: หนองปลาปาก : ตำบลกวนวัน : ตำบลในเมือง : ตำบลค่ายบกหวาน : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลพระธาตุบังพวน : ตำบลปะโค : ตำบลโพนสว่าง : ตำบลโพธิ์ชัย : ตำบลเมืองหมี : ตำบลมีชัย : ตำบลเวียงคุก : ตำบลวัดธาตุ : ตำบลสีกาย : ตำบลหาดคำ : ตำบลหนองกอมเกาะ : ตำบลหินโงม : ตำบลกุดบง : ตำบลชุมช้าง : ตำบลจุมพล : ตำบลทุ่งหลวง : ตำบลเซิม : ตำบลนาหนัง : ตำบลบ้านโพธิ์ : ตำบลบ้านผือ : ตำบลวัดหลวง : ตำบลสร้างนางขาว : ตำบลเหล่าต่างคำ : ตำบลกองนาง : ตำบลท่าบ่อ : ตำบลโคกคอน : ตำบลน้ำโมง : ตำบลนาข่า : ตำบลบ้านเดื่อ : ตำบลบ้านถ่อน : ตำบลโพนสา : ตำบลบ้านว่าน : ตำบลหนองนาง : ตำบลนาดี : ตำบลเฝ้าไร่ : ตำบลหนองหลวง : ตำบลวังหลวง : ตำบลอุดมพร : ตำบลบ้านต้อน : ตำบลนาทับไฮ : ตำบลพระบาทนาสิงห์ : ตำบลโพนแพง : ตำบลบ้านหม้อ : ตำบลรัตนวาปี : ตำบลพระพุทธบาท : ตำบลพานพร้าว : ตำบลแก้งไก่ : ตำบลบ้านม่วง : ตำบลนางิ้ว : ตำบลผาตั้ง : ตำบลสังคม : ตำบลโพนทอง : ตำบลด่านศรีสุข : ตำบลโพธิ์ตาก : ตำบลสระใคร : ตำบลบ้านฝาง : ตำบลคอกช้าง

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจากเวทีซีไรต์ ของ 'กรรมการตกรอบ' คะนองฤทธิ์ อนุฤทธิ์

รายงานพิเศษ / อิสรีอิน คัดลอกจาก นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์
รายงานพิเศษ / อิสรีอิน
เรื่องเล่าจากเวทีซีไรต์ ของ 'กรรมการตกรอบ' คะนองฤทธิ์ อนุฤทธิ์
ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว แต่ภาพชาย-หญิงทั้ง 7 ชีวิต ที่ล้อมรอบโต๊ะประชุมในโรงแรมหรูริมน้ำชื่อดังแห่งนั้น ยังคงกระจ่างอย่างแจ่มชัดในความทรงจำของชายร่างเล็กวัยสี่สิบต้นๆ นาม คะนองฤทธิ์ อนุฤทธิ์ แม้เขาจะได้ถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นเรื่องสั้นเรียบร้อยไปหนึ่งเรื่องแล้วก็ตาม
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรืออะไรทั้งสิ้น หากแต่เป็นคนที่ยึดถือ 'ความจริง' จึงต้องการที่จะสะท้อนภาพออกมาหลายๆ รูปแบบ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขที่ดีกว่า นั่นเอง
"ผมเป็นคนที่ชอบความจริง ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผมไม่เคยมีความลับครับ และคิดว่าความลับไม่มีในโลก มีอะไรก็จะบอกไปตามนั้นตรงๆ"
คะนองฤทธิ์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลายคนที่ติดตามข่าวซีไรต์ปีนี้ โดยเฉพาะเรื่อง 'กรรมการตกรอบ' คงเห็นชื่อนี้มาบ้างแล้ว และอาจนึกสงสัยต่อไปว่า เจ้าของชื่อนี้เป็นใครมาจากไหน-ไยถึงได้ต่อกรกับ 'กรรมการที่เหลือ' หรือ 'กรรมการเสียงข้างมาก' ซึ่งมีประสบการณ์การเป็นกรรมการซีไรต์มาแล้วหลายสมัย
อีกทั้งจดหมายชี้แจงของคะนองฤทธิ์ที่ตีพิมพ์ในจุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 นั้น ยังสร้างความปวดหัวและอาการหนาวๆ ร้อนๆ ให้กับกรรมการบางคน ไม่น้อยทีเดียวอีกต่างหาก
โดยเฉพาะส่วนหนึ่งในย่อหน้าสุดท้ายที่ระบุว่า "...กรรมการทุกคนจะพร้อมที่จะติดคุกหรือไม่ เพราะผมได้ยินอะไรแปลกๆ ในที่ประชุมด้วย" นั้นเอง ยิ่งสร้างความสงสัยในตัวผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง-ว่าเขาเป็นใคร?
แต่ใครที่เคยเข้าร่วมประชุมกับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยยุคปัจจุบัน ที่มี ไมตรี ลิมปิชาติ เป็นนายกสมาคมฯ นั้น จะรู้จักเขาในฐานะ 'ผู้ช่วยเหรัญญิก'
ส่วนใครที่เคยไปร่วมงานประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้นและบทกวีการเมือง รางวัล 'พานแว่นฟ้า' ของรัฐสภา คงจะคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างดี ว่าชายร่างเล็ก เจ้าของเสียงเรียบๆ คนนี้ เป็นกรรมการและเลขานุการรางวัลพานแว่นฟ้ามาตั้งแต่สมัยแรก (2545)
และเป็นคนเสนอให้มีโครงการประกวดวรรณกรรมการเมืองนี้ก็ว่าได้ เพราะโดยตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำมาเกือบ 20 ปีจนถึงปัจจุบันนี้ ก็คือ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ของสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง
0 0 0
แต่ถ้าย้อนช่วงเวลาไปเมื่อประมาณ 20 ปี ก่อนที่คะนองฤทธิ์จะทำงานเป็นข้าราชการรัฐสภานั้น ถือได้ว่าเขาเป็น 'นักเขียน' คนหนึ่ง และเป็นประเภท 'ผมยาว สะพายย่าม' อีกต่างหาก มีผลงานทั้งเรื่องสั้นและบทกวี แต่ดูเขาจะชอบเรื่องสั้นเป็นพิเศษ
เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ส่งไปแล้วได้รับการตีพิมพ์ (ช่วงปี 2525-2526) ก็คือ 'กว่าจะบินแรงก็หมด' ในนิตยสารใหม่ชื่อ 'ใกล้ศาล' เป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตาชีวิตคนงานที่โดนหลอกไปทำงานตะวันออกกลาง โดยใช้นามปากกาว่า 'ดอกกระเจียว'
ต่อมาส่งไปพิสูจน์ฝีไม้ลายมือที่ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ก็ได้ตีพิมพ์หลายเรื่อง (ช่วงปี 2529-2531) เท่าที่เจ้าตัวจำได้ เช่น กรรมสิทธิ์แห่งสายน้ำ, เพียงระยะทาง, ความต่างที่กลมกลืน, ความจริงที่แอบเห็น เป็นต้น
แต่น่าเสียดายว่าหลังรับราชการได้สักประมาณ 4 ปีกว่าๆ (หรือตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา) งานประจำรัดตัวมากขึ้น มือเรื่องสั้นคนนี้จึงไม่มีงานออกมาอีกเลย จะมีก็เพียงพล็อตเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บไว้ มิเช่นนั้นอาจจะมีผลงานรวมเล่มส่งชิงรางวัลใดรางวัลหนึ่งเหมือนคนอื่นเขาไปแล้วก็เป็นได้
และนี่คือที่มาของนามปากกา 'ดอกกระเจียว' อันสะท้อนถึงการปวารณาตัวสู่บรรณพิภพแห่งน้ำหมึกของเขาเป็นอย่างดี เฉกเช่นพืชพันธุ์พื้นถิ่นอีสานชนิดนี้ หากเบ่งบานขึ้นที่ใดย่อมหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินถิ่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนหลังก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ ชื่อ-นามสกุลจริง แทน
"คิดว่าใช้ชื่อจริงดีกว่า จะเป็นอะไรก็เป็น"
แน่นอนว่า ก่อนจะเป็นนักเขียนนั้น ย่อมผ่านเส้นทางการเป็นนักอ่านมาก่อนเสมอ คะนองฤทธิ์เองก็เช่นกัน
เขาเริ่มอ่านมากๆ ตอนเรียนระดับชั้น มศ.2 ที่โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ถึงขั้น 'กินหนังสือแทนข้าว' เลยทีเดียว
เพราะที่ร้อยเอ็ดวิทยาลัยนั้น มีวิชาภาษาไทย 22 สอนเกี่ยวกับนวนิยายและเรื่องสั้นด้วย พอพักเที่ยงทีไร ลูกชายครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจากจังหวัดมหาสารคามคนนี้ จะพยักหน้ารู้กันกับเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อ สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร (ผู้เขียนคอลัมน์วิจารณ์หนังสือ 'ร่มรื่นในเงาคิด' ในมติชนสุดสัปดาห์) แล้วพากันไปอ่านหนังสือในห้องสมุดอยู่เสมอ
หนังสือเล่มที่ทำให้ชีวิตของคะนองฤทธิ์สนใจงานวรรณกรรม เห็นจะเป็น 'สงครามชีวิต' ของ ศรีบูรพา ที่เพื่อนให้เป็นของขวัญสมัยเรียนอยู่โรงเรียนบพิตรพิมุข นั่นเอง
ถัดจากนั้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาก็ไปฝังตัวอยู่ที่ห้องสมุดอีกเช่นเคย
ในห้วงเวลานั้นเองที่นักศึกษาผมยาวสะพายย่ามคนนี้มีภารกิจไปแถวๆ เทเวศร์ ด้วย ในฐานะ 'ยุวชนพรรคสังคมประชาธิปไตย' (ในยุคของ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เป็นหัวหน้าพรรค) เขาได้รู้จัก ประเสริฐ จันดำ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเหมือนกัน
ด้วยโชคชะตาบวกกับความคิดความอ่านคล้ายๆ กัน ทั้งคู่จึงคบหาเป็นพี่เป็นน้องเรื่อยมา รวมถึงการซึมซับงานเขียนจากเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่เขาได้คลุกคลีด้วย
"ผมเกือบจะติดเหล้าเพราะพี่ประเสริฐ"
คะนองฤทธิ์คิดถึงความหลังและยืนยันงานของประเสริฐไปด้วยว่า 'ตัวนักเขียน' เมา แต่ 'ตัวหนังสือ' ไม่เมา
แต่ถ้าถามถึงคนที่เขาชื่นชอบและกลายเป็นแรงดลใจให้เขาอยากเป็นนักเขียนจริงๆ จังๆ มีอยู่ 2 คน คือ นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ และ สุรชัย จันทิมาธร ซึ่งถือเป็นมือเรื่องสั้นสุดยอดกันทั้งคู่
นอกจากอ่านงานของศรีบูรพาแล้ว เขาก็มาคลั่งไคล้งานเขียนของ สมชาย ปรีชาเจริญศิลป์, ศิลป พิทักษ์ชน, บรรจง บรรเจิดศิลป์ ไม่น้อยเลยทีเดียว
"พอจะเขียนหนังสือก็คิดทันทีว่า หนังสือที่เราเขียนก็จะต้องออกไปรับใช้สังคมรับใช้คนส่วนมาก ตั้งใจว่าจะเขียนให้สะท้อนสังคมหรือคนส่วนมากเป็นหลัก งานเขียนผมถึงจะเป็นแบบนั้น ถ้าให้เขียนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องการกดขี่ทางเพศ ผมจะไม่เขียน"
ภาพสังคมที่นักเขียนอย่างคะนองฤทธิ์วาดหวังตอนนั้น ก็คือ อยากจะต่อสู้เรื่องที่รัฐบาลหรือผู้ปกครองในยุคนั้นไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร
"วิธีการต่อสู้ด้านที่เราจะทำได้ ก็คือ การเขียนหนังสือ"
อย่างไรก็ตาม อยู่วันหนึ่งประมาณปี 2528-2529 ชายหนุ่มวัย 20 กว่าๆ ก็ตัดสินตัดผมยาวสยายทิ้งไป แขวนย่ามไว้ข้างฝาแล้วเดินเข้าสู่รัฐสภา ในฐานะข้าราชการ
แม้จะไม่ได้เขียนงานออกมาอีกในช่วงหลัง ทว่า ความรักที่มีวรรณกรรมไม่เคยจางหายไปไหน ในปี 2545 หรือ 3 ปีที่แล้ว เมื่อหัวหน้าถามถึงโครงการใหม่ๆ เขาจึงได้พลิกฟื้นความตั้งใจเดิมด้วยการเสนอการจัดประกวดวรรณกรรมรางวัล 'พานแว่นฟ้า' (ชื่อนี้มาจากความคิดของ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล) มาจากการเสนอขึ้นทันที และทำต่อเนื่องมาถึงครั้งที่ 4 แล้ว
ปีแรกๆ มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะขาดความเชี่ยวชาญหลายๆ ด้าน แต่แล้วก็กลายเป็นเรื่องดี ที่ทำให้เขาเองถึงกับเกิดอาการขนลุกทุกครั้งเวลานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เนื่องจากตอนที่ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แนะให้ติดต่อสมาคมนักเขียนฯ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับ 'พานแว่นฟ้า' นั้น ไม่เพียงทำให้เขาได้พบกับนักเขียนคนโปรด-นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ แล้ว ยังทำให้เขาได้มีโอกาสไปเยือนบ้านของศรีบูรพา ในซอยพระนางเป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งนักเขียนทั้งคู่นั้นถือว่ามีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง
0 0 0
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น คะนองฤทธิ์บอกว่ารักการเป็นนักเขียนอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดจะเป็นกรรมการเลย เคยทำหน้าที่นี้มาบ้างเหมือนกัน สมัยอยู่ชมรมเทพศรีกวีศิลป์เพียงครั้งเดียว แต่ก็นานมาแล้ว การเป็นกรรมการซีไรต์รอบคัดเลือก จึงถือเป็นงานใหญ่ครั้งแรกก็ว่าได้
แม้การเข้าไปครั้งนี้จะเป็นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำเต็มหน้าที่ตะลุยอ่านอย่างหนักกระทั่งตาแทบมองไม่เห็นอะไรไปหลายวัน
"เราอยู่กับหนังสือมาอย่างนี้ ในใจเรามั่นใจอยู่แล้วล่ะว่าเรามีธงของเราอยู่แล้วว่าหนังสือลักษณะไหนที่เราจะยกย่องเชิดชูใน 7-10 เล่มนี้ เพราะทุกปีที่ผ่านมา เราก็เคยศึกษาอยู่เหมือนกันว่าเขาเขียนยังไง แล้วเล่มที่ได้รางวัลมา มีจุดบกพร่องตรงไหน เราก็ติดตามมาอยู่ตลอด"
ทำหน้าที่อย่างจริงจังและคร่ำเคร่งตั้งใจไปราวีกับหนังสือแนวไม่เหมาะสมอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดาย-แพ้ฟาวล์เสียก่อน
"แต่ก็ดีนะครับ การที่เราได้อ่านมา มันก็เป็นประสบการณ์ชั้นหนึ่งของเราเหมือนกัน ผมยังมองในมุมที่ดีว่าผมโชคดีที่ได้อ่านหนังสือเยอะขนาดนั้น"
คะนองฤทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคย ไม่มีทีท่าเยาะหยันหรือประชดใดๆ ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ที่สำคัญ ถ้าถือว่า 'ตกรอบ' ครั้งนี้เป็น 'วิกฤติ' เขาก็สามารถพลิกเป็น 'โอกาส' ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เขาก็สามารถสะบัดปลายปากกาเขียนเรื่องสั้นจบได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นเรื่องแรกในรอบ 16 ปี
นอกจากนี้ก็ยังเขียนบทความอีก 2-3 เรื่อง อย่างที่ปรากฏก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนที่กำลังจะตามมาเร็วๆ นี้ก็คือ 'ชำแหละหนังสือเข้ารอบซีไรต์ ชันสูตรใจกรรมการ' โดยเปิดหนังสือบางเล่มที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรมาเขียนถึงแบบหน้าต่อหน้ากันเลยทีเดียว
"เพื่อให้คนอ่านตามไปอ่านว่า เป็นจริง อย่างที่เราชำแหละออกมาหรือไม่ แล้วก็ชันสูตรใจกรรมการด้วย ตรงที่ว่า หนังสือที่เขียนอย่างนี้ให้ผ่านไปได้ยังไง"
อย่างไรก็ตาม คะนองฤทธิ์ ก็มิได้เสียใจ แม้ว่าจะไม่ได้นั่งร่วมบนเวทีแถลงข่าววันประกาศผล 8 เล่มสุดท้ายที่เข้ารอบก็ตาม แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง
"เราได้ความรู้จากตรงนั้นเยอะเลย แล้วก็ภูมิใจที่เราได้มีโอกาสได้อ่านมากถึง 79 เล่ม เพราะถ้าเราไม่อยู่ตรงนั้น เราคงไม่ได้อ่านมากขนาดนั้น"
ที่สำคัญ (กว่า) ตอนนี้พลังแห่งการสร้างสรรค์งานเขียนกลับคืนมาแล้ว
"อยากจะให้นักอ่านประชาชนทั่วไปพยายามเอาหนังสือทั้ง 8 เล่มนี้มาอ่าน ว่ามันเป็นยังไง แล้วจะใช้วิจารณญาณของตัวเองตัดสินล่วงหน้าก่อนกรรมการเขาจะตัดสินจริงๆ"
คะนองฤทธิ์ฝากทิ้งท้ายไปถึงหนอนหนังสือทั้งหลาย แต่เรื่องที่ใครจะมาชวนเชิญไปเป็นกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมใดต่อไปนั้น ยังไม่รับปากหรือปฏิเสธทันที แต่ขอดูรายละเอียดก่อน
ทั้งนี้ คะนองฤทธิ์ไม่ได้ระบุต่อว่า รายละเอียดที่จะขอดูแบบเน้นๆ นั้น ใช่เรื่อง 'กรรมการ' หรือเปล่า? หากเป็นนั้น-คงต้องคุยกันยาวแน่!!
(ล้อมกรอบ)
ประเด็น
'ซีไรต์ลาว'
ก้าวหน้ากว่าซีไรต์ไทย
เนื้อเรื่อง
ประเด็นกฎ กติกา มารยาท ในการตัดสินรางวัลซีไรต์ ไม่ใช่เพิ่งมีการถกเถียงกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีแรกๆ ถ้าจะให้เล่าย้อนหลังคงต้องใช้ 'พื้นที่' หลายร้อยหน้า
โดยเฉพาะเรื่องคณะกรรมการตัดสินรางวัล ที่ควร 'เปิดโฉมหน้า' ออกมาให้ประชากรวรรณกรรมได้รับรู้ มิใช่ทำลับๆ ล่อๆ รู้กันในแวดวงกรรมการผู้ทรงเกียรติไม่กี่คน
วันดีคืนดี กรรมการบางท่านก็แอบนำ 'ความลับ' ไปเขียนรายงานทำนอง 'โหรซีไรต์' ได้ค่าเรื่อง 1,000-2,000 บาท หรือกรรมการบางท่านไม่พอใจผลการตัดสิน ก็ส่งข้อมูลให้ 'ลูกศิษย์' ไปเขียนรายงานเปิดโปงความไม่ชอบมาพากล จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่ววงการ และเมื่อการประกาศผลรอบสุดท้ายเสร็จสิ้น ทุกก็จบ ไม่มีใครคิดจะวางกรอบกติกาจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เหตุการณ์ในที่ประชุมกรรมการซีไรต์รอบคัดเลือก พ.ศ.นี้ ก็เนื่องมาจากความพยายามจะ 'ปิดลับ' อีกนั่นแหละ
ทั้งที่ในความเป็นจริง นักเขียนผู้ส่งผลงานเข้าประกวดหลายคน ต่างทราบกันดีว่า กรรมการมีใครบ้าง? และทันทีที่ผลการตัดสิน 8 เล่มสุดท้ายออกมา นักเขียนที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยลี้..ก็รู้ว่าเรื่องสั้นตัวเอง 'เข้ารอบ'
ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของคณะกรรมการซีไรต์ไทย ทางฟากฝั่งดินแดนดวงจำปา การประกวดวรรณกรรมสร้างสรรค์รางวัลซีไรต์ กลับดำเนินไปอย่างโปร่งใส ไม่มีการปิดบังอำพราง 'หน้าตากรรมการ'
ดั่งประกาศรัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม สปป.ลาว เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินรางวัลซีไรต์ของลาว ประจำปี 2005
ชุดที่ 1 เรียกว่า คณะกรรมการรอบคัดเลือก มี 5 ท่าน คือ
1.ท่านกาวิน เกียงคำชนนี นักประพันธ์ นักค้นคว้าวรรณคดีจากกรมพิมพ์จำหน่าย
2.ท่านพันตรีซงเดด วงพูทอน นักประพันธ์ คณะบริหารงานสมาคมนักประพันธ์ จากกองทัพประชาชนลาว
3.ท่านหงเหิน ขุนพิทัก นักประพันธ์ กวี นักหนังสือพิมพ์ มาจากวารสารเที่ยวเมืองลาว
4.ท่านทะนงสัก วงสักดา นักประพันธ์ กวี นักแปล
5.ท่านนางจันเพ็ด คำฟอง นักประพันธ์ นักวรรณคดี มาจากกรมวัฒนธรรมมหาชน
ชุดที่ 2 เรียกว่า คณะกรรมการตัดสิน (สุดท้าย) มี 5 ท่าน คือ
1.ท่านวิเสด สะแหวงสึกสา รองประธานสมาคมนักประพันธ์ลาว
2.ท่านสีเวียงแขก กอนนิวง นักประพันธ์ มาจากกรมพิมพ์จำหน่าย
3.ท่านทองใบ โพทิสาน กวีซีไรต์ มาจากวารสารวันนะสิน
4.ท่านสมแสง ไซยะวง นักค้นคว้า มาจากสถาบันภาษาศาสตร์
5.ท่านคำวิสัน แก้วสุวัน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ มาจากสถาบันสื่อมวลชน
ประกาศฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมคำประกาศรับสมัครเรื่องสั้นประกวดรางวัลซีไรต์ โดยท้ายประกาศแต่งตั้งระบุว่า
"10 ท่านที่เสนอชื่อและสถานที่อยู่นั้น ก็เพราะว่าพวกเขาคือผู้ตัดสินเด็ดขาดว่า ปีนี้ใครจะเป็นนักประพันธ์ซีไรต์ ประเภทเรื่องสั้น"
เรียกว่าบอกกล่าวกันให้ชัดแจ้งไปเลย ไม่ต้องมาแอบใบ้ชื่อกรรมการ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก เหมือนบางประเทศ เกือบ 3 ทศวรรษแล้วก็ยัง 'พายเรือในอ่าง'
คะนองฤทธิ์ อนุฤทธิ์
ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว แต่ภาพชาย-หญิงทั้ง 7 ชีวิต ที่ล้อมรอบโต๊ะประชุมในโรงแรมหรูริมน้ำชื่อดังแห่งนั้น ยังคงกระจ่างอย่างแจ่มชัดในความทรงจำของชายร่างเล็กวัยสี่สิบต้นๆ นาม คะนองฤทธิ์ อนุฤทธิ์ แม้เขาจะได้ถ่ายทอดความรู้สึกเหล่านั้นออกมาเป็นเรื่องสั้นเรียบร้อยไปหนึ่งเรื่องแล้วก็ตาม
เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรืออะไรทั้งสิ้น หากแต่เป็นคนที่ยึดถือ 'ความจริง' จึงต้องการที่จะสะท้อนภาพออกมาหลายๆ รูปแบบ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขที่ดีกว่า นั่นเอง
"ผมเป็นคนที่ชอบความจริง ความโปร่งใสและตรวจสอบได้ ผมไม่เคยมีความลับครับ และคิดว่าความลับไม่มีในโลก มีอะไรก็จะบอกไปตามนั้นตรงๆ"
คะนองฤทธิ์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งหลายคนที่ติดตามข่าวซีไรต์ปีนี้ โดยเฉพาะเรื่อง 'กรรมการตกรอบ' คงเห็นชื่อนี้มาบ้างแล้ว และอาจนึกสงสัยต่อไปว่า เจ้าของชื่อนี้เป็นใครมาจากไหน-ไยถึงได้ต่อกรกับ 'กรรมการที่เหลือ' หรือ 'กรรมการเสียงข้างมาก' ซึ่งมีประสบการณ์การเป็นกรรมการซีไรต์มาแล้วหลายสมัย
อีกทั้งจดหมายชี้แจงของคะนองฤทธิ์ที่ตีพิมพ์ในจุดประกายวรรณกรรม ฉบับวันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2548 นั้น ยังสร้างความปวดหัวและอาการหนาวๆ ร้อนๆ ให้กับกรรมการบางคน ไม่น้อยทีเดียวอีกต่างหาก
โดยเฉพาะส่วนหนึ่งในย่อหน้าสุดท้ายที่ระบุว่า "...กรรมการทุกคนจะพร้อมที่จะติดคุกหรือไม่ เพราะผมได้ยินอะไรแปลกๆ ในที่ประชุมด้วย" นั้นเอง ยิ่งสร้างความสงสัยในตัวผู้เขียนเป็นอย่างยิ่ง-ว่าเขาเป็นใคร?
แต่ใครที่เคยเข้าร่วมประชุมกับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยยุคปัจจุบัน ที่มี ไมตรี ลิมปิชาติ เป็นนายกสมาคมฯ นั้น จะรู้จักเขาในฐานะ 'ผู้ช่วยเหรัญญิก'
ส่วนใครที่เคยไปร่วมงานประกวดวรรณกรรมเรื่องสั้นและบทกวีการเมือง รางวัล 'พานแว่นฟ้า' ของรัฐสภา คงจะคุ้นหน้าเขาเป็นอย่างดี ว่าชายร่างเล็ก เจ้าของเสียงเรียบๆ คนนี้ เป็นกรรมการและเลขานุการรางวัลพานแว่นฟ้ามาตั้งแต่สมัยแรก (2545)
และเป็นคนเสนอให้มีโครงการประกวดวรรณกรรมการเมืองนี้ก็ว่าได้ เพราะโดยตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำมาเกือบ 20 ปีจนถึงปัจจุบันนี้ ก็คือ เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ของสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร นั่นเอง
0 0 0
แต่ถ้าย้อนช่วงเวลาไปเมื่อประมาณ 20 ปี ก่อนที่คะนองฤทธิ์จะทำงานเป็นข้าราชการรัฐสภานั้น ถือได้ว่าเขาเป็น 'นักเขียน' คนหนึ่ง และเป็นประเภท 'ผมยาว สะพายย่าม' อีกต่างหาก มีผลงานทั้งเรื่องสั้นและบทกวี แต่ดูเขาจะชอบเรื่องสั้นเป็นพิเศษ
เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ส่งไปแล้วได้รับการตีพิมพ์ (ช่วงปี 2525-2526) ก็คือ 'กว่าจะบินแรงก็หมด' ในนิตยสารใหม่ชื่อ 'ใกล้ศาล' เป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตาชีวิตคนงานที่โดนหลอกไปทำงานตะวันออกกลาง โดยใช้นามปากกาว่า 'ดอกกระเจียว'
ต่อมาส่งไปพิสูจน์ฝีไม้ลายมือที่ สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ก็ได้ตีพิมพ์หลายเรื่อง (ช่วงปี 2529-2531) เท่าที่เจ้าตัวจำได้ เช่น กรรมสิทธิ์แห่งสายน้ำ, เพียงระยะทาง, ความต่างที่กลมกลืน, ความจริงที่แอบเห็น เป็นต้น
แต่น่าเสียดายว่าหลังรับราชการได้สักประมาณ 4 ปีกว่าๆ (หรือตั้งแต่ปี 2532 เป็นต้นมา) งานประจำรัดตัวมากขึ้น มือเรื่องสั้นคนนี้จึงไม่มีงานออกมาอีกเลย จะมีก็เพียงพล็อตเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เก็บไว้ มิเช่นนั้นอาจจะมีผลงานรวมเล่มส่งชิงรางวัลใดรางวัลหนึ่งเหมือนคนอื่นเขาไปแล้วก็เป็นได้
และนี่คือที่มาของนามปากกา 'ดอกกระเจียว' อันสะท้อนถึงการปวารณาตัวสู่บรรณพิภพแห่งน้ำหมึกของเขาเป็นอย่างดี เฉกเช่นพืชพันธุ์พื้นถิ่นอีสานชนิดนี้ หากเบ่งบานขึ้นที่ใดย่อมหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินถิ่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ตอนหลังก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ ชื่อ-นามสกุลจริง แทน
"คิดว่าใช้ชื่อจริงดีกว่า จะเป็นอะไรก็เป็น"
แน่นอนว่า ก่อนจะเป็นนักเขียนนั้น ย่อมผ่านเส้นทางการเป็นนักอ่านมาก่อนเสมอ คะนองฤทธิ์เองก็เช่นกัน
เขาเริ่มอ่านมากๆ ตอนเรียนระดับชั้น มศ.2 ที่โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย ถึงขั้น 'กินหนังสือแทนข้าว' เลยทีเดียว
เพราะที่ร้อยเอ็ดวิทยาลัยนั้น มีวิชาภาษาไทย 22 สอนเกี่ยวกับนวนิยายและเรื่องสั้นด้วย พอพักเที่ยงทีไร ลูกชายครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจากจังหวัดมหาสารคามคนนี้ จะพยักหน้ารู้กันกับเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อ สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร (ผู้เขียนคอลัมน์วิจารณ์หนังสือ 'ร่มรื่นในเงาคิด' ในมติชนสุดสัปดาห์) แล้วพากันไปอ่านหนังสือในห้องสมุดอยู่เสมอ
หนังสือเล่มที่ทำให้ชีวิตของคะนองฤทธิ์สนใจงานวรรณกรรม เห็นจะเป็น 'สงครามชีวิต' ของ ศรีบูรพา ที่เพื่อนให้เป็นของขวัญสมัยเรียนอยู่โรงเรียนบพิตรพิมุข นั่นเอง
ถัดจากนั้นที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เขาก็ไปฝังตัวอยู่ที่ห้องสมุดอีกเช่นเคย
ในห้วงเวลานั้นเองที่นักศึกษาผมยาวสะพายย่ามคนนี้มีภารกิจไปแถวๆ เทเวศร์ ด้วย ในฐานะ 'ยุวชนพรรคสังคมประชาธิปไตย' (ในยุคของ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เป็นหัวหน้าพรรค) เขาได้รู้จัก ประเสริฐ จันดำ ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคเหมือนกัน
ด้วยโชคชะตาบวกกับความคิดความอ่านคล้ายๆ กัน ทั้งคู่จึงคบหาเป็นพี่เป็นน้องเรื่อยมา รวมถึงการซึมซับงานเขียนจากเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นนักเขียนเพียงคนเดียวที่เขาได้คลุกคลีด้วย
"ผมเกือบจะติดเหล้าเพราะพี่ประเสริฐ"
คะนองฤทธิ์คิดถึงความหลังและยืนยันงานของประเสริฐไปด้วยว่า 'ตัวนักเขียน' เมา แต่ 'ตัวหนังสือ' ไม่เมา
แต่ถ้าถามถึงคนที่เขาชื่นชอบและกลายเป็นแรงดลใจให้เขาอยากเป็นนักเขียนจริงๆ จังๆ มีอยู่ 2 คน คือ นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ และ สุรชัย จันทิมาธร ซึ่งถือเป็นมือเรื่องสั้นสุดยอดกันทั้งคู่
นอกจากอ่านงานของศรีบูรพาแล้ว เขาก็มาคลั่งไคล้งานเขียนของ สมชาย ปรีชาเจริญศิลป์, ศิลป พิทักษ์ชน, บรรจง บรรเจิดศิลป์ ไม่น้อยเลยทีเดียว
"พอจะเขียนหนังสือก็คิดทันทีว่า หนังสือที่เราเขียนก็จะต้องออกไปรับใช้สังคมรับใช้คนส่วนมาก ตั้งใจว่าจะเขียนให้สะท้อนสังคมหรือคนส่วนมากเป็นหลัก งานเขียนผมถึงจะเป็นแบบนั้น ถ้าให้เขียนเรื่องรักๆ ใคร่ๆ หรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องการกดขี่ทางเพศ ผมจะไม่เขียน"
ภาพสังคมที่นักเขียนอย่างคะนองฤทธิ์วาดหวังตอนนั้น ก็คือ อยากจะต่อสู้เรื่องที่รัฐบาลหรือผู้ปกครองในยุคนั้นไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตยเท่าที่ควร
"วิธีการต่อสู้ด้านที่เราจะทำได้ ก็คือ การเขียนหนังสือ"
อย่างไรก็ตาม อยู่วันหนึ่งประมาณปี 2528-2529 ชายหนุ่มวัย 20 กว่าๆ ก็ตัดสินตัดผมยาวสยายทิ้งไป แขวนย่ามไว้ข้างฝาแล้วเดินเข้าสู่รัฐสภา ในฐานะข้าราชการ
แม้จะไม่ได้เขียนงานออกมาอีกในช่วงหลัง ทว่า ความรักที่มีวรรณกรรมไม่เคยจางหายไปไหน ในปี 2545 หรือ 3 ปีที่แล้ว เมื่อหัวหน้าถามถึงโครงการใหม่ๆ เขาจึงได้พลิกฟื้นความตั้งใจเดิมด้วยการเสนอการจัดประกวดวรรณกรรมรางวัล 'พานแว่นฟ้า' (ชื่อนี้มาจากความคิดของ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล) มาจากการเสนอขึ้นทันที และทำต่อเนื่องมาถึงครั้งที่ 4 แล้ว
ปีแรกๆ มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะขาดความเชี่ยวชาญหลายๆ ด้าน แต่แล้วก็กลายเป็นเรื่องดี ที่ทำให้เขาเองถึงกับเกิดอาการขนลุกทุกครั้งเวลานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา
เนื่องจากตอนที่ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แนะให้ติดต่อสมาคมนักเขียนฯ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับ 'พานแว่นฟ้า' นั้น ไม่เพียงทำให้เขาได้พบกับนักเขียนคนโปรด-นิเวศน์ กันไทยราษฎร์ แล้ว ยังทำให้เขาได้มีโอกาสไปเยือนบ้านของศรีบูรพา ในซอยพระนางเป็นครั้งแรกด้วย ซึ่งนักเขียนทั้งคู่นั้นถือว่ามีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างยิ่งนั่นเอง
0 0 0
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น คะนองฤทธิ์บอกว่ารักการเป็นนักเขียนอยู่แล้ว แต่ไม่เคยคิดจะเป็นกรรมการเลย เคยทำหน้าที่นี้มาบ้างเหมือนกัน สมัยอยู่ชมรมเทพศรีกวีศิลป์เพียงครั้งเดียว แต่ก็นานมาแล้ว การเป็นกรรมการซีไรต์รอบคัดเลือก จึงถือเป็นงานใหญ่ครั้งแรกก็ว่าได้
แม้การเข้าไปครั้งนี้จะเป็นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำเต็มหน้าที่ตะลุยอ่านอย่างหนักกระทั่งตาแทบมองไม่เห็นอะไรไปหลายวัน
"เราอยู่กับหนังสือมาอย่างนี้ ในใจเรามั่นใจอยู่แล้วล่ะว่าเรามีธงของเราอยู่แล้วว่าหนังสือลักษณะไหนที่เราจะยกย่องเชิดชูใน 7-10 เล่มนี้ เพราะทุกปีที่ผ่านมา เราก็เคยศึกษาอยู่เหมือนกันว่าเขาเขียนยังไง แล้วเล่มที่ได้รางวัลมา มีจุดบกพร่องตรงไหน เราก็ติดตามมาอยู่ตลอด"
ทำหน้าที่อย่างจริงจังและคร่ำเคร่งตั้งใจไปราวีกับหนังสือแนวไม่เหมาะสมอย่างเต็มที่ แต่น่าเสียดาย-แพ้ฟาวล์เสียก่อน
"แต่ก็ดีนะครับ การที่เราได้อ่านมา มันก็เป็นประสบการณ์ชั้นหนึ่งของเราเหมือนกัน ผมยังมองในมุมที่ดีว่าผมโชคดีที่ได้อ่านหนังสือเยอะขนาดนั้น"
คะนองฤทธิ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเคย ไม่มีทีท่าเยาะหยันหรือประชดใดๆ ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ที่สำคัญ ถ้าถือว่า 'ตกรอบ' ครั้งนี้เป็น 'วิกฤติ' เขาก็สามารถพลิกเป็น 'โอกาส' ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วโมง เขาก็สามารถสะบัดปลายปากกาเขียนเรื่องสั้นจบได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว และเป็นเรื่องแรกในรอบ 16 ปี
นอกจากนี้ก็ยังเขียนบทความอีก 2-3 เรื่อง อย่างที่ปรากฏก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนที่กำลังจะตามมาเร็วๆ นี้ก็คือ 'ชำแหละหนังสือเข้ารอบซีไรต์ ชันสูตรใจกรรมการ' โดยเปิดหนังสือบางเล่มที่เห็นว่าไม่เหมาะไม่ควรมาเขียนถึงแบบหน้าต่อหน้ากันเลยทีเดียว
"เพื่อให้คนอ่านตามไปอ่านว่า เป็นจริง อย่างที่เราชำแหละออกมาหรือไม่ แล้วก็ชันสูตรใจกรรมการด้วย ตรงที่ว่า หนังสือที่เขียนอย่างนี้ให้ผ่านไปได้ยังไง"
อย่างไรก็ตาม คะนองฤทธิ์ ก็มิได้เสียใจ แม้ว่าจะไม่ได้นั่งร่วมบนเวทีแถลงข่าววันประกาศผล 8 เล่มสุดท้ายที่เข้ารอบก็ตาม แต่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง
"เราได้ความรู้จากตรงนั้นเยอะเลย แล้วก็ภูมิใจที่เราได้มีโอกาสได้อ่านมากถึง 79 เล่ม เพราะถ้าเราไม่อยู่ตรงนั้น เราคงไม่ได้อ่านมากขนาดนั้น"
ที่สำคัญ (กว่า) ตอนนี้พลังแห่งการสร้างสรรค์งานเขียนกลับคืนมาแล้ว
"อยากจะให้นักอ่านประชาชนทั่วไปพยายามเอาหนังสือทั้ง 8 เล่มนี้มาอ่าน ว่ามันเป็นยังไง แล้วจะใช้วิจารณญาณของตัวเองตัดสินล่วงหน้าก่อนกรรมการเขาจะตัดสินจริงๆ"
คะนองฤทธิ์ฝากทิ้งท้ายไปถึงหนอนหนังสือทั้งหลาย แต่เรื่องที่ใครจะมาชวนเชิญไปเป็นกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมใดต่อไปนั้น ยังไม่รับปากหรือปฏิเสธทันที แต่ขอดูรายละเอียดก่อน
ทั้งนี้ คะนองฤทธิ์ไม่ได้ระบุต่อว่า รายละเอียดที่จะขอดูแบบเน้นๆ นั้น ใช่เรื่อง 'กรรมการ' หรือเปล่า? หากเป็นนั้น-คงต้องคุยกันยาวแน่!!
(ล้อมกรอบ)
ประเด็น
'ซีไรต์ลาว'
ก้าวหน้ากว่าซีไรต์ไทย
เนื้อเรื่อง
ประเด็นกฎ กติกา มารยาท ในการตัดสินรางวัลซีไรต์ ไม่ใช่เพิ่งมีการถกเถียงกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปีแรกๆ ถ้าจะให้เล่าย้อนหลังคงต้องใช้ 'พื้นที่' หลายร้อยหน้า
โดยเฉพาะเรื่องคณะกรรมการตัดสินรางวัล ที่ควร 'เปิดโฉมหน้า' ออกมาให้ประชากรวรรณกรรมได้รับรู้ มิใช่ทำลับๆ ล่อๆ รู้กันในแวดวงกรรมการผู้ทรงเกียรติไม่กี่คน
วันดีคืนดี กรรมการบางท่านก็แอบนำ 'ความลับ' ไปเขียนรายงานทำนอง 'โหรซีไรต์' ได้ค่าเรื่อง 1,000-2,000 บาท หรือกรรมการบางท่านไม่พอใจผลการตัดสิน ก็ส่งข้อมูลให้ 'ลูกศิษย์' ไปเขียนรายงานเปิดโปงความไม่ชอบมาพากล จนเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่ววงการ และเมื่อการประกาศผลรอบสุดท้ายเสร็จสิ้น ทุกก็จบ ไม่มีใครคิดจะวางกรอบกติกาจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เหตุการณ์ในที่ประชุมกรรมการซีไรต์รอบคัดเลือก พ.ศ.นี้ ก็เนื่องมาจากความพยายามจะ 'ปิดลับ' อีกนั่นแหละ
ทั้งที่ในความเป็นจริง นักเขียนผู้ส่งผลงานเข้าประกวดหลายคน ต่างทราบกันดีว่า กรรมการมีใครบ้าง? และทันทีที่ผลการตัดสิน 8 เล่มสุดท้ายออกมา นักเขียนที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ หลายร้อยลี้..ก็รู้ว่าเรื่องสั้นตัวเอง 'เข้ารอบ'
ตรงกันข้ามกับความวุ่นวายของคณะกรรมการซีไรต์ไทย ทางฟากฝั่งดินแดนดวงจำปา การประกวดวรรณกรรมสร้างสรรค์รางวัลซีไรต์ กลับดำเนินไปอย่างโปร่งใส ไม่มีการปิดบังอำพราง 'หน้าตากรรมการ'
ดั่งประกาศรัฐมนตรีกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม สปป.ลาว เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินรางวัลซีไรต์ของลาว ประจำปี 2005
ชุดที่ 1 เรียกว่า คณะกรรมการรอบคัดเลือก มี 5 ท่าน คือ
1.ท่านกาวิน เกียงคำชนนี นักประพันธ์ นักค้นคว้าวรรณคดีจากกรมพิมพ์จำหน่าย
2.ท่านพันตรีซงเดด วงพูทอน นักประพันธ์ คณะบริหารงานสมาคมนักประพันธ์ จากกองทัพประชาชนลาว
3.ท่านหงเหิน ขุนพิทัก นักประพันธ์ กวี นักหนังสือพิมพ์ มาจากวารสารเที่ยวเมืองลาว
4.ท่านทะนงสัก วงสักดา นักประพันธ์ กวี นักแปล
5.ท่านนางจันเพ็ด คำฟอง นักประพันธ์ นักวรรณคดี มาจากกรมวัฒนธรรมมหาชน
ชุดที่ 2 เรียกว่า คณะกรรมการตัดสิน (สุดท้าย) มี 5 ท่าน คือ
1.ท่านวิเสด สะแหวงสึกสา รองประธานสมาคมนักประพันธ์ลาว
2.ท่านสีเวียงแขก กอนนิวง นักประพันธ์ มาจากกรมพิมพ์จำหน่าย
3.ท่านทองใบ โพทิสาน กวีซีไรต์ มาจากวารสารวันนะสิน
4.ท่านสมแสง ไซยะวง นักค้นคว้า มาจากสถาบันภาษาศาสตร์
5.ท่านคำวิสัน แก้วสุวัน นักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ มาจากสถาบันสื่อมวลชน
ประกาศฉบับนี้ได้ตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมคำประกาศรับสมัครเรื่องสั้นประกวดรางวัลซีไรต์ โดยท้ายประกาศแต่งตั้งระบุว่า
"10 ท่านที่เสนอชื่อและสถานที่อยู่นั้น ก็เพราะว่าพวกเขาคือผู้ตัดสินเด็ดขาดว่า ปีนี้ใครจะเป็นนักประพันธ์ซีไรต์ ประเภทเรื่องสั้น"
เรียกว่าบอกกล่าวกันให้ชัดแจ้งไปเลย ไม่ต้องมาแอบใบ้ชื่อกรรมการ ก ไก่ ถึง ฮ นกฮูก เหมือนบางประเทศ เกือบ 3 ทศวรรษแล้วก็ยัง 'พายเรือในอ่าง'