: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

3 ทศวรรษ ไทย-จีน จีนไม่ทิ้งคนเชื้อสายจีน

รายงานพิเศษ/สิริวิชญ์

3 ทศวรรษ ไทย-จีน จีนไม่ทิ้งคนเชื้อสายจีน
ในโอกาสครบรอบ 3 ทศวรรษสัมพันธภาพไทย-จีน ซึ่งมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2518 โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทย เดินทางไปเยือนประเทศจีน และลงนามร่วมกับ โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน
โครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน และหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จึงได้จัดสัมมนาทางวิชาการเรื่อง 'เส้นทางความสัมพันธ์ไทย-จีน : วันนี้และอนาคต' โดยมีนักวิชาการและผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแสดงความคิดเห็นในแง่มุมต่างๆ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ซึ่งที่ผ่านมาความสัมพันธ์ด้านต่างๆ เหล่านี้มีความก้าวหน้าไปมาก

แต่ด้วยความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีน ทำให้เรื่องการทำธุรกิจในจีนเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนไม่น้อย

โจว ฮอร์น กรรมการบริหาร บริษัทยุทธศาสตร์ 613 จำกัด ได้รับโจทย์ให้พูดถึง 'ความสัมพันธ์ไทย-จีน มุมมองของผู้บริหารรุ่นใหม่' จึงได้เสนอภาพประเทศจีนอีก 5-10 ปีข้างหน้าในประเด็นต่างๆ ที่เขาออกตัวว่า แม้ปัจจุบันภาพเหล่านี้ยังไม่ชัดเจนว่าสำคัญเท่าไหร่ แต่ในอนาคตจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกมี 6 ประเด็น ดังนี้ 1) มุมมองเศรษฐกิจ 2) สังคม 3) ระบบการเงิน ซึ่งเป็นตัวทำให้เศรษฐกิจเดินได้มากขึ้น 4) สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทั้งปัญหาและโอกาสที่ใหญ่มากของจีน 5) ความสำคัญของรัฐในระบบเศรษฐกิจ 6) ความสัมพันธ์ไทย-จีน

ส่วนที่ 2 เป็นเซกเตอร์ต่างๆ ที่นักธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญ ในการประสานและทำงาน เพราะจะมีอนาคตที่ดีใน 5-10 ปีข้างหน้า

โจว ฮอร์น กล่าวว่า ในอนาคตจีนจะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเป็นประเทศที่ใครๆ ต้องคิดถึง เพราะจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในวันนี้และอนาคต ดังนั้น จึงต้องเข้าใจโจทย์ของประเทศจีน

ด้านเศรษฐกิจ ช่วง 25 ปีที่ผ่านมาจีนมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ย 8-9% ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจอยู่ที่ 7% แต่ต่อไปนี้โจทย์จะยากขึ้น รัฐบาลจีนไม่สามารถทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะบางเมืองมีปัญหาไฟฟ้า หรือน้ำมันไม่เพียงพอ ยุทธศาสตร์ทำให้จีดีพีเติบโตจึงใช้ไม่ได้แล้ว แต่ถ้าต่ำไปเศรษฐกิจก็จะสะดุด ดังนั้นผู้นำจีนมีโจทย์คือ ต้องให้จีดีพีอยู่ที่ 7-10% และว่าต่อไปจะเป็นประเทศที่ซื้อสินค้าบริการ เพราะมีอัตราการออมสูงมาก โดยอัตราการบริโภคต่อจีดีพีคือ 46-47% อยู่ในเกณฑ์ต่ำที่สุดในโลก ตอนนี้ญี่ปุ่นอยู่ที่ 57% เกาหลี 54% และสหรัฐอเมริกา 71% ขอเพียงเพิ่มให้อยู่ในเกณฑ์สากลก็มีจำนวนมหาศาล ซึ่งเขาเชื่อว่า รัฐบาลจีนอยากให้คนในประเทศใช้เงินมากขึ้น

เรื่องเศรษฐกิจ จีนเน้นให้พัฒนาด้านตะวันตกที่ติดกับทะเล ซึ่งมี 2 เขตพิเศษ โดยจุดเด่นของจีนคือ industry cluster พัฒนาไปมาก ทำให้เน็ตเวิร์คการซื้อวัตถุดิบดีขึ้น

"เราควรมองไปทางตะวันตกของจีนด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่มากรัฐบาลกำลังผลักดันซึ่งในอนาคต 10 ปีจะเห็นผล เช่น เมืองฉงชิ่ง...ปัจจุบันแรงผลักดันเศรษฐกิจคือค่าแรงต่ำ อีก 10-20 ปีข้างหน้าก็ยังเป็นปัจจัยนี้อยู่ เพราะมีแรงงาน 500 ล้านคนที่ยังอยากหางานทำ ก่อนหน้านี้ปัญหาหลักๆ ของจีน ไม่ว่าคนตกงาน เอ็นพีแอล รัฐแก้ปัญหาได้ โดยอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะคนตกงานสามารถไปหางานใหม่กับพวกเอสเอ็มอี บริษัทเอกชน"

การแก้ปัญหาด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างเดียวใช้ไม่ได้แล้ว เพราะขาดแคลนวัตถุดิบ จึงต้องใช้แรงงานต่ำ (ไม่ใช่แรงงานระดับต่ำ) หมายความว่า คนที่เรียนจบระดับปริญญาตรี-โท และเอก ได้ค่าแรงที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น จีนต้องใช้วิธีผลิตมากขึ้น และปรับคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น

"การที่จีนเติบโตในอัตราสูงกว่าโลก ทำให้เทอมในการค้าของจีนแย่ลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ปรับประสิทธิภาพ (efficiency) เขาเอง เพราะผลิตและส่งออกได้เร็วกว่าความสามารถที่โลกรับได้ ทำให้ราคาถูกลงเรื่อยๆ วิธีเดียวที่จีนแก้ปัญหานี้ได้ ต้องปรับนวัตกรรม (innovation) และประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นประเด็นสำคัญในอนาคต จีดีพีจีนตอนนี้ 9% จะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว หากมากกว่านี้ ก็จะไม่มีไฟฟ้า-เหล็ก หรือน้ำมันใช้" และว่า

ด้านสังคม ผลกระทบของการปฏิวัติวัฒนธรรมค่อยๆ ทยอยออกมา ตอนนี้ประชากรจีนซึ่งเป็นผลจากนโยบาย 'ลูกคนเดียว' เริ่มทยอยเข้าทำงาน ล็อตแรกอายุเฉลี่ย 28 ปี เริ่มจะมีความรับผิดชอบมากขึ้น ยังยากที่จะประเมินว่าเมื่อคนกลุ่มนี้อายุ 40 ปี จะส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างไร รวมทั้งเรื่องสาธารณสุข ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงปรับระบบอยู่ จีนมีประชากร 350 ล้านคนที่สูบบุหรี่ และ 500 ล้านคนที่ไม่แปรงฟัน

ปัญหาต่อไปคือการตกงาน ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นเพราะการปรับปรุงรัฐวิสาหกิจ ต้องใช้เวลาอีก 5-10 ปีในการปรับตัว หลังจากนั้นปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขได้ยากขึ้น ทุกวันนี้มีคนตกงาน 10-20 ล้านคน แต่มีบริษัทเอกชนมารองรับไว้ ข้อดีอีกอย่างของคนจีนคือกล้าเดินทาง ไปอยู่พื้นที่อื่นที่มีงานให้ทำ นี่คือสาเหตุที่รัฐบาลสนับสนุนเอสเอ็มอี เพราะเห็นว่าเป็นทางออกในการแก้ปัญหาเรื่องคนตกงาน

ส่วนความแตกต่างระหว่างคนจน-รวย ตอนนี้มีสูงมาก แต่เพราะจีนเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ การช่วยคนไม่มีโอกาสจึงเป็นเรื่องสำคัญของพรรค

ในส่วนของ ระบบการเงิน ปัจจุบันยังปิดอยู่ แม้ว่าจะเพิ่งปรับค่าเงินหยวน และว่าปัจจุบันเศรษฐกิจ 60-70% ของระบบธนาคาร ถูกคุมโดยธนาคาร 4 แห่งของรัฐ ซึ่งมีสินทรัพย์ใหญ่เป็น 4 เท่าของจีดีพี ธนาคารต่างชาติยังไม่ค่อยมีบทบาท แต่ต่อไประบบการเงินจะปล่อยเสรีมากขึ้น ตามเงื่อนไขขององค์การการค้าโลก ( WTO)

สุดท้ายคือเรื่องของ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มี 25-45% แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผู้บริหาร เป็นเรื่องที่แก้ไขได้ไม่ยาก เพราะเอ็นพีแอลมาจากรัฐวิสาหกิจ แบงก์เป็นของรัฐ บริษัทก็เป็นของรัฐ จึงเป็นเหมือนกระเป๋าซ้ายกับกระเป๋าขวา

"เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วประเทศจีนแทบจะไม่มีแบงก์เลย หรือจะหานายแบงก์ที่มีประสบการณ์ 30 ปี แทบไม่มี ดังนั้น การจะอบรมนายธนาคารคนรุ่นใหม่ที่สามารถปล่อยกู้ตามมาตรฐานสากลเป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความมั่นคงของระบบการเงินของจีน..."

ด้าน สิ่งแวดล้อม จีนเป็นประเทศที่มีทรัพยากรน้อยมาก ตัวอย่างเช่น มีน้ำใช้ต่อประชากร น้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของโลกถึง 1/4 มีทะเลทรายมากกว่าพื้นที่เพาะปลูก 2 เท่า และพื้นที่ทะเลทรายยังเพิ่มขึ้นปีละ 3,000 ตารางกิโลเมตร เมื่อเทียบกับสมัยก่อนคือ 1,500 ตารางกิโลเมตรต่อปี จึงเป็นประเทศที่ทรัพยากรน้อย แต่ใช้ฟุ่มเฟือยมาก ดังจะเห็นว่าประเทศจีนคิดเป็น 4% ของจีดีพีโลก แต่ใช้ปูนซีเมนต์ 55% ใช้ถ่านหินคิดเป็น 1/3 และเหล็ก 1/4...

ค่าใช้จ่ายด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม คิดเป็น 8-15% ของจีดีพี อย่างไรก็ตามรัฐบาลจีนมีนโยบายและความตั้งใจแก้ปัญหา ซึ่งทำได้ 3 วิธีคือ สร้างเขื่อน ให้ความรู้แก่คน และใช้ราคาเป็นตัวควบคุม ทำให้คนใช้มากขึ้นหรือน้อยลง

เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เป็นพวกวิศวกร เวลามีปัญหาอะไรก็สร้างขึ้นมาแก้ปัญหา ในอนาคตจะมี การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นโอกาสใหญ่อันหนึ่งของนักธุรกิจ

ความสัมพันธ์ของรัฐในระบบเศรษฐกิจ ปัจจุบันรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของประเทศ บริษัทใหญ่ที่สุดเป็นรัฐวิสาหกิจ รัฐสามารถสั่งธนาคารให้ปล่อยกู้บริษัทหรือเซกเตอร์ที่เขาอยากให้ แต่อีก 5-10 ปีข้างหน้า บริษัทเอกชนจะมีบทบาทมากขึ้น

การที่รัฐจะสั่งให้ธนาคารปล่อยกู้เซกเตอร์ใดเซกเตอร์หนึ่ง จะทำไม่ได้เพราะเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูง จะเป็นตัวกันโปรเจกต์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว รัฐไม่สามารถไปดึงหรือผลักเศรษฐกิจไปทางที่เขาต้องการได้มากเท่าในปัจจุบัน เพราะ ณ ปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำ

ประเด็นต่อมา ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน

ปี 2548 นี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 30 ปี อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังๆ ความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่าง 2 ประเทศนี้เข้มแข็งขึ้น ซึ่งโจว ฮอร์น เชื่อว่าแนวโน้มคงไม่เปลี่ยนไปในทิศทางอื่น เพราะประเทศจีนมี hot-spots ไม่กี่เรื่อง ซึ่งไทยคงไม่ไปแตะ เช่น ฝ่าหลุนกง ไต้หวัน ทิเบต ปัญหาเกาะต่างๆ ที่จีนทะเลาะกับญี่ปุ่น

"ผมไม่เชื่อว่าไทยจะเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องพวกนี้ และไม่น่าจะมีอะไรมาขัดขวางความสัมพันธ์ นอกจากนี้ ประเทศไทยสร้างสภาพให้คนจีนโพ้นทะเลให้แฟร์ที่สุด นี่เป็นนโยบายที่ผู้นำของจีนมองออก จีนถือว่าต้องรับผิดชอบต่อคนเชื้อสายจีน แม้ว่าไม่ได้เป็นชาติจีนก็ตาม ตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าจะทำให้ไทยได้เปรียบชาติอื่น ณ วันนี้ ตัวเลขการค้าดีมากคือ 1 หมื่น 7 พันล้านเหรียญต่อปี...จีนจะเข้ามาซื้อและลงทุนในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ด้านการท่องเที่ยว ไทย-จีนแลก 1 ล้านคนต่อปี จีนมาไทย 7.5 แสนคน ไทยไปจีน 2.5 แสนคน ถือเป็นอันดับต้นๆ ของจีน"

นอกจากนี้นโยบาย 'อาเซียน +1' จะมีผลปี 2010 ณ ซึ่งตอนนั้นไทยจะมี 2 บทบาทคือ ต้องสามารถรับโจทย์ว่าเป็นประตูเข้าอาเซียนของประเทศจีน อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าปัจจุบันเราชนกับจีนด้านสินค้าส่งออกหลายตัว จึงต้องหาส่วนเสริมทางด้านนี้ เพื่อติดต่อกับจีน แม้การเมืองเราไม่มีการขัดกัน แต่ถ้าไม่แก้สภาพอุตสาหกรรมของเราให้เข้ากับอุตสาหกรรมจีนได้ดีขึ้น เราจะไปชนกับจีนหลายเรื่อง และอาจทำให้เกิดปัญหาการค้ามากกว่า

ในตอนท้าย โจว ฮอร์น ได้กล่าวถึงภาคที่น่าลงทุนในอนาคตว่ามี 6 ภาคที่น่าสนใจ คือ 1) อุตสาหกรรม ที่จะป้อนเศรษฐกิจจีนให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เช่น ไฟฟ้า, พลังงาน, ลอจิสติกส์, คอมโมดิตี้ 2) เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์การก่อสร้าง เพราะการที่คนต่างจังหวัดเข้ามาอยู่ในเมืองปีละ 26 ล้านคน ไม่ว่าเมืองเล็กหรือใหญ่เขาต้องการสินค้าเหล่านี้ 3) การขายของให้เด็กรุ่นใหม่ของจีน 4) ธุรกิจยา ประกันภัย โรงพยาบาล เนื่องจากอายุเฉลี่ยของคนจีนจะเพิ่มขึ้นจาก 45 ปีเป็น 55 ปีภายใน 20 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็มีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น จากการสูบบุหรี่

5) ธุรกิจการขายปลีก การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมยานยนต์ ปัจจุบันชนชั้นกลางของจีนมีประมาณ 250 ล้านคน ซึ่งต้องการแหล่งซื้อของ เช่น โลตัส ตอนนี้ไปเปิดที่เมืองจีน การท่องเที่ยว อุตสาหกรรมรถยนต์ 6) ภาคสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น เอทานอล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญของจีน เพราะเป็นการแก้ปัญหาของคนปลูกอ้อยด้วย กล่าวคือ ถ้าน้ำตาลราคาสูง ก็แปรรูปเป็นน้ำตาล แต่ถ้าราคาตกก็ผลิตเป็นเอทานอล รวมทั้งการรักษาสภาพของน้ำและอากาศ (Air / Water Treatment)

ทั้งหมดนี้คือมุมมองของนักธุรกิจหนุ่ม ที่ปรึกษาบิ๊กบอสธนาคารกสิกรไทย 'บัณฑูร ล่ำซำ' ด้านธุรกิจในประเทศจีน รวมทั้งเปิดบริษัทให้คำปรึกษาด้านธุรกิจสำหรับนักธุรกิจที่จะไปลงทุนในประเทศจีน

(ล้อมกรอบ)

ประเด็น

'มังกร' ผงาดขึ้นอย่างสันติ

เนื้อเรื่อง

สันติ ตั้งรพีพากร ผู้อำนวยการสำนักงานเรื่องจีน บริษัทไทยเดย์ ดอทคอม จำกัด และคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ กล่าวถึงจีนในการ 'รู้เขา รู้เรา รู้จริง และรู้เท่าทัน' ว่าจีนมีประชากร 1,300 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรโลก คนจีนมีประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน 5,000 ปี จุดเด่นของเขาซึ่งเป็นจุดอ่อนด้วย คือความเก่าแก่และต่อเนื่องของอารยธรรม ทำให้จีนผูกพันในความเป็นจีน ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นจีน

ในระบบความคิดชี้นำเป็นศักดินามาถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่คือ ซุนยัดเซน แต่คนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งดูเหมือนเจือจางลง แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะตอนนี้เข้าสู่กระแสความมั่นคง จึงไม่ต้องแสดงออกว่าต่างจากโลก แต่ทำให้โลกเห็นว่าจีนกับโลกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ปฏิบัติการของจีนทุกวันนี้กำลังทำให้เข้ากับกระแสของโลก แต่ตัวแปรภายในของจีน ปัจจัยจีน (China Factor) ไม่เหมือนทุนนิยม แม้ว่าจะใช้ระบบเศรษฐกิจตลาด แต่หัวใจไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันเป็นเพียงเครื่องมือพาเขาข้ามไปสู่ความเป็นสังคมนิยม ที่มีพื้นฐานทางระบบเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและว่า

ปัจจุบันจีดีพีของจีนคิดเป็น 1/8 ของสหรัฐอเมริกา แต่การเผาผลาญเชื้อเพลิงการใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกัน ถ้าจีนพัฒนาไปถึงครึ่งของสหรัฐ โลกก็คงสนับสนุนไม่ไหว เพราะแทนที่จะสร้างความเจริญกลับนำหายนะมาสู่โลกได้ นักวิชาการฝ่ายสหรัฐเคยตั้งปุจฉาว่า จีนจะเอาอะไรมาเลี้ยงตัวเอง เมื่อมีประชากรมากขนาดนี้ ต่อไปจีนต้องเป็นภัยคุกคามโลกแน่นอน นี่เป็นต้นตอทฤษฎีภัยคุกคามจากจีน ซึ่งจีนเดือนร้อนมากและหันมาสำรวจตนเอง จนได้ข้อสรุปว่าการพัฒนาที่ผ่านมาถูกต้องที่จีดีพีเพิ่ม แต่คุณภาพของการขยายตัวแย่มาก เพราะมีความสิ้นเปลืองด้านต่างๆ มากไป ไม่วาจะเป็นสิ่งแวดล้อม เชื้อเพลิง และวัตถุดิบ...

สันติกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของจีนมีต่อโลกมากมาย ถ้าเทียบกับอินเดีย ซึ่งมีขนาดประชากรใกล้เคียงกัน และภายใน 50 ปีข้างหน้าจะมีประชากรมากกว่าด้วย

"ผมคิดว่าการพัฒนาของอินเดียมีผลต่อโลกบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ลักษณะเดียวกับจีน เพราะจีนมีแนวคิดที่แก้ปัญหาของมนุษยชาติ ด้วยการเริ่มที่ตัวเอง พัฒนาตัวเองให้เจริญ ที่ผ่านมาลัทธิคอมมิวนิสต์ยกการปฏิวัติโลกเป็นตัวตั้ง ในที่สุดได้ข้อสรุปว่าการปฏิวัติโลกจริงๆ ต้องปฏิวัติตัวเองด้วยการปฏิรูป เพื่อให้จีนพัฒนาตัวเองได้เร็วขึ้น ดีขึ้น สะดวกขึ้น ดังนั้น องค์กร ระบบ โครงสร้าง ที่ไม่เอื้อต่อการพัฒนา จึงมีการปฏิรูปตลอดเวลา ซึ่งต่างจากอินเดียๆ เป็นสังคมนิยม แต่ไม่เป็นระบบนัก ยังเป็นสังคมที่แตกแยก มีภาษาหลักๆ หลายสิบภาษา รวมทั้งจะทำอะไรก็ติดที่ขั้นตอนระบบราชการ"

ดังนั้น การจะเข้าใจจีนต้องเข้าใจวิธีคิด รวมทั้งว่าความคิดกำลังเสนออะไร เช่น ความคิดด้านการพัฒนาประเทศเปลี่ยนไปแล้ว

ในช่วงปฏิวัติคือความคิดเหมา เจ๋อ ตุง ช่วงพัฒนาประเทศคือทฤษฎีเติ้ง เสี่ยว ผิง และในช่วงปลายทฤษฎีเติ้ง คือสามตัวแทน ปัจจุบันคือทัศนะที่เป็นวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการพัฒนา การจะดูการเปลี่ยนแปลงของจีน จึงต้องดูการเปลี่ยนแปลงความคิดที่เกิดขึ้นตลอดเวลา

ขณะนี้สาระของจีนในการขับเคลื่อน มีองค์ประกอบจาก 2 กลุ่มๆ หนึ่งมาจากภาครัฐ อีกกลุ่มมาจากภาคเอกชน โดยภาครัฐเป็นตัวแทนอำนาจรัฐ

ส่วนภาคประชาชน เป็นธุรกิจรวมหมู่ มีผู้ถือหุ้นจากหลายๆ ทาง

สันติกล่าวว่า จีนได้เสนอภาพว่าเป็นประเทศที่ 'ผงาดขึ้นอย่างสันติ' เพื่อให้โลกยอมรับ และรู้ว่าจีนไม่ได้คุกคามประเทศใดทั้งสิ้น คำนี้โดยนัยยะคือ เลือกทางสันติพัฒนาตนเอง พัฒนาประเทศอย่างมีนัยยะรอบด้าน โดยให้คนเป็นศูนย์กลาง ตัวอย่างเช่น ในอดีตแก้ปัญหาความยากจนของชาวนาไม่ได้ แต่หลังปรับทัศนะการพัฒนาประเทศใหม่ มองเห็นคุณค่าของคน (ตั้งแต่ช่วงโรคซาร์ส) การแก้ปัญหาคือ ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ให้ชาวนา ปีนี้เป็นปีแรกที่ชาวนาจีนปลอดจากการเก็บภาษีทุกประเภท ทั้งที่เหวิน เจีย เป่า ขอเวลา 5 ปี แต่ 3 ปีก็ทำได้แล้ว การเพิ่มรายได้ให้ชาวนา เท่ากับว่าภาคชนบทมีกำลังซื้อ เศรษฐกิจรากหญ้าเข้มแข็งขึ้น ทำให้คนจนมีสถานภาพดีขึ้น

เหตุผลที่ต้องผงาดอย่างสันติ เพราะประเมินตัวเองแล้วว่า การจะไปอย่างยั่งยืน ไม่สามารถทำได้โดยทอดทิ้งส่วนอื่นๆ เช่น อาเซียน และประเทศเพื่อนบ้าน

ส่วนปัญหาที่จีนต้องก้าวข้าม มี 3 อย่าง คือ 1) แก้ปัญหาพลังงาน จีนไม่ได้ต้องการยึดแหล่งพลังงาน แต่ต้องการไปร่วมลงทุนด้วย 2) แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม 3) การพัฒนาเศรษฐกิจกับสังคมต้องไปด้วยกัน