเรานั่นแหละ ถือว่าเมล็ดพันธุ์กัลปพฤกษ์ได้เกิดขึ้นแล้ว

"สำหรับตัวอาตมภาพ เวลามาสอนก็ถือว่าเป็นเวลามาเรียนจากลูกศิษย์มากกว่า พระพุทธเจ้าไม่เคยวางตัวเป็นศาสดา ท่านใช้คำเรียกพระองค์ว่ากัลยาณมิตร ไม่มีใครสอนใคร เพราะว่าเราไม่ได้รู้ทุกเรื่อง แต่เรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน" และนั่นก็ถือว่าสื่อได้เกิดขึ้นแล้ว

0 0 0

ทำไมจึงคิดชื่อนิตยสารว่า here and now?

เสียงของทีมเวิร์คกัลปพฤกษ์พูดพร้อมๆ กันว่า เพราะการปฏิบัติธรรมมันต้องเริ่มต้นที่นี่และเดี๋ยวนี้

พระมหาสมจินต์ วันจันทร์ กล่าวว่า การศึกษาในมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็นการศึกษาแบบใหม่ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเรารับภิกษุเข้าศึกษาในระดับปริญญาโทเหมือนกัน และรับคฤหัสถ์เข้ามาศึกษาเมื่อปี 2542 พอเริ่มต้นปีนั้น พฤติกรรมของพระก็เปลี่ยนไป มีความกระตือรือร้นมากขึ้น เราแยกกันเรียนระหว่างคฤหัสถ์กับพระ แต่ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งพระจะได้ประสบการณ์การทำงานของฆราวาสซึ่งแตกต่างจากการเรียนการสอนของพระ อาตมาเองก็ปรับตัวเหมือนกัน

"มาถึงจุดนี้ Buddist magazine จะเป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น อาตมภาพคิดว่า ถ้าจะเกิดขึ้น ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งเป็นของครูบาอาจารย์ภายใน ส่วนที่สองเป็นของนิสิต ส่วนที่สามเป็นเรื่องของผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก แล้วทีมงานต้องไปทำงานบริหารจัดการให้มาก เป็นตัวกลางในการรวบรวมบทความ ข้อเขียนของนิสิตแต่ละรุ่น แต่ว่าอย่าเอาพวกเดียวกันมาเขียน เดี๋ยวจะถูกมองว่าเป็นระบบครอบครัว"

ทำอย่างไรจึงจะให้ Here and now เชื่อมโยงกับสังคมจริงๆ พระมหาสมจินต์ กล่าว่า เราต้องทำอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับ the show much go on...

"ทำอย่างไร Buddist magazine จึงจะไม่ให้มีภาพลักษณ์เหมือนกับวารสารเกี่ยวกับพุทธศาสนาในปัจจุบันที่วางอยู่ตามแผงที่เป็นลักษณะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อย่าให้เป็นภาพลักษณ์ เช่นเดียวกับวารสารของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเนื้อหาดีก็จริง แต่ผลตอบรับน้อยมาก ทีมงานต้องดูให้ดี ออกมาให้ดูโมเดิร์นจริงๆ อย่าให้เป็นภาพเก่าๆ"

และสุดท้ายพระมหาสมจินต์ เสนอแนวทางไว้ว่า Buddist magazine จะต้องฉีกแนวออกไป แล้วจะต้องฉีกให้ไกลด้วยนะ ไม่งั้นจะติดเชื้อของเก่า

"สำหรับต้นกัลปพฤกษ์นี้ จะทำอย่างไรจึงจะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนรุ่นใหม่ได้รู้ว่า ต้นกัลปพฤกษ์ต้นนี้นั้น เมื่อสัตว์โลกเข้ามาอาศัยร่วมเงา คนที่ประสงค์จะได้ความเย็นก็ได้ความเย็น คนที่ประสงค์จะได้อากาศสดใส ได้ออกซิเจน ก็จะได้ออกซิเจนกลับไป"

(ล้อมกรอบ)

ใต้ภาพ

ID3853680

ID3853681

ทีมเวิร์ค 'กัลปพฤกษ์' ผู้ก่อการดี

ID3853677

สิริพิชญ์ เตชะไกรศรี นายทุนกัลปพฤกษ์

ID3853679

พอคเก็ตบุ๊คเล่มที่สองของสำนักพิมพ์ กับนันทพล โรจนโกศล หนึ่งในทีมกัลปพฤกษ์

ประเด็น

เมล็ดพันธุ์ กัลปพฤกษ์

เนื้อเรื่อง

เมื่อเอ่ยถึง 'กัลปพฤกษ์' ทีมเวิร์คก็หันหน้าไปที่ เนตรนภา แก้วแสงธรรม บรรณาธิการบริหาร เวิร์คพอยท์สำนักพิมพ์ กล่าวนำ

"เริ่มต้นจากที่เราหลากหลายอาชีพ เรามาเรียนธรรมะที่นี่ ธรรมะจัดสรรให้เรามาเจอเพื่อนๆ ตอนแรกเรายังไม่ได้มองถึงการเผยแพร่โดยรูปแบบของหนังสือ แต่เมื่อเรารู้ว่าเป็นของดี เราก็อยากเผยแพร่ธรรมะให้เข้าไปถึงจิตใจจะทำอย่างไร พอดีเรามีพระอาจารย์ที่เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะ เราก็ปรึกษาท่าน แล้วก็มีพี่ สิริพิชญ์ เตชะไกรศรี เป็นนายทุนใหญ่"

สิริพิชญ์ พี่ใหญ่ของกลุ่มกัลปพฤกษ์ เป็นรองประธานกรรมการ บริษัท กัลปพฤกษ์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้รับเหมาจัดสรรที่ดิน ขายบ้านจัดสรร ขายวัสดุการก่อสร้างครบวงจร ผู้เคยประสบกับความทุกข์ในการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนเคยติดลบกว่า 200 ล้านบาทเมื่อครั้งตลาดหุ้นล้ม ฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 กล่าวว่า ก่อนที่จะมาเรียนพุทธศาสนา และเป็นผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์กัลปพฤกษ์นี้ จริงๆ แล้วไม่ได้รู้จักศาสนาอะไรมาก แต่เพราะความทุกข์นี่เองทำให้เห็นธรรมจริงๆ

"สมัยก่อนตั้งชื่อหมู่บ้าน ก็จะมีแต่คำว่าเพิ่มสุข สุขถาวร ฯลฯ แต่ความสุขจริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่ชื่อ พอช่วงที่ธุรกิจเรากดดัน เราต้องขอบคุณที่เราได้มีโอกาสอยู่ตรงนั้นด้วย คือเราก็เจ๊งไปกับเขาด้วย หลบหนี้ตลอด สั่งยามที่บ้านว่า ใครมาถามให้บอกว่าไม่อยู่ ทุกกลวิธีในการหลบหนี้ถูกนำมาใช้หมด

"แต่พอถึงจุดหนึ่ง เราจึงพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ตอนปลดพนักงาน มีลูกน้องคนหนึ่งพูดดีมาก เขาบอกว่า เขาไปเขายังห่วงเรา เพราะเขาไปเขาก็ไปตั้งหลักที่ศูนย์ แต่เราเหนื่อยกว่าเขา เพราะเวลาเราล้ม เราติดลบ ตอนนั้นก็เครียดมาก แต่มหาจุฬาฯ สอนเราใหม่หมด

"เราต้องขอบคุณความทุกข์ ที่ทำให้เรารู้จักการปล่อย ทุกอย่างมีเหตุที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไปทุกอย่าง ธุรกิจก็เช่นกัน เคยรุ่งโรจน์ที่สุด ก็ตกลงอย่างที่สุดเหมือนกัน ธุรกิจสอนชีวิตเรา ให้เราหยุดเป็น เวลาล้มเป็นอย่างนี้ ชีวิตไม่ใช่ประกอบไปแค่ความเก่ง ความรวย ไม่ใช่"

ตอนนี้เธอจึงหันกลับมาทำงานเพื่อสังคมมากขึ้น

"พอมาเรียนธรรมะ เราพบความนิ่ง เมื่อก่อนเราดิ้น เรายิ่งร้อน แต่พอเรานิ่ง เรากลับเห็นทุกอย่างที่มันวิ่งวนอยู่รอบๆ ตัวเรา แต่เราไม่วิ่งไปด้วย พอดีนึกได้ว่าบริษัทที่เราทำชื่อ กัลปพฤกษ์ เป็นชื่อต้นไม้ของพระศรีอาริย์ เป็นต้นไม้แห่งความหวัง เมื่อก่อนเราหวัง เดี๋ยวนี้เราไม่ต้องหวังไกล ทำชีวิตทุกวันนี้ ให้เป็นความสงบเย็นโดยการรดน้ำต้นไม้ในใจเราให้เย็นเช่นเดียวกับต้นกัลพฤกษ์ซะเลย ไม่ต้องรอ"

ดังเช่นพระมหาวุฒิชัยที่ช่วยสรุปว่า องคมนตรีท่านหนึ่งพูดว่า ตอนนี้คนไทยนับถืออยู่สามพระคือ พระพุทธ พระธรรม และพระเครื่อง พระสงฆ์หายไป ถ้าเราไม่รู้ร้อนรู้หนาวการทำบทบาททางสังคม ต่อไปพระสงฆ์จะเหมือนเจดีย์กลางสี่แยกที่อยุธยา เมื่อ 100 ปีที่แล้วสำคัญมาก แต่เดี๋ยวนี้เป็นได้แค่ที่กลับรถยนต์ เราจะทำอย่างไรที่จะนำธรรมะกลับมาให้เบ่งบานอยู่ในใจเราให้ได้ นั่นคือหัวใจของกัลปพฤกษ์